xs
xsm
sm
md
lg

The Substance สวยสยอง : ชีวิตที่ 2 ของ ‘เดมี มัวร์’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา



ในบรรดานักแสดงหญิงที่โลดแล่นอยู่ในฮอลลีวูดมานานหลายทศวรรษ หนึ่งในนั้นหลายคนคงนึกถึง “เดมี มัวร์” ซึ่งประมาณ 20-30 ปีก่อน เธอคือดาวเด่นดวงหนึ่งเหนือฟากฟ้าฮอลลีวูด และอาจกล่าวได้ว่ายุค 90s คือยุคทองของเธออย่างแท้จริง

คนดูหนังที่ทันยุคนั้นคงจดจำผลงานที่โด่งดังของเธอได้แม่นยำ ไม่ว่าจะเป็น Ghost ปี 1990 ที่ก่อกำเนิดฉากปั้นหม้อในตำนานอันเป็นอมตะ ในขณะที่เดมี มัวร์ กำลังสวยสะพรั่งและพุ่งแรงสุด ๆ หรือแม้แต่หนังเรื่อง Striptease ในปี 1996 ที่ส่งให้เธอก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในดาราหญิงที่มีค่าตัวสูงที่สุด คือ 12.5 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 431 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แม้ความสำเร็จด้านความโด่งดังรวมทั้งรายได้มหาศาลจะเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา แต่ทว่า เดมี มัวร์ กลับไม่ใคร่ได้รับการยอมรับในด้านฝีมือการแสดง โปรดิวเซอร์ปากแจ๋วบางคนถึงขั้นตีตราว่าเธอเป็นได้ก็เพียง “นักแสดงป๊อปคอร์น” (Popcorn Actress) เท่านั้น ซึ่งสำหรับนักแสดงแล้ว คำคำนี้ถือว่ารุนแรงพอควร เพราะมันมีน้ำหนักถึงการดูแคลนในฝีไม้ลายมือด้านการแสดง และถ้อยคำตีตรานั้นก็ได้ตอกตรึงลงไปในความคิดของเดมี่ มัวร์ จนทำให้เธอสรุปกับตัวเองว่า เธอคงไม่มีวันได้รับการยอมรับด้านการแสดงหรือแม้กระทั่งสมควรได้รับรางวัลด้านการแสดงใด ๆ อย่างใครเขา


ยิ่งไปกว่านั้น พอล่วงเข้าสู่ปลายยุค 90s ชีวิตการแสดงของเดมี มัวร์ ก็เหมือนจะมีก้าวหน้าสู่ขาลง ถึงขั้นได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Razzie Awards (พูดง่าย ๆ คือ รางวัลด้านความยอดแย่) ถึง 6 ครั้ง และได้รับรางวัลสาขานักแสดงนำหญิงยอดแย่ 2 ครั้ง ทั้งนี้ บวกกับการถูกเสนอเข้าชิงรางวัล The Stinkers Bad Movie Awards (รางวัลด้านความยอดแย่อีกเช่นกัน) ถึง 3 ครั้ง เธอจึงตัดสินใจหันหลังให้วงการและกลับไปอยู่บ้านดูแลลูก ๆ 3 คนซึ่งเกิดจากอดีตสามีอย่างบรูซ วิลลิซ

นั่นทำให้ชีวิตด้านการแสดงของเดมี่ มัวร์ หายไปพักใหญ่ ๆ แม้ในช่วงต้นทศวรรษ 2000s เธอจะมีงานการแสดงให้ผู้ชมสัมผัสบ้าง แต่ก็ยังไม่อาจฟื้นความเชื่อมั่นในตัวเองในฐานะ “ศิลปิน” กลับคืนมาได้ เพราะมันถูกกัดกร่อนให้แตกสลายไปแล้วกับคำว่า “นักแสดงป๊อปคอร์น” อย่างไรก็ดี ในวันที่อายุเลยเลขหกมาปีสองปี ในที่สุด บทหนังเรื่องหนึ่งก็เดินทางมาถึงเธอ และอาจจะกล่าวได้ว่า มันได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในอาชีพนักแสดงของเธออย่างมหัศจรรย์

หนังเรื่องนั้นก็คือ The Substance (สวยสลับร่าง) ที่ส่งให้เธอได้รับรางวัลในฐานะนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาแล้วหลายเวที รวมทั้งรางวัลลูกโลกทองคำ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกันที่บทบาทในหนังเรื่องนี้อาจจะส่งเธอไปได้ไกลสุดถึงรางวัลออสการ์ที่กำลังจะมาถึงในช่วงเดือนมีนาคม 2568 นี้


The Substance เล่าเรื่องราวของ ‘อลิซาเบธ สปาร์เกิล’ อินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพที่กำลังอยู่ในจุดพลิกผันสำคัญในชีวิต เมื่อรายการโทรทัศน์ที่เธอทำการแสดงอยู่ตัดสินใจปลดเธอออก เพราะร่างกายของเธอโรยราเกินไปแล้วสำหรับงานนี้ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น จำต้องหาดาวดวงใหม่มาแทนที่

อย่างไรก็ดี ในขณะที่เธอกำลังรู้สึกสิ้นหวังขั้นสุด ก็ได้มีข้อความลึกลับจากบุคคลนิรนามแนะนำให้เธอรู้กับเทคโนโลยีที่ชื่อว่า เดอะ ซับสแตนซ์ (The Substance) ที่จะช่วยให้เธอกลับมาสวยสะพรั่งดั่งสาวแรกรุ่นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าจะลังเลสงสัยในตอนแรก แต่ด้วยความที่อยากกอดหน้าที่การงานและชื่อเสียงความรุ่งเรืองไว้เฉกเช่นวันอันเก่าก่อน ทำให้อลิซาเบธตัดสินใจที่จะใช้เทคโนโลยีนั้นโดยหารู้ไม่ว่า นอกจากประสบการณ์น่ายินดี ยังมีความน่าสะพรึงรอเธออยู่เบื้องหน้าด้วย

ถึงแม้พล็อตอันว่าด้วยการปลดระวาง ไม่ว่าจะโดยสมัครใจหรือไม่ก็ตาม ดูเป็นพล็อตธรรมดาที่สามารถพบเห็นได้ในหนังเรื่องอื่น ๆ หรือแม้แต่ในชีวิตจริง คนเราส่วนมากก็ต้องพบเจอวันเวลาแบบนั้นซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีวันหมดอายุ กระนั้นก็ตาม ความเด็ดขาดของ The Substance คือการเสกสร้างประสบการณ์แบบใหม่ให้กับคนดูหนัง ด้วยแนวทาง Body-Horror ซึ่งหาได้ไม่ง่ายนักในโลกภาพยนตร์ และหนังก็ทำออกมาได้ถึงและสั่นประสาทค่อนข้างหนักหน่วง


ฉากการทรานสฟอร์มร่างกาย จากหญิงสูงวัยที่เนื้อหนังมังสากำลังโรยรา สู่ “ร่างทอง” ใหม่ที่สวยใสเต่งตึง คงเป็นภาพจำสำหรับคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ไปอีกนาน ร่างกายของอลิซาเบธ ทั้งในแบบหญิงสูงวัยและวัยสาวสะพรั่ง เล่นกับความรู้สึกของคนดูได้อย่างดีเยี่ยม ทางหนึ่งคือปลดปลงเวทนา อีกทางหนึ่งก็ชวนตื่นเต้นไปกับความสวยงามเบื้องหน้า ขณะที่นักแสดงทั้งสองคนซึ่งรับบทอลิซาเบธ (ในคนละร่าง) ก็ถ่ายทอดบทบาทนี้ออกมาชนิดที่ว่าทุ่มเทให้กับบทแบบไม่หวงเนื้อหวงตัวควบคู่ไปกับการแสดงที่ดีงาม พาคนดูคล้อยตามเรื่องราว ความปรารถนา และความหวาดหวั่นพรึงของเธอได้อยู่หมัด

หนังมีฉากแหวะ ฉากรุนแรง ค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่ฉากเหล่านี้ใส่มาแบบสื่อความหมายและรองรับแก่นของหนังอันว่าด้วยความสวยความงามและความโรยรา ซึ่งมาพร้อมกับคอนเซปต์ที่พูดถึงความสามารถในการที่จะเป็น “คนใหม่” ในเวอร์ชั่นใหม่ที่ดีกว่าเวอร์ชั่นเดิม หนังสื่อประเด็นออกมาอย่างแหลมคม พร้อมกับเสียดสีแนวคิดที่ผูกติดกับมาตรฐานความงาม (Beauty Standard) ของสังคม (โดยเฉพาะอุตสาหกรรมบันเทิง) ที่ขีดข้อกำหนดผู้คนให้ต้อง “สวย” อย่างนั้นอย่างนี้อยู่เสมอถึงจะได้รับการยอมรับ ซึ่งส่งผลกระทบไปถึงความคิดและตัวตนของผู้คนด้วยเช่นกันว่าจะยอมรับตัวเองในแบบที่ตัวเองเป็นหรือว่าต้องวิ่งไล่ไขว่คว้ายึดติดกับ “มาตรวัด” หรือ “ไม้บรรทัด” ที่สังคมใช้ชี้วัดมาตรฐานความงามจนรู้สึกไร้ค่าสิ้นหวังในตัวเองและทำวิธีได้ก็ได้เพื่อให้ตัวเองได้มี “พื้นที่” หรือ “ที่อยู่ที่ยืน” ในสังคมต่อไป

ถ้อยคำหนึ่งในหนังซึ่งปรากฏอยู่บนกระดาษโน้ตที่ติดอยู่กับช่อดอกไม้ เขียนไว้ว่า “โชคดีนะ ผู้ชมจะต้องรักคุณแน่ ๆ” (Break a Leg! They are going to love you) มีบทบาทคล้ายกับตัวละครตัวหนึ่งซึ่งคอยส่งเสียงบอกกรอกหูและความคิดจิตใจของอลิซาเบธอยู่ซ้ำเล่าซ้ำเล่าแม้กระทั่งถึงตอนใกล้จบ เราก็ยังพบคำนี้ ที่เมื่อดูจากความเป็นจริงของอลิซาเบธในเวลานั้นแล้ว มันชวนหดหู่และรู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก


นักแสดงสาว “มาร์กาเร็ต ควอลลีย์” สมบูรณ์แบบในนามตัวแทนเวอร์ชั่นที่ดีกว่าของอลิซาเบธจนคนดูแอบให้กำลังใจให้เธออยู่นาน ๆ ต่อไป หรือแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังรู้สึกว่าจะลุ่มหลงในเรือนกายที่เป๊ะปังของตัวเองจนไม่อาจสูญเสียและยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักษาเรือนร่างอันสวยสดงดงามนี้ไว้ มาร์กาเร็ต ควอลลีย์ แสดงบทบาทนี้ได้ดีมากและเป็นอีกหนึ่งผลงานที่โชว์ทักษะในฐานะศิลปินนักแสดงแบบไร้ข้อกังขา

ขณะที่ “เดมี มัวร์” ซึ่งเป็นตัวยืนและตัวต้นเรื่อง ก็เรียกว่าเป็นผู้แบกร่วม “ร่างทอง” ได้อย่างทรงพลัง และเอาเข้าจริง เรื่องราวของตัวละครตัวนี้ก็มีส่วนพ้องพานกับโลกในชีวิตจริงของเดมี มัวร์ อยู่เช่นกันไม่มากก็น้อย เพราะในขณะที่อลิซาเบธเป็นตัวละครที่กำลังตกกระป๋องเพราะวันวัยที่ร่วงโรย สูญสิ้นการยอมรับจากคนในวงการที่เธอเคยทำงานให้ เดมี มัวร์ เอง ในคืนวันเก่าก่อน ก็เคยถูกตีตราว่าเป็นได้แค่นักแสดงป็อปคอร์นและไม่ได้รับการยอมรับเช่นกัน

แต่ในวันนี้ “เดมี มัวร์” ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คำดูแคลนของใครเหล่านั้นไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย หลังจากเธอได้รับโอกาสในการแสดงบทบาทนี้ ถ้าอลิซาเบธ มีร่างใหม่ที่เป็นร่างทองซึ่งทำให้ทุกคนจับจ้องมองเธอด้วยความหลงใหล บทบาทนี้จะว่าไปก็คล้าย ๆ กับ “ร่างที่สอง” หรือการเกิดใหม่อีกครั้งอย่างสง่างามของเดมี มัวร์ ที่ทำให้ทุกคนเห็นว่า เธอก็เป็นศิลปินนักแสดงมืออาชีพคนหนึ่งซึ่งไม่ควรที่จะมีใครมาดูแคลนได้อีกต่อไป


และเอาเข้าจริง เนื้อหาของหนังเรื่องนี้ ไม่มากก็น้อย ดูช่างสอดคล้องพ้องกันพอสมควรกับเรื่องราวชีวิตจริงของเดมี มัวร์ เพราะตัวเนื้อเรื่องที่กล่าวถึงตัวละครซึ่งกำลังตกกระป๋องเพราะวันวัยที่ร่วงโรยและ “ไม่ได้รับการยอมรับ” เช่นเดียวกับชีวิตช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ของเดมี มัวร์

ในวันประกาศผลรางวัลลูกโลกทองคำ นักแสดงหญิงวัย 62 ปีคนนี้ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่จับใจผู้เข้าร่วมงานและผู้รับชมการถ่ายทอดสดจากทั่วโลก สุนทรพจน์ดังกล่าวบางส่วน นอกจากจะสอดคล้องต้องกันกับเรื่องราวของตัวละครในหนังที่ทำให้เธอได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในฐานะนักแสดงคนหนึ่งแล้ว ยังฟูใจและเติมเต็มกำลังใจ ให้ความหวังและแรงบันดาลใจเปี่ยมล้น...

“บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่ฉลาด ไม่สวย หรือไม่ประสบความสำเร็จมากพอ ขอให้จำไว้ว่า เราไม่มีวันดีพอหรอกค่ะ แต่เรารู้คุณค่าตัวเองได้ แค่วางไม้บรรทัดเหล่านั้นลง รางวัลนี้เป็นเหมือนของขวัญที่ช่วยเตือนว่า ฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันรักและมันยังคงมีที่ทางสำหรับฉันอยู่”...





กำลังโหลดความคิดเห็น