“ลีน่า ลลินา” ลุ้นฟีดแบ็กละคร “แม่เลี้ยง” อ้อนด่าหนูได้แต่อย่าด่าแรง เผยหัวใจไม่เคยยอมแพ้ แม้ต้องรอถึง 10 ปีกว่าจะดังอย่างทุกวันนี้ เชื่อทุกคนมีจังหวะของตัวเอง ลั่นไม่เคยทิ้งโอกาส ไม่เคยปฏิเสธงาน แฮปปี้ดวงพุ่งแรง เป็นเบญจเพสที่ดี
กลายเป็นนางเอกที่กำลังถูกจับตามองมากในช่วงที่ผ่านมา สำหรับสาว “ลีน่า ลลินา ชูเอ็ทท์” ที่แม้จะอยู่ในวงการมาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่ในตอนนี้ถือเป็นช่วงที่เจ้าตัวเฉิดฉายที่สุด โดยเฉพาะกับละครเรื่องใหม่ แม่เลี้ยง ที่กำลังออนแอร์อยู่ตอนนี้ก็มีฟีดแบ็กดีตั้งแต่วันปล่อยทีเซอร์แล้ว กับคาแรกเตอร์นางเอกที่ร้าย แรง พร้อมปะฉะดะกับทุกคน ซึ่งสาวลีน่าเผยว่าเรื่องนี้ยากและทุ่มสุดตัวจริงๆ
“แม่เลี้ยง ก็เป็นบทบาทใหม่ๆ ต่อจากเรื่อง โลกหมุนรอบเธอ ที่มีความร้ายขึ้นมา อย่างตัวดารินกานต์ ในเรื่องแม่เลี้ยง ก็จะร้ายอีกแบบหนึ่ง ค่อนข้างท้าทายมากๆ ทำการบ้านหนักมาก ด้วยความที่บททุกตอนยาวมาก แล้วเราเป็นตัวเดินเรื่องประมาณนึงเลย เป็นคนก่อปัญหาต่างๆ ในละคร ก็เลยรู้สึกว่าเราต้องเข้าใจในทุกมิติของตัวละคร คอนฟลิกซ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่อง คือบทของเรายาวมาก เขาทะเลาะกับคนอื่นตลอดเวลา เขาเป็นคนพูดเยอะ พูดประชดประชัน บทก็จะยาวมากค่ะ
ถามว่าบทท้าทายและยากยังไงบ้าง คือด้วยความที่เมื่อก่อนหนูจะได้รับบทหวานๆ แต่เรื่องนี้เราต้องดึงอีกมุมหนึ่งของตัวเองออกมา ในมุมที่มีความดื้อ ไม่ฟังใคร ความฟาดฟัน เป็นคนที่ก้าวร้าวมากๆ เราก็ต้องดึงจุดนี้ของตัวเองออกมาให้มันแสดงตัวตนของตัวละครให้ชัดเจนมากขึ้น ก็ดึงความเป็นตัวมาบ้างนิดนึง หนูว่าทุกคนก็มีความดื้อ แล้วมันก็ต้องมาขยายความดื้อให้ชัดมากๆ ตัวดารินกานต์ดื้อกับแม่เลี้ยงมากๆ เราก็ต้องดึงจุดนี้ออกมาขยายใหญ่มากขึ้นค่ะ
ส่วนตัวหนูก็จะเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ถ้าถามว่าดื้อขนาดดารินกานต์มั้ย ก็คงไม่ วิธีการที่เราสื่อสารกับคนอื่นก็ไม่เหมือนในตัวละคร แต่เราก็ต้องทำความเข้าใจว่าทำไมเขาถึงดื้อ แล้วทำไมเขาถึงตอบโต้กับแม่เลี้ยงอย่างนั้น เราก็ต้องไปทำการบ้านมา”
ไม่เครียดต้องปะทะกับนักแสดงรุ่นใหญ่
“ต้องฟาดฟันกับพี่แอน (สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์) พี่แอน วาสนา (วาสนา พูนผล) ด้วย ตอนแรกหนูก็เครียด เพราะว่าพลังของเราต้องเท่าเขา ถ้าเราดร็อปกว่าเขาตัวละครมันก็จะดร็อปด้วยความที่ดารินกานต์เขาไม่ยอมใครเลย แต่พอทำงานกับพี่แอนแล้วเขาค่อนข้างเข้าใจในเอเนอร์จี้ของเรา เราก็ทำความเข้าใจกับเอเนอร์จี้ของพี่แอน มันเลยโอเคเวลาเข้าด้วยกัน มันก็เท่ากัน พอเจอรุ่นใหญ่กองนี้หนูไม่ค่อยเกร็ง ด้วยความที่พี่แอนเขาเป็นคนน่ารักมาก แล้วเขาเป็นคนที่ละลายพฤติกรรมกับน้องๆ ทุกคน เราไม่เครียดเลย เครียดแค่กับบท แต่กับเพื่อนร่วมงานเราไม่มีความเครียดเลย กับพี่เข็ม (ลภัสรดา ช่วยเกื้อ) ก็เป็นคนที่เอเนอร์จี้เยอะมาก แต่ว่าหนูไม่ค่อยได้เข้ากับพี่เข็ม จะเป็นพี่แอนซะส่วนใหญ่
พอดูตัวเองเล่นร้ายมันท้าทายนะ มันคนละรสชาติเวลาเราดูจอตัวเอง เราก็รู้สึกว่าคนดูเขาจะรู้สึกยังไงกับการที่เราร้ายแบบนี้ เขาจะเข้าใจเหมือนที่เราเข้าใจตัวละครหรือเปล่า ก็เดี๋ยวมารอดูกันว่าฟีดแบ็กจะเป็นยังไง แต่ส่วนใหญ่คนดูเขาก็ชอบนะ เขาบอกว่าเป็นคนที่หน้าหวานแต่สามารถเล่นร้ายได้ ดีใจที่ฟีดแบ็กกลับมาอย่างนี้ เรื่องโลกหมุนรอบเธอ กับ แม่เลี้ยง ก็แตกต่างกัน ก็ต้องมาดูว่าเรื่องนี้จะโดนด่าขนาดไหน (หัวเราะ) ถามว่าหมั่นไส้ตัวละครที่ตัวเองเล่นไหม ไม่นะ สงสารตัวละครด้วยซ้ำ เขาต้องการความรัก เขาเลยเป็นคนที่เรียกร้องความสนใจจากคนอื่น คือเราเข้าใจตัวละคร แต่เราไม่รู้ว่าคนดูจะเข้าใจหรือเปล่า ด่าได้แต่อย่าด่าแรงก็พอ (หัวเราะ) เพราะมันก็น่าด่าจริงในหลายๆ ซีน พอท้ายๆ เรื่องเขาก็จะเริ่มเข้าใจแหละว่าทำไม”
บอกเรื่องนี้ใส่สุดพลัง ทุ่มสุดตัว
“อาปิ่น (ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์) ไม่ได้บอกว่าต้องเล่นให้คนด่า อาปิ่นแค่บอกว่าทำให้เต็มที่ อาปิ่นจะพูดเสมอว่าเล่นให้สุดพลังเลย แล้วคนดูจะมีฟีดแบ็กยังไงอันนี้เป็นเรื่องของอนาคต แต่ ณ วันนั้นที่เราถ่ายทำเราต้องเล่นให้สุด ให้เท่าที่บทเขากำหนดมาให้เรา ส่วนมากหนูจะวัดจากครั้งแรกที่เราอ่านประโยคนั้น มันจะเหมือนเป็นเฟิร์สอิมเพรสชั่นกับประโยคนั้นว่าเรารู้สึกยังไง สมมติหนูอ่านครั้งแรกแล้วหนูร้องไห้ จะพยายามจำฟีลลิ่งนี้ ก็อาจจะไม่ได้ดีไซน์เป๊ะ แต่ว่าเป็นคร่าวๆ แล้วกัน ถ้าประโยคนี้เราอ่านแล้วรู้สึกเราก็จะนำจุดนี้ไปเล่นตอนถ่ายทำจริงๆ ก็มีซ้อมอ่านบท เพราะเราต้องท่องเยอะมาก ท่องหลายรอบมากจนกว่าประโยคมันจะเข้าหัว พยายามให้ตัวเองจำได้ว่าตรงนี้ควรเป็นความรู้สึกแบบไหน
ก็ต้องฮึบตัวเอง เพราะว่าด้วยประโยคเขาดีไซน์มาให้เราต้องฮึบอยู่แล้ว ถ้าเราเบามันเหมือนย้อนแย้งกัน บทเขาเขียนมาดีมากๆ มันส่งให้เรามีความรู้สึกโกรธ หมั่นไส้ อยากฟาดฟันอยู่แล้ว แต่ถามว่าตัวหนูเองเป็นคนเรียบร้อยไหม ก็ไม่ถือว่าเรียบร้อย แต่ก็ไม่ถึงดารินกานต์มันก็เกินไป คือเราก็ไม่ได้ผ้าพับไว้เหมือนนางเอกสมัยก่อน ก็ปกติ เป็นสาว 25 ปกติ ไม่รู้จะอธิบายยังไง (หัวเราะ)”
ตื่นเต้น รอลุ้นฟีดแบ็ก
“เรายังไม่รู้เนอะ เพราะเรายังไม่ได้อ่าน ถ้าเขาพูดถึงตัวละคร ด่าตัวละคร หนูโอเค แต่ถ้าเขาคอมเมนต์การแสดงเรา ก็จะนำไปปรับปรุงในอนาคต แต่เรื่องที่แล้วที่มีคอมเมนต์แรงๆ หนูโอเคมากๆ เพราะว่าอันนั้นเผลอๆ เหตุผลน้อยกว่าตัวละครนี้อีก ก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะเขาชมการแสดงเราด้วยซ้ำไป ไม่เสพติดการโดนด่านะ ไม่เอา แต่ว่าที่ผ่านมาก็ไม่มีช่วงนอยด์นะ ก็ยังแฮปปี้กับผลงานตัวเอง ถือว่าเราประสบความสำเร็จในหน้าที่ที่เราได้รับแล้ว หนูพยายามให้ตัวเองเต็มที่ในงานนั้นจริงๆ อย่างเรื่องนี้หนูเครียดเพราะว่ามันใช้พลังเยอะมากๆ เราก็ไม่รู้ว่าคนดูเขาจะมองตัวละครเรายังไง เดี๋ยวมาดูกัน
หนูตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก เพราะว่ามันมีเราทุกตอนเกือบทุกฉากเลย อยากรู้ว่าออกมายังไง เพราะเราไม่มีโอกาสที่จะดูมอนิเตอร์ตลอดเวลา ก็เลยอยากรู้ว่าถ้าเวลาตัดออกมาแล้วมันจะเป็นยังไง ตื่นเต้นจริงๆ ผลงานตัวเองจะออกมาในทิศทางไหน หนูไม่ได้กังวลว่าจะต้องเป็นนางเอกเลย หนูว่าพอเป็นนักแสดงเราต้องสามารถเข้าถึงบทบาททุกแบบ เพราะนางเอกสมัยนี้ อย่างตัวเมี่ยงที่พี่อุ้ม (อิษยา ฮอสุวรรณ) เล่น ก็ไม่ได้เป็นนางเอกที่เรียบร้อยหวานๆ เขาก็เป็นนางเอกที่สู้คนเหมือนกัน ทุกตัวละครมีเสน่ห์เป็นของตัวเอง แล้วเราเองในฐานะนักแสดงก็ต้องดึงเสน่ห์ตรงนั้นออกมาไม่ว่าจะเป็นนางเอก นางร้าย หรือตัวละครไหนก็ตาม ผู้ใหญ่ให้มา ผู้ใหญ่เขาเลือกเราแล้วเห็นว่าเราเหมาะกับบทนี้ แล้วเราจะไปปฏิเสธมันไม่ใช่ ถ้าเขาเห็นว่าเราสามารถทำได้ เราก็ต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเราทำได้”
เชื่อเกือบ 10 ปีในวงการ ตอนนี้ถือว่าเป็นจังหวะของตนแล้ว
“ตอนนี้แฟนๆ ก็น่าจะได้เห็นผลงานหนูชัดขึ้น ตั้งแต่เรื่องโลกหมุนรอบเธอ คนก็พูดว่าเห็นหนูมากขึ้น เป็นที่พูดถึงมากขึ้น ก็ดีใจ หนูเป็นคนที่ไม่ค่อยทิ้งโอกาสตัวเอง ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ไม่เคยปฏิเสธละครเลย ไม่ว่าละครเรื่องไหนเข้ามาหนูมองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะพัฒนาตัวเอง มันก็คือประสบการณ์ที่เราสะสมมาเรื่อยๆ ถามว่าระยะเวลา 10 ปีมันยาวนานขนาดไหนกว่าจะถึงวันนี้ของเรา หนูว่าทุกคนมีจังหวะเป็นของตัวเองหนูเชื่ออย่างนั้น หนูก็เชื่อมาตลอดว่าสักวันมันก็ต้องถึงเวลาของเราสิ รู้สึกว่าวันนี้จังหวะของเรามาถึงแล้ว ถ้าพูดตรงๆ ก็รู้สึกว่าอันนี้คือจังหวะของเราแหละ
เมื่อก่อนหนูไม่ค่อยได้คิดมาก เพราะด้วยความที่เราอาจจะเด็ก หนูเข้ามาตั้งแต่อายุ 15 แล้วก็เรียนหนังสือมาเรื่อยๆ เข้ามหาวิทยาลัย ทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย หนูใช้ชีวิตแบบเด็กผู้หญิงคนนึง มีอะไรให้ทำมาตลอด หนูไม่ได้ฝากความหวังทุกอย่างไว้ในวงการบันเทิง คือหนูใช้ชีวิตในแบบที่หนูอยากใช้ในรั้วมหาวิทยาลัยทุกอย่าง แต่พอเรียนจบเราก็รู้สึกว่าเรามีความหวังกับอาชีพนี้มากขึ้น มาโฟกัสแบบเต็มรูปแบบหลังจากที่เราเรียนจบ คือเมื่อก่อนมันอาจจะมีอย่างอื่นให้เราได้คิด ได้เรียนหนังสือ เพราะหนูชอบเรียนหนังสือ พอเรียนจบถึงเวลาที่เราต้องโฟกัสการทำงานจริงจังแล้วนะ เราก็มาโฟกัสค่ะ”
ยอมรับเคยท้อ คิดอยากเปลี่ยนสายงาน
“มันมีมาตลอดแต่พอเรียนจบแล้วมันมีชัดขึ้น ด้วยความที่มันมีโซเชียลมีเดียเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เราก็มีภาพในหัวว่าเราอยากให้คนมองตัวตนเราเป็นยังไง แสดงไลฟ์สไตล์ของเรามากขึ้น แล้วในพาร์ตการแสดงเราก็เข้าถึงบทบาทให้ได้มากที่สุดไม่ว่าจะเป็นนางร้าย นางเอกอะไรก็ว่ากันไป เราไม่ฟิกซ์เลย แต่ว่าในพาร์ตที่มันเป็นส่วนตัวของเรา เราก็แสดงให้คนเห็นว่านี่คือตัวตนเรา นี่คือลีน่านะ ไม่เคยตั้งเป้าว่าจะต้องกี่ปี แต่เชื่อในใจว่ามันต้องมี แต่ถามว่าเคยท้อไหม ก็มีบ้าง เคยอยากยอมแพ้ก็มี แต่ก็รู้สึกว่าทำอะไรเราต้องทำให้สุด ถ้าเรารู้สึกว่ามันยังไม่ถึงเวลาของเราแปลว่ามันยังไม่ถึง เราก็ต้องทำจนกว่ามันจะถึง
ช่วงที่ท้อตอนนั้นอาจจะเป็นช่วงเรียนจบใหม่ๆ ที่เราโฟกัสมาที่การทำงานร้อยเปอร์เซ็นต์ มันคือเส้นทางของเราใช่ไหมนะ เราควรจะเดินต่อไปทางนี้ใช่ไหมเพราะว่าตอนที่เรียนในรั้วมหาวิทยาลัย หนูก็มีหลายๆ เรื่องที่รู้สึกว่าอยากทำเหมือนกัน อินสไปเรชั่นใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ก็เลยรู้สึกว่าหรือเราเปลี่ยนสายดีไหมนะ แต่ว่าสุดท้ายคำตอบมันก็ชัดเจนว่าอยู่ตรงนี้แหละดีแล้ว เพราะว่าหนูเอาคนดูเป็นตัวตัดสินว่าเขารู้สึกว่าเราเหมาะกับการเป็นนักแสดงไหม การที่เราแสดง คนดูเขาดู คนดูคือผู้บริโภค ก็เลยรู้สึกว่าผู้บริโภคน่าจะเป็นคนตัดสินว่าได้ว่าเราเหมาะสมที่จะอยู่ในจอหรือเปล่า”
เชื่อเป็นปีเบญจเพสที่ดี
“หนูถึงบอกว่ามันต้องมีเวลาของหนู เหมือนหนูเชื่อในตัวเอง หนูไม่ได้เชื่อในสิ่งรอบข้าง แต่หนูเชื่อในตัวเองลึกๆ ว่ามันจะต้องถึงเวลาของเราสิ แล้วหนูก็แค่ทำพาร์ตของตัวเองให้มันดีที่สุด อะไรที่ทำให้เชื่อว่าฉันต้องมาเหรอ หนูว่ามันคือเซ้นส์ มันเป็นเซ้นส์บางอย่างที่บอกเรา ดูดวงด้วยเหรอ หมอดูก็เพิ่งมาบอกเมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง เขาก็บอกว่าปีนี้แหละ จริงๆ เราก็ไม่ได้สายมูขนาดนั้น ทำในแบบที่เราสบายใจ แต่เราไม่ได้ตามเทรนด์ทุกอย่าง ก็ถือเป็นเบญจเพสที่ดี ทุกอย่างมันเหมือนลงล็อก ชีวิตหนูมันเป็นอย่างนี้ตั้งนานแล้ว ก่อนที่หนูจะเข้าวงการ หนูเกือบไปเมืองนอกแล้ว กำลังจะมีแพลนย้ายไปเมืองนอก แล้วมีคนไปเห็นหนูที่เชียงใหม่ ซึ่งมันแรนด้อมมากๆ ชีวิตหนูมันลงล็อกทุกอย่าง
ตอนนั้นหนูเดินอยู่ในโรงเรียน ใส่แว่น ดัดฟันอยู่เลย เขาบอกว่าพี่มีเรื่องนี้อยากให้หนูไปแคสอยู่ที่กรุงเทพฯ ก็เลยเดินทางมาแคสที่กรุงเทพฯ หนูมองว่าทุกอย่างในชีวิตมันคือโอกาสที่ดีเสมอ ไม่ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาดีหรือร้าย เราได้ทำมันแล้ว เป็นคนไม่ได้ไขว่คว้า แต่ถ้ามีโอกาสมาก็ทำ หนูเป็นมนุษย์สไตล์นั้น”
เผยหมอดูทักว่าปีนี้ดวงพุ่งสุดๆ
“คือกว่าหนูจะสวยหนูว่ามันก็ใช้เวลานะ หนูว่าหนูมาสวยหลังๆ นี่แหละ (หัวเราะ) เราไม่ได้ไปทำอะไรเพิ่มเติม ก็เป็นหนูอย่างเดิมนี่แหละ แต่ว่าอาจจะด้วยความเป็นสาว การดูแลตัวเองต่างๆ นานา ลงล็อกพอดี หนูว่าทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แล้วว่าเราจะต้องเป็นนักแสดง คือเมื่อก่อนหนูไม่เคยคิดเลยว่าอยากเข้าวงการ ไม่เคยมองภาพตัวเองเป็นซุป’ตาร์ ไม่มีเลย แต่หนูจำได้ว่าเคยไปเดินตลาดกับคุณแม่ แล้วจะมีแม่ค้าคนหนึ่งบอกว่า เนี่ย ต้องเข้าวงการให้ได้นะตอนโต เข้าให้ได้เลยพี่ขอร้อง แล้วหนูก็แบบหน้าอย่างเรานี่นะเข้าวงการ เราไม่มีภาพนั้น แม่ค้าขายขนมจีนทัก ทุกวันนี้กลับไปตลาดนั้นยังจำหน้าเขาได้อยู่เลย เขาคงจำได้แล้วแหละ แต่หนูไม่ค่อยได้กลับไปไง
หมอดูบอกว่าปีนี้ดี เป็นปีที่ดีมากๆๆๆ ของเรา ก็ดีเรื่องงาน ความรักอาจจะพับไว้ก่อน แต่ว่าเรื่องงานนี้พุ่งเลย แต่หนูไม่ค่อยได้คาดหวังกับอะไรมาก หนูจะเป็นคนที่คาดหวังกับอะไรที่มันดูมีความเป็นไปได้สูง อย่างทุกปีหนูจะตั้งโกลของตัวเองว่าหนูอยากได้อะไร 1 2 3 4 เป็น 10 ข้อเลย แล้วหนูจะตั้งทุกอย่างบนพื้นฐานความเป็นจริงว่ามันดูมีทิศทางว่าจะเป็นไปได้ไหม ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ เราก็เตรียมพร้อมรับมือโอเคไม่เป็นไร แปลว่ามันไม่ใช่ของเรา แต่ถ้ามันได้ก็แปลว่าดี คือคาดหวังกับตัวเอง แต่ไม่ได้คาดหวังกับสิ่งภายนอก อย่างสมมติการที่เราจะได้เป็นนางเอกหรือไม่ มันไม่ได้เกี่ยวกับเรา แต่มันอยู่ที่ผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นหนูจะไม่คาดหวัง หนูจะคาดหวังกับตัวเองว่าต้องทำผลงานทุกชิ้นออกมาให้ดี”
ไม่ได้ทะเยอทะยาน แต่ทำทุกงานอย่างเต็มที่
“ก็ทำการบ้านกับหน้าที่ที่เราได้รับมา ไม่ว่าจะงานไหน ไม่ว่าจะพาร์ตอินฟลูฯ พาร์ตนักแสดง หรือพาร์ตพิธีกร ทุกอย่างเลย เราจะต้องทำการบ้านกับมันเข้าใจมันอย่าง 360 องศา หนูมองว่าการเป็นนักแสดงมันเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง มันต้องใช้เซ้นส์เยอะมาก อันนี้คือสิ่งที่หนูรู้สึกว่ามันช่วยหนูในชีวิตประจำวันนะ เพราะว่าการเป็นนักแสดงมันต้องเปิดเซ้นส์หมดเลย มันต้องเข้าใจมนุษย์อีกคนหนึ่ง มันต้องมีความเป็นอาร์ติสต์นิดหนึ่งในการที่จะเข้าถึงอาชีพนี้ มันไม่ใช่ธุรกิจอย่างเดียว โอเคธุรกิจมันก็คือหนึ่งในพาร์ตของมัน แต่ว่าหลักๆ แล้วมันคือศิลปะมากกว่า
หนูว่าหนูไม่ได้เป็นคนทะเยอทะยานขนาดนั้น แต่มันค่อยๆ ไล่ไป สมมติหนูเริ่มเห็นโอกาสตัวเองที่ดีแล้ว งั้นเราต้องโกลที่สูงกว่านี้ดีกว่า แล้วก็ค่อยๆ ไปเรื่อยๆ เป็นขั้นบันได เราจะไม่พุ่งทะยานขนาดนั้น เราจะค่อยๆ ไปในพื้นที่ของเรา”