“หนุ่ม กิติกร” กล้าพูดแบบไม่อาย บ. เฮลิโคเนีย เป็น King of Food คอนเทนต์ เผยกลยุทธ์ผลิตรายการนาน 15 ปีแบบไม่มีตัน คือพยายามหาอะไรใหม่ๆ มาเสริมตลอด ยอมรับมีการคัดคาแรกเตอร์ผู้เข้าแข่งขัน แต่เน้นฝีมือ ใครเก่งอยู่ ใครไม่เก่งไป ใครพลาดออก ยันไม่มีลากดรามา แม้คนนั้นจะกระแสดี เพราะทำเรียลลิตี้ที่เน้นความเรียล ปัดทำเรตติ้งสูงจนช่อง 7 ขาดไม่ได้
เรียกว่าเป็นเจ้าพ่อของรายการแข่งทำอาหารไปแล้ว สำหรับ “หนุ่ม กิติกร เพ็ญโรจน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลิโคเนีย เอช กรุ๊ป จำกัด เพราะนอกจากจะกว้านซื้อลิขสิทธิ์ ของรายการแข่งทำอาหารจากทุกประเทศมาไว้กับตัวแล้ว ก็ยังขยันแตกไลน์รายการใหม่ๆ อยู่เสมอเพื่อให้มันไม่ตัน ล่าสุดได้เจอเจ้าตัวในงานมอบรางวัล The Spoon 3 ช้อนทองคำ The Spoon The Final ที่ chang canvas one bangkok หนุ่ม กิติกร ก็ได้เปิดใจถึงเรื่องนี้ ว่าพูดได้เต็มปากแบบไม่อาย เราเป็น King of Food คอนเทนต์
“อันนี้เป็น The Spoon 2024 ช้อนทองคำ ซีซั่นแรก เป็นรายการที่จะรวบรวมสตรีทฟู้ดไทยเข้ามาแข่งขันกัน เพื่อชิงความเป็นหนึ่งของแต่ละเมนู ปีนี้ก็มีประมาณ 7 เมนู เช่น กระเพรา คั่วไก่ ผัดไท ผู้ที่เป็นร้านเหล่านี้ก็มาสู้กัน เราคัดเลือกกว่าพันร้านค้าจนมาเข้ารายการ ในแต่ละอาทิตย์ผู้แข่งขันเขาก็จะสู้กัน เพื่อจะได้ช้อนทองคำ วันนี้เป็นวันไฟนอล ที่รวบรวมร้านที่ได้ 2 ช้อนทองคำ ซึ่งเป็นแชมป์ของแต่ละวีกมาเจอกัน เพื่อที่จะประกาศ 3 ช้อนทองคำของแต่ละสาขา”
ฟีดแบ็กดีมาก เตรียมทำซีซั่น 2 ต่อทันที
“ที่ผ่านมาก็ถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดี ร้านต่างๆ มีความสนใจอยากที่จะเข้ามาแข่งในรายการนี้ พอจบไฟนอลนี้เราก็จะเข้าซีซั่น 2 ต่อเลย เพราะช่วงนี้ช่วงหาเงินครับ (หัวเราะ) เพราะมีร้านค้ามากมาย ในปีนี้เราทำ 7 เมนู ก็จะเป็นสุดยอดเมนูสตรีทฟู้ดที่ทุกคนรู้จัก พอปีหน้าเราจะเพิ่มเป็น 20 กว่าเมนู เพราะปีที่แล้วเราเริ่มกลางปี แต่ปีนี้เราเริ่มต้นปีเลย เพราะฉะนั้นจำนวนเมนูเราจะเยอะขึ้น เลยต้องการที่จะทำให้รายการนี้อยู่ทั้งปีครับ”
ตอนนี้ทำอยู่หลายรายการมาก
“จริงๆ มี MasterChef Thailand, TOP CHEF Thailand, Hell's Kitchen, Iron Chef Thailand, The Next Iron Chef Thailand, MasterChef Junior Thailand, MasterChef Celebrity Thailand แล้วก็มี The Spoon มีมาเรื่อยๆ ความท้าทายในการทำรายการอาหาร ผมคิดว่าต้องมา 2 ทาง ทางหนึ่งคือให้เห็นความแปลกใหม่ของอาหาร สองมันคือเรียลลิตี้ มันคือชีวิตของคนทำอาหาร ต้องให้เห็นชีวิตจริงของคนทำอาหารในสถานการณ์จริง เมื่อเป็นชีวิตจริง เราก็จะเห็นว่าบางคนมีความสุข บางคนเศร้า มีความทุกข์ บางคนก็ทะเลาะกัน บางครก็รักกัน”
พยายามหาอะไรใหม่ๆ มาเสริมในแต่ละรายการ เพื่อให้มันไม่ตัน
“ผมคิดว่าทุกรายการมันมีชีวิตของมันหมด มันจะมีไลฟ์สไตล์ของมันหมดว่ากี่ปีจะเบื่อ แต่สิ่งที่เราต้องทำ หนึ่งคือทำยังไงให้มันยาวที่สุดในแต่ละรายการ หมายความว่าทุกปีเราต้องมีของใหม่ อย่างเชฟกระทะเหล็กเราอยู่มา 15 ปีแล้ว มาสเตอร์เชฟก็ 10 ซีซั่นแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องมีของใหม่เพื่อให้ชีวิตของแต่ละแบรนด์มันยาวที่สุด อย่างที่สองคือเราต้องหารายการใหม่มาเสริม เพื่อจะทำให้คอนเทนต์มีความหลากหลายมากที่สุด”
เป็นรายการอาหารที่มีดรามาตลอด แต่คนก็ยังดู
“ทำอาหารถ้าไม่มีดรามาดูอะไร ก็ไม่รู้จะดูอะไรเหมือนกัน (หัวเราะ) แต่ว่าดรามาที่มันเกิดขึ้น อย่างที่ผมเรียน มันไม่ใช่ดรามาที่เราสร้าง มันเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มันคือมนุษย์ เพราะฉะนั้นรายการมีหลายประเภท รายการที่เราเลือกทำเป็นรายการเรียลลิตี้ มันคือละครประเภทหนึ่ง ที่เป็นละครจากชีวิตจริง มันเลยทำให้เกิดกระแสต่างๆ ที่ถูกพูดถึง ว่าทำไมคนนั้นทำแบบนี้ คนนี้ทำแบบนั้น ควบคู่ไปกับอาหารที่เขาทำ”
แบ่งสัดส่วนดรามา 30 ฟู้ด 70 เอาความฝันของแต่ละคนเป็นหลัก ไม่เอาดรามามาลากรายการ
“ตามหลักแล้วดรามาจะอยู่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ฟู้ดอีก 70 เปอร์เซ็นต์ เพราะเรายึดการทำอาหารเป็นหลัก แล้วจุดสำคัญของเรียลลิตี้เกี่ยวกับอาหาร มันคือการแข่งขัน เราไม่ได้เอาดรามามาลากรายการ แต่เราต้องเอาความฝันของเขาแต่ละคน มาทำให้รายการเดินต่อ หมายความว่าการตัดสินทุกครั้งต้องแฟร์ที่สุด เพราะมันคือความฝันของแต่ละคน เราจะไม่ทำลายความฝันเขาเพื่อดรามา เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าหลายๆ ครั้ง คนที่ดูแฟนคลับเยอะๆ แต่วีก 3 ออกแล้ว เราก็ปล่อย เพื่อให้ทุกอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด และเรียลที่สุด ผมคิดว่าตรงนี้เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้คนติดตาม ว่าทำไมออก ทำไมอยู่”
ไม่ได้ยึดคนเป็นหลัก หรือเอาคนกระแสดีไว้ เพราะรายการที่ไม่เรียล โดยเฉลี่ยแล้วจะเจ๊ง
“รายการไม่ได้คำนึงว่าคนไหนกระแสดีจะยื้อไว้ เพราะว่าเราเชื่อว่าเราสามารถสร้างคนที่อยู่ ให้เป็นกระแสต่อได้ คือถ้าเรายึดคนเป็นหลัก ว่าคนนี้กระแสดีไม่ควรออก อันนั้นมันผิดจากคำว่าเรียลแล้ว เมื่อมันไม่ไหร่แล้ว รายการเจ๊งแน่ เพราะคนดูเพราะความเรียล แต่บางคนก็จะมีคำถามว่าเรียลจริงหรือเปล่า แต่จริงๆ มันต้องเรียล จริงๆ มันมีการทำการบ้านกันอยู่แล้ว ว่าเรียลลิตี้ที่พยายามเซ็ตน่ะ โดยเฉลี่ยแล้วเจ๊งทั้งนั้น เพราะคนดูไม่โง่ ดูก็รู้ว่าเซ็ตนี่หว่า ส่วนเรียลลิตี้ที่เรียลจริงๆ ส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จครับ”
ยอมรับมีการคัดคาแรกเตอร์ผู้เข้าแข่งขัน แต่สิ่งที่สำคัญคือฝีมือ
“แน่นอน เรียลลิตี้ต้องมีทั้งสองอันรวมกัน อันแรกคือมีคาแรกเตอร์ต่างๆ ที่เข้ามาอยู่ในรายการ ถ้าเข้ามาแล้วเหมือนกันหมดเลย มันก็จะไม่มีอะไรที่ทำให้น่าดู แต่อันที่สองสำคัญกว่านั้นคือฝีมือ เพราะมันคือการแข่งขัน ถ้าเข้ามาโดยไม่มีฝีมือเลย มันก็ไม่ใช่ แล้วการแข่งขันแต่ละวีก ก็ต้องยึดว่าใครเก่งอยู่ ใครไม่เก่งไป ใครพลาดออก ต่อให้เก่งยังไง แต่ถ้าพลาดก็คือออก คนถามว่าคนกระแสดีออก รายการจะอยู่ได้เหรอ คำตอบคือได้ เดี๋ยวมันมีทิศทางมันไปเอง เพราะมันเป็นเรียลลิตี้”
เลือกจับคอนเทนต์เดียว พร้อมล้อมกรอบไม่ให้ใครสู้ได้ เลยสามารถอยู่ได้ เพราะสปอนเซอร์วิ่งเข้าหา
“ผมคิดว่า ณ ปัจจุบันสภาพรายการทีวีหรือมีเดีย มันต้องจับจุดใดจุดหนึ่งให้ชัดเจนไปเลยจุดเดียว ถ้าเป็นสมัยก่อนฟรีทีวีเขาจะทำวาไรตี้ ทอล์กโชว์ ละคร หนึ่งบริษัททำหลายอย่างมาก แล้วเขาอยู่ได้นะ เพราะสมัยก่อนมีแค่ 4 ช่อง แต่สมัยนี้ 20 กว่าช่อง แถมมีโซเชียลมีเดียเต็มไปหมดเลย เพราะฉะนั้นคอนเทนต์ที่เราจะไป เราต้องเป็นคิง เราก็เลยปักที่ฟู้ด และใครจะมาสู้เราไม่ได้ เราต้องล้อมกรอบทั้งหมด เมื่อเราเป็นแบบนี้ สปอนเซอร์ที่เกี่ยวกับฟู้ดเขาก็จะมาหาเราก่อน ปัจจุบันถ้าไปทำหลายๆ คอนเทนต์ก็เบลอ ลูกค้าก็จำไม่ได้”
กล้าพูดเต็มปากและไม่อาย ว่าเป็น King of Food ของรายการแข่งทำอาหาร
“ผมพูดได้ ผมพูดไม่อายด้วย เราเป็น คิง ออฟ ฟู้ด คอนเทนต์ครับ เพราะฉะนั้นรายการต่างๆ ที่เป็น เวิลด์ฟอร์มแมตช์ทั้งหลาย อยู่กับเราหมดแล้ว ถึงแม้ยังไม่ออนแอร์ก็อยู่กับเรา เราเซ็นไว้หมด ทุกอย่างที่อยู่ในโลกนี้ เราเซ็นไว้หมดแล้ว ก็เตรียมปล่อยไปเรื่อยๆ นั้นหมายความว่ารายการที่เรามีอยู่แล้ว เราก็ต้องแตกไปเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันเรารู้แล้วว่ารายการมันตันลง เราก็ต้องเอาของใหม่มาเสริม เพื่อให้เฮลิโคเนียมันไปต่อ”
ปัดช่อง 7 ขาดรายการตนไม่ได้ เพราะสร้างเรตติ้ง แถมทำให้ค่าโฆษณาสูงขึ้น
“ช่อง 7 เขาขาดทุกคนได้อยู่แล้ว (หัวเราะ) ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ เราอยู่ช่อง 7 เขาก็ช่วยเรา เพราะฉะนั้นถ้าเราจะไปที่อื่น ก็ไม่รู้จะไปเริ่มใหม่ทำไม จริงๆ สมัยก่อนผมทำช่อง 3 นะ แล้วเขาไม่ให้แอร์ไทม์ผม (หัวเราะ) ผมเลยย้ายมาอยู่ช่อง 7 ย้ายมาเป็น 10 ปีแล้ว แล้วเขาก็ให้แอร์ไทม์ผมมาเรื่อยๆ เขาดูแลช่วยเหลือเราอย่างดี เราก็อยู่ (เขามีข้อเสนอพิเศษให้ไหม?) ผมคิดว่าเป็นการคุยกันมากกว่า สำหรับผมช่อง 7 เหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่คอยช่วยเรา ทำให้เราอยู่ได้”
เผยช่องอื่นมีมาคุยบ้าง แต่บ้านนี้มีความสุขอยู่แล้ว ไม่รู้จะไปทำไม
“ช่องอื่นก็มีคุยบ้าง (หัวเราะ) แต่เรารู้สึกว่าเราอยู่บ้านที่อบอุ่น มีความสุขอยู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะไปบ้านใหม่เพื่ออะไร ถ้าเรายังไม่เห็นอะไร (ไม่คิดจะแตกยอดรายการอื่นไปด้วย?) ไม่ เพราะเราเชื่อว่าเราคงไม่สามารถทำอะไรเยอะแยะหรอก ณ ปัจจุบัน ทีวีมันไม่เหมือนสมัยก่อน ที่จะเพิ่มแอร์ไทม์เยอะๆ แล้วกำไร สมัยนี้แอร์ไทม์มาคือเตรียมเจ๊ง คุณต้องดูดีๆ ว่าจะเอารายการอะไรใส่ แล้วมันสู้ได้จริงๆ เพราะฉะนั้นเราโฟกัสในสิ่งที่เรามีให้ดีที่สุด ถ้าเราทำเยอะเกินไปคุณภาพมันก็ไม่ได้”
คนเราฝีมือทำอาหารไม่เท่ากัน แต่ถ้ามีพรแสวง อาจจะดีว่าคนที่มีพรสวรรค์แต่ไม่แสวง
“ผมคิดว่าอาหารก็เหมือนเพลง อาหารคืออาร์ตชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นคนเกิดมาไม่เท่ากันหรอก แต่ทุกอย่างมันคือกรรมเก่ากรรมใหม่ ดีเอ็นเอคุณเป็นอย่างนี้ ด้อยตรงนี้ เด่นตรงนี้ นี่คือกรรมเก่า แต่กรรมใหม่คือถ้าคุณอยากเจริญ คุณต้องฝึกฝน เพราะฉะนั้นถามว่าทุกคนทำอาหารได้ไหม มันไม่เท่ากันหรอก แต่ว่าถ้าคุณมีพรแสวงมากกว่าพรสวรรค์ คุณอาจจะดีกว่าคนที่มีพรสวรรค์แต่ไม่แสวง ตัวผมทำได้ทุกเมนู แต่ไม่การันตีว่าอร่อย เพราะลูกไม่กิน (หัวเราะ) ลูกเมียเดินหนีหมดเลย เพราะผมเป็นครีเอทีฟ ไม่ตามแบบแผนจนภรรยาบอกว่าอย่าทำ ลูกบอกหยุดดีกว่า (หัวเราะ)”
