จากกรณีนักร้องชื่อดัง “ติ๊ก ชิโร่” ศิริศักดิ์ นันทเสนได้ขับรถชนรถจักรยานยนต์ของ 3 พี่น้อง บริเวณกลางสะพานข้ามถนนเทพรักษ์ ถนนสุขาภิบาล 5 ในช่วงเวลา 04.00 น. ของวันที่ 10 ต.ค. 2567 จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย คือ “น.ส.เทียนพร ศิวพรพิทักษ์”หรือ “น้องเมจิ”อายุ 28 ปี และบาดเจ็บสาหัส 1 ราย คือ “นายจักรภัคร ศิวพรพิทักษ์”หรือ “น้องจูเนียร์” อายุ 21 ปี ก่อนต่อมา “น้องจูเนียร์” ได้เสียชีวิตลงในที่สุด เมื่อคืนวันที่ 18 ม.ค. 2568 หลังรักษาตัวอยู่นานกว่า 3 เดือน
ซึ่งหลังสูญเสียลูกคนที่ 2 ไป “นายจีรวัฒน์ ศิวพรพิทักษ์”คุณพ่อของผู้เสียชีวิต ได้เข้าขอความเป็นธรรมกับเพจสายไหมต้องรอด เหตุกังวลเยียวยาไม่เป็นธรรม ระบุว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องเงินเยียวยา โดยเผยว่าติ๊กช่วยเหลือเงินเป็นค่างานศพ ลูกสาวคนโต 170,000 บาท และค่าใช้จ่ายที่ศูนย์พักฟื้นของน้องจูเนียร์ ขณะที่ยังมีชีวิตประมาณ 82,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายตามจริง แต่ส่วนของเงินชดเชยเยียวยานั้น ยังไม่ได้รับแม้แต่บาทเดียว และหลังลูกชายเสียชีวิต ติ๊ก ชิโร่ ได้ส่งตัวแทนเจรจา เสนอว่ามีที่ดินอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ถ้าขายได้จะได้เงิน 4-5 ล้านบาท แล้วจะนำเงินมาให้ แต่ตนเป็นกังวลเรื่องการเสนอชดใช้ด้วยที่ดินนั้น เพราะไม่ทราบว่าที่ดินมีจริงหรือไม่ และจะขายได้เท่าไหร่
โดยล่าสุดวันนี้ (23 ม.ค.68) เวลา 11.00 น. “ติ๊ก ชิโร่” พร้อมด้วย “เอ๋” ซึ่งเป็นน้องสาวของ “อ้อ” ภรรยาติ๊ก และทนายความส่วนตัว ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย เผยถึงแนวทางที่จะเยียวยาเหยื่อ โดยบอกว่าครอบครัวของผู้เสียชีวิตเรียกร้องค่าเยียวยาเป็นจำนวนเงิน 24 ล้านบาท แต่ตนมีกำลังทรัพย์ไหวที่ 4-5 ล้าน อยากพูดคุยเจรจากันเพื่อหาทางออกตรงกลางร่วมกัน
ติ๊ก : “การแถลงข่าวครั้งนี้ เป็นการพูดคุยเพื่อชี้แจงความเป็นจริง ไม่ใช่การแก้ต่างหรือแก้ตัว อยากค่อยๆ พูดไปตามความรู้สึก ทุกท่านคงทราบดี ว่าเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ผมรู้สึกว่าเราต้องมีบางสิ่งบางอย่าง ที่อาจจะไม่สามารถมองเห็นได้ เบื้องบนที่กำหนดกฎเกณฑ์ให้เราต้องมาเจอกัน ผมคิดว่าเราสองครอบครัว รู้สึกสูญเสียอย่างมาก ทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าเลือกได้ขอได้ก็ไม่อยากให้เรื่องนี่เกิดขึ้นมา แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องยอมรับความจริง ต้องหาทางแก้ไขเยียวยาเพื่อที่ทั้งสองครอบครัวจะดำรงชีวิตต่อไปได้
ความรู้สึกของผม แม้ว่าจะเห็นผมเหมือนดูแข็งแรง แต่จิตใจผมแตกสลายยุ่ยเป็นผุยผง เวลาอยู่กับตัวเองมันน่ากลัวมาก เหมือนตายทั้งเป็น น้ำตาตกใน จุกอกไปเลย หวังว่าสิ่งต่างๆ ที่ผมเคยทำไป ทั้งช่วยเหลือน้ำท่วม บริจาคเงินมอบทุนการศึกษา และช่วยเหลือคนมาตลอด จะช่วยดลบันดาลให้เราสองครอบครัวก้าวข้ามวิกฤตนี้ไปได้ ในหัวใจผมเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ต้องการอยากจะเยียวยาในทุกๆ รูปแบบ ที่ผมจะสามารถทำได้ ไม่ว่าจะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เราเคยนัดกันที่บ้าน ที่ร้านอาหาร ก็พูดคุยกันอย่างคนที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน และมีจิตใจที่งดงาม
แต่สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด คือผมเป็นนักร้องนักแต่งเพลง เลยแต่งเพลงขึ้นมาและไปขออนุญาตทางครอบครัวผู้เสียชีวิต เปิดให้เขาฟังต่างคนก็ต่างน้ำตาไหล ผมบอกว่าจะมอบเพลงนี้ให้ครอบครัว เพื่อมอบรายได้ทุกบาทเพื่อเป็นการเยียวยาอีกทางหนึ่ง วันนั้นคุณพ่อคุณแม่อนุญาต แต่หลังโพสต์ไปแล้วก็ต้องเอาออก ก็หวังว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่อนุญาตอีกครั้ง ผมก็ยังยึดมั่นว่าจะมอบเพลงนี้ให้ครอบครัวศิวพรพิทักษ์”
เอ๋ : “เอ๋เป็นตัวแทนของพี่ติ๊กทุกครั้ง ที่มีการเจรจากัน ตั้งแต่เริ่มแรกพี่ติ๊กได้ให้ข้อมูลกับตำรวจไปแล้ว และให้กล้องหน้ารถ แต่ที่ยื่นหนังสือร้องความเป็นธรรมไป เพียงแค่ขอให้สอบพยานเพิ่มเติมที่อยู่ในที่เกิดเหตุ และนำกล้องวงจรปิดเข้าไปสู่กระบวนการการดำเนินคดี พี่ติ๊กไม่เคยเปลี่ยนคำให้การ รายละเอียดและผลในทางคดี เราไม่เคยไปยุ่งเกี่ยว ขอให้เป็นอำนาจของตำรวจ และให้ศาลชี้ขาดไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฎ
ส่วนเรื่องการเจรจาความเสียหาย เบื้องต้นวันแรกทางพี่ติ๊กได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน และเข้าโรงพยาบาล เอ๋เป็นคนไปประสานงานให้ตั้งแต่ชั้นโรงพัก เรารู้ว่ามีน้องเสียชีวิต 1 คน ครอบครัวเขาต้องมีค่าใช้จ่ายแน่ๆ เลยแจ้งพี่อ้อว่าเราต้องจ่ายให้เขาไปสักก้อน ก็จ่ายไป 1 แสน และพอพี่ติ๊กออกจากโรงพยาบาลได้ เราก็ไปรดน้ำศพ และไปสวดอภิธรรมทุกวัน พร้อมจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่วัดให้ทางคุณพ่อ จำนวน 75,530 บาท
หลังจัดการงานศพเสร็จ คุณพ่อคุณแม่ก็นัดพี่ติ๊กและภรรยาไปเจอเพื่อพูดคุยเรื่องค่าเสียหาย โดยมีคุณอาอภิรักษ์ ให้ความกรุณาไปเป็นผู้ใหญ่ร่วมฟังด้วย ก็ไปเจอกันวันที่ 22 ต.ค. 67 ซึ่งเบื้องต้นยังหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องจากวันนั้นน้องจูเนียร์ยังอยู่ไอซียู เลยไม่สามารถคุยเรื่องตัวเลขค่าเสียหายได้ หลังจากนั้นคุณพ่อน้องและพี่ติ๊ก ก็แลกไลน์และถามข่าวตลอดมา จนพี่ติ๊กก็เปิดบ้านให้มาคุยเปิดอกกัน วันนั้นคุยพ่อเสนอมาว่า 9 ล้าน แต่ยังไม่ได้พูดชัดว่าสำหรับกี่คน
ทางพี่ติ๊กเองด้วยความที่เพิ่งเกิดเหตุได้ไม่กี่วัน เลยกลับมาปรึกษากันในครอบครัว ว่าเราจะหาทางเยียวยาให้คุณพ่อได้ไหม แต่ระหว่างนั้นพี่ติ๊กก็ได้ไปเยี่ยมน้องจูเนียร์ ซื้อของใช้จำเป็นเข้าไปให้ หลังจากนั้นเราก็นัดหมายผ่านตำรวจที่สน.คันนายาว วันที่ 29 ต.ค. 67 พี่ติ๊กได้มอบหมายให้เราไปเจรจาแทน เพราะตัวเองยังต้องพบหมออยู่ ซึ่งก่อนหน้านั้นก่อนจะเข้าไปพูดคุย เอ๋ได้ประสานกับประกันวิริยะ ว่าเบื้องต้นประกันสามารถจ่ายอะไรให้ผู้เสียหายได้บ้าง แต่ประกันเห็นว่ายังเจรคหาข้อยุติไม่ได้ ก็ยังไม่อยากให้จ่ายในส่วนนี้
แต่เอ๋ยืนยันไปว่าเรายินดีอยากให้ประกันจ่ายไปก่อนเลย พี่ติ๊กยินดีรับผิดชอบ หากวันข้างหน้าผลคดีมีการชี้ขาด จ่ายไปแล้วจ่ายไปเลย ไม่หวังเรียกคืน เลยมองว่าให้ประกันจ่ายในวันนั้นเลย ประกันเลยตกลงจ่ายวันนั้นไป 500,000 บาท และในส่วนของประกันรถยนต์ที่ทำไว้โดยสมัครใจ มีวงเงินสำหรับคนเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด คนละ 1 ล้านบาท และในส่วนของภาคบังคับ หากเราเป็นฝ่ายผิด จะจ่ายเพิ่มอีก 5 แสน รวมกับ 5 แสนที่จ่ายไป ก็อยู่ประมาณ 3 ล้านบาท นี่คือเบื้องต้นในส่วนของประกัน ไม่รวมกับส่วนที่พี่ติ๊กต้องการเยียวยาเพิ่มเติม
แต่พนักงานสอบสวนให้คุยกันคนละฝ่าย ประกันเลยเข้าไปเจรจาแทน ทางญาติเลยเข้าใจว่าพี่ติ๊กจะชำระให้แค่ 3 ล้าน ทางญาติเลยเดินมาต่อว่าพี่อ้อ ภรรยาพี่ติ๊ก ว่างั้นขอขับรถชนลูกสาวพี่ติ๊กตายบ้าง แล้วจะเอาเงินมาวางกองให้เลย 3 ล้าน เอ๋เลยมองว่าเราไม่ควรผ่านวิกฤตนี้ด้วยการพูดจาเสียดสีหรือทำร้ายจิตใจกัน และเรามาทราบในนั้น ว่า 9 ล้านบาทที่เรียกมา คือเรียกเฉพาะของน้องเมจิ ส่วนของน้องจูเนียร์ยังไม่สามารถพิจารณาตัวเลขได้
ในการเจรจาครั้งที่ 2 วันที่ 12 พ.ย. 67 เอ๋เลยไปคนเดียว เราปรึกษากันว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหนที่เราจะเอาทรัพย์สินที่เราไม่มีภาระหนี้ออกมาขาย เป็นที่แปลงนี้ น่าจะขายได้ประมาณ 4-5 ล้าน เพราะอยู่ติดหลังเซ็นทรัลโคราช เลยเจรจากับเขาว่าเป็นที่แปลงนี้ เราจะเอาออกขายให้ แต่จะขายได้เมื่อไหร่ไม่สามารถตอบได้ แต่จะขายให้เร็วที่สุด แต่คุณพ่อพูดว่าในระหว่างนี้ทางน้องจูเนียร์ต้องมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น เป็นค่ารักษาพยาบาล ค่ากายภาพต่างๆ
ซึ่งตอนนั้นเอ๋ก็ประสานพี่ติ๊ก ว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตรงนี้ พี่ติ๊กก็ยินดีรับผิดชอบ เพราะอยากให้น้องมีชีวิตอยู่ต่อ เราก็เลยตกลงว่าระหว่างนี้มีค่าใช้จ่ายอะไร ให้คุณพ่อส่งมาให้ เราจะจ่ายให้ เราจ่ายแม้กระทั่งค่าเช่าซื้อมอเตอร์ไซค์ของน้องที่เสียชีวิต ซึ่งยอดที่จ่ายไปในส่วนของพี่ติ๊ก ณ วันนี้ ประมาณ 420,000 กว่าบาท ไม่รวมเงินที่เป็นประกันภัยภาคบังคับของรถคันที่ทำประกันอีก 5 แสนบาท สื่อจะมองว่าเป็นเงินเยียวยาหรือไม่ หรือเป็นเงินค่าเสียหายเบื้องต้นหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่จะพิจารณา
สรุปเบื้องต้นที่เราจ่ายไป คือยอด 920,000 กว่าบาท แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดดูแลแค่นี้ ที่ดินแปลงที่จะขาย น่าจะได้ 4-5 ล้าน ก็ตกลงว่าขายได้เท่าไหร่ให้น้องหมด พี่ติ๊กไม่ได้มีรายได้เยอะ หรือมีงานเข้ามาเยอะแยะเหมือนเมื่อก่อน เขาก็พยายามจะหามาเยียวยา ส่วนคุณพ่อของน้อง พอตกลงกันไม่ได้ในครั้งที่ 2 ท่านก็มองว่าในส่วนของน้องคนเจ็บยังมี พ.ร.บ. อีก 5 แสน ให้เราไปคุยได้ไหมว่าให้ พ.ร.บ. จ่ายก่อน แต่ประกันเขาบอกว่าในส่วนของคนขับ ต้องให้บริษัทพิจารณาว่าจะจ่ายในส่วนนี้ได้หรือเปล่า ในเมื่อผลทางคดียังไม่ยุติ เขาไม่สามารถจ่ายได้เพราะผิดเงื่อนไข
แต่พี่ติ๊กก็พยายามจ่ายตลอด ในตอนที่ พ.ร.บ. จ่ายไม่ได้ ในส่วนของน้องคนขับ หลังจากนั้นคุณพ่อกับพี่ติ๊กเขาก็คุยกันตลอด มีการนัดว่าหลังปีใหม่จะกลับมาคุยเรื่องค่าสินไหม ขอดูอาการน้องจูเนียร์ก่อน เอ๋เข้าใจคุณพ่อ ว่ามันยากมากที่ต้องพิจารณาว่าค่าใช้จ่ายมันควรหยุดที่เท่าไหร่ เลยมีการนัดหมายกันอีกครั้ง 13 ม.ค. 68 ครั้งนี้ทางท่านผู้กำกับลงมาร่วมพิจารณาเอง ซึ่งเหตุที่เราติดต่อทนายเข้าร่วมเจรจาด้วย เพราะท่านผู้กำกับแจ้งว่า การเจรจาในชั้นโรงพัก น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว หากเจรจากันไม่ได้ อาจจะต้องรวบรวมสำนวนการสอบสวนส่งให้อัยการ เราเลยเชิญทนายมาด้วย หากตกลงกันไม่ได้ ก็จะให้ทนายประสานกับเจ้าหน้าที่
วันนั้นในส่วนของค่าเสียหาย ท่านผู้กำกับบอกให้คุณพ่อดูตัวเลขคร่าวๆ ซึ่งพี่ติ๊กก็เคยแจ้งไปว่าอยากให้ดูตัวเลขกลมๆ สำหรับน้องสองคน เพราะเขาอายุ 62 แล้ว ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อได้ถึงเมื่อไหร่ จะสามารถทำงานหาเงินมาจ่ายได้ถึงเมื่อไหร่ เลยตัดสินใจเสนอตัวเลขเดิม โดยมีทรัพย์เป็นที่แปลงนี้ที่ปลอดหนี้ ซึ่งคุณพ่อก็เสนอตัวเลขในส่วนของน้องจูเนียร์ 18 ล้าน ของน้องเมจิ 6 ล้าน รวมเป็น 24 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขมันต่างกันมาก เอ๋เลยขอกลับมาปรึกษาในครอบครัวก่อน ว่าเราจะมีความสามารถจ่ายได้แค่ไหน
แต่วันนั้นเอ๋ก็ได้บอกไปว่ายอดสูงและกระชั้นชิดขนาดนี้ เราอาจจะหาให้ไม่ทัน แต่เรายืนยันว่าที่แปลงนี้ขายได้เท่าไหร่เราให้ทั้งหมด ซึ่งคุณพ่อและทางญาติก็ไม่พอใจ แล้วทางญาติก็เอาคำพูดเดิมๆ มาคุยอีก ซึ่งมันทำลายความรู้สึก คนที่ไปนั่งเจรจาก็รู้สึกเจ็บปวดนะ ไม่ได้อยากให้มีความสูญเสียเกิดขึ้น เราพยายามหาทางขายที่เพื่อหาเงินมาให้คุณพ่อ แต่เราเองก็มีภาระหนี้ในการรักษาคุณแม่อยู่ 6 ล้านบาท เลยอยากแจ้งให้ทราบว่าเราก็ขวยขวายสุดกำลังในการเยียวยา พี่ติ๊กเยียวยาแน่นอน แต่ต้องหลังจากตกลงตัวเลขลงตัว เราเองก็รอว่าคนซื้อจะซื้อเมื่อไหร่
ในส่วนที่จ่ายไปแล้ว เรามองว่าเป็นการเยียวยาเบื้องต้น แต่เงินก้อนหลังจากนี้ 10-20 ล้านที่คุณพ่อเรียกร้อง เราก็ต้องหามาอยู่ดี แต่ถ้าหามาไม่ได้จริงๆ เราก็ต้องจ่ายเท่าทำได้สุดความสามารถของพี่ติ๊ก เรื่องที่ดินที่ลงประจำวันกันไว้ชัดเจน ว่าถ้าขายไม่ได้ แล้วคุณพ่อจำเป็นต้องใช้ ทางเรายินดีโอนที่ดินแปลงนี้ให้เลย แต่ที่ยังเอาโฉนดให้ไม่ได้ เพราะพี่อ้อเก็บไว้ในตู้เซฟ และไปเยอรมัน เลยไม่สามารถเอาสำเนาโฉนดออกมาได้ เลยทำให้ยังไม่สามารถทราบราคาประเมินที่ดินได้ วันนี้พี่อ้อพี่เพิ่งกลับมา ก็ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร แต่ตัวเลขที่มองว่าน่าจะขายได้คือ 4-5 ล้าน”
ทนาย : “ในส่วนของคดี ต้องเรียกพี่ติ๊กไปแจ้งข้อกล่าวหาใหม่ เนื่องจากมีน้องเสียชีวิตเพิ่ม ตรงนี้เราไม่ก้าวล่วง แต่ถ้ามีการสรุปสำนวนแล้ว หากเราไม่เห็นว่ามันไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง เราก็จะร้องขอความเป็นธรรม เพื่อให้ออกมาตามความเป็นจริงตามกฎหมาย เพราะในส่วนของคลิปหน้ารถ เราเห็นคลิปทั้งหมดแล้ว พี่ติ๊กไม่เคยปฏิเสธว่าตัวเองไม่ผิด แต่เรามองว่าความผิดเกิดจากพี่ติ๊กฝ่ายเดียวหรือไม่ ตรงนี้เรารอดูผลจากพนักงานสอบสวนก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยมาว่ากันอีกที
เบื้องต้นตอนนี้พี่ติ๊กมีข้อหา เมาแล้วขับ ชนคนตาย ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นชนคนตาย 2 คน การที่เราขอความเป็นธรรม คือเราขอให้พนักงานสอบสวนสรุปสำนวน ว่าเหตุที่เกิดขึ้น มีผู้ใดที่มีส่วนกระทำความผิดบ้าง แค่นั้นครับ ซึ่งตรงนี้ให้เป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนเลย”
เอ๋ : “สำหรับตัวเลขเยียวยา ตอนนี้ที่คุยกันเรา ก็ยืนยันว่า 4-5 ล้าน รวมกันทั้งสองราย แต่ไม่รวมที่จ่ายไปแล้ว คือเราคุย ณ วันนี้ ว่าตัวเลขที่เราไหวอยู่เท่านี้ สุดท้ายแล้วตัวเลขจะขยับขึ้นหรือลง เรายังเจรจากันไม่จบ อยู่ในระหว่างการต่อรองกันว่าเราจะขยับเข้าหากันยังไง เราจะขยัคขึ้นไป หรือคุณพ่อจะขยับลงมา วันนี้เราตอบไม่ได้ว่าสามารถจ่ายได้สูงสุดเท่าไหร่ แต่ฐานล่างที่เราจ่ายได้ ณ วันนี้คือ 4-5 ล้าน”
ทนาย : “ตอนนี้ยังไม่ได้นัดวันเจรจากัน เพราะพนักงานสอบสวนบอกว่า เดี๋ยวจะแจ้งเพื่อให้พาตัวพี่ติ๊กไปรับทราบข้อกล่าวหาใหม่ก่อน ยังไม่แจ้งกำหนดมาเลย เพราะเขาต้องแก้ไขสำนวน ในส่วนคดีแพ่ง ถ้าเจรจากันไม่ลงตัว และทางครอบครัวผู้สูญเสียไม่พอในใจเรื่องตัวเลข ก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะนำคดีขึ้นสู่กระบวนการศาล ถามว่ามีสิทธิ์ได้ถึง 24 ล้านไหม ตรงนี้ขอไม่ก้าวล่วงอำนาจศาลดีกว่าครับ แต่ถ้าด้วยประสบการณ์ โดยส่วนใหญ่ก็ต้องพิจารณาหลายอย่างประกอบ ขอไม่พูดว่าได้ถึงหรือไม่ถึง แต่ต้องดูว่าอาชีพอะไร เคยเลี้ยงดูบุพการีไหมและความสูญเสียของแต่ละคน ต้องเข้าใจกฎหมายประเทศไทยก่อน ต้องยอมรับความเป็นจริง ว่าบางทีค่าของคนมันไม่เท่ากัน ทั้งที่เราชีวิตเดียวเท่ากัน”
ติ๊ก : “รายได้ผมตอนนี้ ส่วนมากก็จะเป็นคอนเสิร์ตเหมือนเดิมครับ แล้วก็เรื่องของเพลง แต่ในปัจจุบันค่อนข้างยากมาก ผมมีโอกาสนำเพลงออกมาเสนอ แต่แฟนเพลงเราอาจจะไม่ได้ใช้โซเชียลมีเดียเป็นหลักอย่างสมัยก่อน แต่ผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ในเดือน ก.พ. จะปล่อยเพลงออกมาอีก ก็ทำได้เท่าที่ทำ ที่ผ่านมาก็มีโดนยกเลิกงาน
จริงๆ ผมเป็นคนยิ้มแย้มสนุกสนาน แต่ตอนนี้ไปที่ไหนก็ทำตัวสนุกสนานไม่ได้ เพราะมันจะกลายเป็นที่ครหาของสังคม มันยากเหมือนกัน มันกลายเป็นจุดที่เราต้องระมัดระวัง ผมเคยหยุดทุกอย่าง แต่มันไม่สามารถเยียวยาความรู้สึกได้ เผลอๆ จะกลายเป็นซึมเศร้าเอาจนเพื่อนๆ บอกว่าต้องออกมาบ้าง ปกติผมเป็นคนระมัดระวังเรื่องกฎจราจรอย่างที่สุดเลย นี่เป็นครั้งแรกของผม ที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขนาดนี้ ไม่ขอให้สังคมให้อภัยผมนะครับ”