“ปอนด์ Be On Cloud - พิง ลำพระเพลิง” เล่าที่มาปัดฝุ่นภาพยนตร์ “บุปผาราตรี” เพราะโลเกชั่นเรียกให้ทำหนัง เผยทำพิธีสะตวง ส่งข้าวเลี้ยงผี เปิดทางเรียกวิญญาณให้ผีช่วยมาสนับสนุน ช่วยเล่น ช่วยส่งเสริมให้หนังประสบความสำเร็จ ไม่สบายใจรุดทำพิธีหลัง “เจษ เจษฏ์พิพัฒ” ต้องนั่งรถเข็น แพลนระหว่างหนังเข้าฉายจะทำละครเวทีที่โลเกชั่นออสการ์อพาร์ทเมนต์ให้คนเดินเข้าไปแล้วจะเห็นดวงวิญญาณมาร่วมแสดง
เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับการกลับมาของ “บุปผาราตรี” เวอร์ชั่น 2025 ในชื่อว่า “บุปผาราตรี มาลีรัตติกาล” ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของค่าย Be On Cloud ที่ “ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช” ผู้บริหารค่าย Be On Cloud ทำร่วมกับ “พิง ลำพระเพลิง” ผู้กำกับและคนเขียนบทชื่อดัง โดยเวอร์ชั่น 2025 นี้ จะไม่ใช่บุปผาราตรีในเนื้อเรื่องแบบเดิม ซึ่งทางพิงและปอนด์ได้เผยถึงแรงบันดาลใจในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะโลเกชั่นเรียกให้ทำ
พิง : “โปรเจกต์นี้มันเริ่มจากที่ผมอยากเขียนบทหนังสือสักเรื่อง ก็เลยลองไปเดินที่ซอยเพชรบุรี 39 เดินเข้าไปโลเกชั่นมันพูดคุยกับเรา ก็เลยเกิดเป็นเรื่องสร้างภาพขึ้นมา ก็โทร.ไปหาพี่ต้อม (ยุทธเลิศ สิปปภาค) ว่าผมอยากจะขอซื้อเรื่องขอซื้อชื่อ เขาให้มา ได้ชื่อมา ก็มาคิดว่านักแสดงใครดี ก็เลยไปติดต่อ วี(วิโอเลต วอเทียร์) วีถามว่าเล่นกับใคร ผมก็บอกว่าผมเล็งเจษ (เจษฏ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์) ไว้ วีบอกถ้าเป็นเจษวีสนใจ
ก็ไปลองดูเจษ เขาเป็นเด็ก Be On Cloud ก็เลยโทร.ไปหาคุณปอนด์ เพราะไม่รู้จักกันมาก่อน ปอนด์เขาก็บอกว่าสนใจโปรเจกต์ และกลัวว่าเรา… ก็ไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกว่าผมจะเอาเจษไปทำอะไรไม่ดีไม่งานหรือเปล่า เขาก็บอกว่างั้นผมขอร่วมดูแลด้วย ผมก็เอาสิBe On Cloud เขาจะช็อปผู้กำกับคนไหนก็ได้ แต่เขาเลือกเรา ผมก็ขอบคุณมากๆ ที่ทำให้โปรเจกต์นี้เกิดขึ้น รวมถึงวีและเจษด้วย”
“พิง” เผยโลเกชั่นเรียกให้มาทำหนัง
พิง : “เวอร์ชั่นนี้เกี่ยวข้องกับเวอร์ชั่นที่แล้วน้อยมากๆ คนละจักรวาลกันเลย โลเกชั่นนี้มันศักดิ์สิทธิ์มาก มันพูดคุยกับเรา มันร้างอยู่ 20 กว่าปีแล้วนะครับ เรากำลังพูดถึงถนนเพชรบุรี 39 จากปากซอยถึงท้ายซอย 300 เมตร กลางเมือง ตึกแถว 2 ข้างทางร้างหมดทุกห้อง สุดซอยเป็นอพาร์ทเมนต์ออสการ์ โลเกชั่นของหนังปากซอยเพชรบุรี 39 เคยมีเหตุการณ์รถแก๊สระเบิด คนตาย 80 กว่าศพ คุณคิดว่าคนเสียชีวิตตรงนั้น คุณจะไปอยู่ตรงไหน เลยไปอีกนิด อีกด้านนึง เมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้วเขาเพิ่งไปทลายคลินิกทำแท้ง ทำมา 10 กว่าปี คุณคิดว่าท่อระบายน้ำที่มันใช้ร่วมกัน ถ้าคุณตกลงไปในนั้น แล้วคุณเจอที่ ที่มันนิ่งๆ มืดๆ เงียบๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว ถ้าคุณผ่านไปผ่านมาแล้วไม่มีคนอยู่อาศัย คุณจะไม่ไปอยู่เหรอครับ มันเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนบทเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่าโลเกชั่นมันน่ากลัวมากๆ
ผมรู้สึกว่ามันน่ากลัว ตอนผมไป ผมไปกลางวันนะครับ มันเงียบ มันหวิวมากจนได้ยินเสียงลม ผมไปนั่งตรงนั้นแล้วเรื่องราวมันก็เข้ามา โลเกชั่นมันคุยกับผมจริงๆ ครับ ตัวผมเองไม่เคยเจอผี แล้วผมก็เป็นคนกลัวผี ผมก็พาหมอดู พาคนทรงไปด้วย เขาก็บอกเล่าว่าที่ๆมันเงียบๆ มืดๆ เราไม่มีที่อยู่ เราผ่านไปผ่านมาแล้วไม่มีคนอยู่เราจะไม่ไปอยู่เหรอ”
ด้าน “ปอนด์” ก็รู้สึกจากเซ้นส์เช่นกันว่าโลเกชั่นให้ต้องทำหนัง
ปอนด์ : “หลายคนรู้จักบุปผาราตรี ช่วงที่ผ่านมามีภาพยนตร์หลายเรื่องติดต่อให้เจษไปเล่น เราก็คุยกันเยอะว่าอยากจะไปเล่นเรื่องอะไร เจษก็บอกว่าบุปผาราตรีเป็นเรื่องที่เขาอยากจะเล่น ผมก็เอามาคิดต่อว่ามันจะยังไง ก็คุยกันเยอะ ทั้งกับในค่ายกับพี่พิงทั้งในเรื่องบทและหลายๆ อย่าง เลยรู้สึกว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเราก็ร่วมลงทุนไปด้วยซะเลยมันจะได้ใช้ความเป็นเราผสมเข้าไปด้วย ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก
มันเป็นเซ้นส์อย่างนึง ถ้าไม่พูดถึงความเฮี้ยน ความหลอน 20 กว่าปีออสการ์อพาร์ทเมนต์จริงๆ ควรจะต้องถูกทุบทิ้งไปแล้วแหละ ถนนทั้งเส้นตรงนั้นควรจะต้องถูกปรับเปลี่ยนเป็นคอนโด แต่มันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่ เซ็ตติ้งของออสการ์และซอยนั้นมันเหมือนสตูดิโอที่ไม่มีใครทำขึ้นมาได้อีกแล้ว ต่อให้เซ็ตยังไงก็ไม่เหมือน ตัวผมก็ได้ไปที่นั่นจริงๆ ผมไปจนรู้สึกว่าทำเถอะเพราะไม่รู้ว่าเซ็ตติ้งแบบนี้จะอยู่อีกนานเท่าไหร่ มันคือเซ็ตติ้งเขาพูดกับเรา มันอาจจะไม่ได้ยินเป็นเสียง แต่เขามาบอกความรู้สึกว่าอยากให้มีภาพยนตร์ที่มาถ่ายตรงนี้ แม้กระทั่งพวกเราหรือตัวละครในนั้น เรายังคิดถึงบุปผาราตรีอยู่ แต่อันนี้จะเป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ไม่ใช่การที่เราเอาเวอร์ชั่นนั้นกลับมาทำ”
รุดทำบุญหลังที่อพาร์ทเมนต์ออสการ์ หลัง “เจษ” ต้องมานั่งรถเข็น
ปอนด์ : “ภาพโปสเตอร์ที่ออกไปผมสารภาพว่าช่วงนั้นหลังเขามีปัญหาต้องนั่งรถเข็น ผมก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนิดนึง ผมเลยไปทำบุญกรุ๊ปเล็กๆ ที่ออสการ์อพาร์ทเมนต์ ผมขนลุกไปหมดเลยนะวันนั้นที่ไปยืนตรงนั้นมันขนลุกไปหมดเลย มองไปรอบๆ เงยหน้าขึ้นไปมองก็รู้สึกว่ามันเป็นเซ็ตติ้งที่เราไม่สามารถทำขึ้นมาเองได้ ด้วยบรรยากาศและพลังงาน
มีพระมาบอกผมด้วยเหมือนกันว่ามันมีอย่างนี้ๆๆ นะ แล้วเผอิญโปรดิวเซอร์ก็เล่าเรื่องเดียวกันทั้งๆ ที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน ผมเลยรู้สึกว่าน่าสนใจ มันเหมือนว่าทุกอย่างสอดคล้องกันไปหมด ก็เลยมีความคิดแต่ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่าว่าระหว่างที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายผมจะทำเหมือนละครเวทีให้คนเดินเข้าไปแล้วจะเห็นดวงวิญญาณอยู่ในนั้นเนืองๆ ผมคิดเอาไว้แล้ว”
“ปอนด์” เล่าไว้ใจ “พิง” เพราะเชื่อว่าเป็นคนมีของจึงอยากเข้าไปซัปพอร์ตในแบบของตน
ปอนด์ : “เราคุยกันมาก่อนหนังเรื่องนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าพี่พิงแกผ่านโลกมาเยอะ มันก็มีทั้งความเจ็บปวดและความอ้างว้างบางอย่าง วงการมันก็ไม่ได้ง่าย เวลาผมคุยกับเขาก็เหมือนกับที่ผมเจอเจษเมื่อสมัยก่อน เจอมาย-อาโปสมัยก่อน ก็รู้สึกว่าคนนี้มีของนะ ถ้าเรามีสรรพกำลังอะไรที่เราซัปพอร์ตเขาได้เพื่อให้เขารู้สึกมั่นใจ ผมเชื่อว่าเขาจะทำสิ่งที่อัศจรรย์ขึ้นมาได้ ผมชอบงานโคตรรักเอ็งเลย ของพี่พิงมาก เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ทุกวันนี้มันยังอยู่ในใจผมอยู่ ผมเพียงแค่อยากทำให้เขาสบายใจ ทำให้เขามั่นใจผมจะเป็นแบ็กอัปที่ดีของเขา ลุย และเอาตัวตนของเขาจริงๆ ออกมาสู้อีกที ผมเลยรู้สึกว่าโปรเจกต์นี้เหมาะกับเขาที่สุดแล้ว และมันก็เหมาะกับ Be On Cloud เหมือนกัน มันมีความหลอนๆ ความใหม่บนเก่า ความแสบๆคันๆ ความตลก มันก็เป็นทางของเรา ในค่ายทุกคนตื่นต้นกันจริงๆกับบุปผาราตรี”
เล่าถึงพิธีส่งข้าวให้ผี ก่อนเปิดตัวหนัง “บุปผาราตรีมาลีรัตติกาล” หวังให้ผีช่วยสนุบสนุนงาน
ปอนด์ : “ผมเป็นคนเสนอ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเวิร์กไหม ผมได้คุยกับเพื่อนผมที่ผลิตหนังผีที่อินโดนีเซีย ซึ่งเขาประสบความสำเร็จมากๆ ผมก็ถามเขาว่าตอนทำกลัวไหม แล้วต้องทำยังไง เขาก็พูดเหมือนกันว่าก็คุยกันเลย เหมือนตกลงกันให้ผีมาช่วยเล่นช่วยสนับสนุน สมมติว่าเราไปที่ไหนที่นึงที่เราคิดว่าน่าจะมีพลังงานอยู่ เราก็พูดคุยกับเขา เอาขนมให้เขาหน่อยแล้วก็บอกเขาว่าฝากด้วยนะครับ ผมว่ามันก็น่ารักดี พอไปสืบก็รู้ว่าที่เมืองไทยก็มีพิธีนี้เหมือนกัน เรียกว่าพิธีสะตวง
เหมือนเป็นการเปิดทาง ผมก็ไม่อยากให้มีปัญหาไม่ว่าจะกับใครในเรื่อง ผมว่าถ้าเราคุยกันดีๆ ทุกพลังงานมาช่วยกัน ผมว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดี เพราะเราเล่าเรื่องเกี่ยวกับผีอยู่ เราก็ควรจะเคารพเขานิดนึง ผมเองเดี๋ยวจะต้องมีไปทำบุญอีก ทำพิธีต่างๆอีก ที่นี่มีพลังงานแบบพิเศษ ก็พยายามจะเคารพสถานที่ให้มากที่สุด
ผมต้องการการสนับสนุนแต่ไม่ต้องการความเฮี้ยนกับเรา ต้องการทำให้หนังดูเฮี้ยน ก็มาช่วยกัน ก็ช่วยกันได้ ผมเชื่อว่าทุกอย่างต้องประกอบกัน เราขอพร บอกกล่าวไปในเรื่องเดียวกัน เชื่อว่าถ้าเราคุยกันดีๆเขาก็น่าจะยินดีและสนับสนุนเรา”
มีแผนเตรียมพา “บุปผาราตรีมาลีรัตติกาล” ไปทั่วโลก
ปอนด์ : “ก็คาดหวังว่าหลายๆ คนจะได้ดูหนังผีที่หลอนๆ มีความสนุกกวนๆ แบบไทย อยากให้คนทั้งโลกได้สัมผัส Be On Cloud พอจะมีฐานตรงนี้อยู่บ้างที่พอจะพากันไปได้ บวกกับความมั่นใจของทีมงานและนักแสดง ผมว่าน่าจะพากันไปถึงจุดนั้นได้”
พิง : “ตัวผมบอกเลยว่ากดดันมาก อย่างที่ทุกคนทราบว่าผมเพิ่งถูกตัดสินว่าแพ้มา รายได้ของภาพยนตร์เรื่องล่าสุดมันอาจจะไปไม่ถึงตามเป้า ผู้ลงทุนเขาก็เห็นผลแล้วว่าผมยังแผลสดอยู่ แต่เขาก็ยังจัดใหญ่ให้ผม ไม่กดดันมันก็เกินไปแล้ว มันกดดันครับแต่ผมมองว่ามันจะยิ่งเป็นโอกาสดีดตัวเองขึ้นมา ผมรู้สึกว่าคนเรายิ่งถูกกดให้ต่ำเท่าไหร่มันจะยิ่งบูมขึ้นมามากเท่านั้น ต้องขอบคุณ Be On Cloud ที่ให้โอกาส”
เล่าถึงการทำงานร่วมกันด้วยความที่ในงานนี้มีคน 2-3 เจนมาร่วมงานกัน ต้องผสมผสานกันยังไงเพื่อให้งานมันลงตัวเป็นเนื้อเดียวกันที่ลงตัว
ปอนด์ : “เราก็ใช้วิธีลองคุยกันก่อน พอคุยกันรู้เรื่องเราก็ไปกันต่อ พี่พิงอาจจะอายุ 58 แต่ใจเขาเด็กมากๆ ที่ผ่านมาผมว่าความมั่นใจของเขาหายไปเยอะเลย ด้วยเวลาด้วยสถานการณ์ของวงการบันเทิงที่มันยากขึ้น ทำให้ใจพี่พิงเขาฝ่อหน่อยๆ ผมรู้สึกว่าผมเข้าไปเติมเต็มให้เขา เขามีของอยู่แล้วผมไม่ได้เขาไปเปลี่ยนเขา ให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เลย ผมแค่ไปเติมให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น ไม่ต้องห่วงเราจะแบ็กอัปให้ทุกอย่าง (การเติมเต็มหมายถึงการปรับบทเปลี่ยนนั่นนี่ใหม่?) ปรับครับ ปรับจนกว่าจะโอเค”
พิง : “ในส่วนของบท ผมมีจุดอ่อนอะไร ปอนด์เขาจะมาเรียกประชุมกันหมดทั้งบริษัท ตัวคุณปอนด์ ผม ทีมนักแสดง เขามาให้ความเห็นเกี่ยวกับความต้องการของตัวละคร มันก็เป็นบางมุมที่เราไม่ได้รับรู้จริงๆ เราไม่เห็นจริงๆ เช่น ผมเป็นผู้ชายจะเขียนยังไงให้เห็นมุมของผู้หญิง คุณปอนด์เขาก็มองว่าตรงนี้ผมอาจจะขาด มุมนั้นผมอาจจะเก่าไปนะ ลองดูคนของ Be On Cloud ไปไหม ผมก็รู้สึกว่ามันเวิร์กจริงๆ ครับ (เราก็เปิดรับไม่มีโกรธเคือง?) เขาเปิดรับแบบเผด็จการครับ ค่อนข้างเฮี้ยบแต่บางอย่าง บางองค์กรผมว่ามันประชาธิปไตยเต็มที่ไม่ได้ มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่คนบางคนต้องเด็ดขาดในบางสิ่ง มันถึงจะพาเรือบางลำแล่นไปสู่จุดมุ่งหมายได้”
ปอนด์ : “ผมเชื่อการเปิดกว้างในการทำบท ผมว่ามันจะได้งานที่เข้าถึงคน เราเอาเรื่องของคนมาคุยกันแล้วเอามาปรับจูนเป็นงาน บุปผาราตรี เอามาทำเหมือนเดิมแบบภาคแรกเลยผมว่าคนไม่ได้ชอบแล้ว มันจุดพลุไปแล้ว จุดพลุแบบเดิมไม่มีใครชอบแล้ว ณ วันนี้เราเพียงแค่ยังชอบเซ้นส์นั้น ชอบสิ่งนั้นที่เคยเกิดขึ้นแล้วเราเอามาทำในรูปแบบใหม่ พอพี่พิงเปิดรับเหมือนกันมันก็เลยสนุกมาก เราปรับบทกันทุกวัน มันไม่ได้เครียด แน่นอนว่าเขากดดันตัวเองแหละ แต่ผมเชื่อว่าทุกคนพร้อมซัปพอร์ตและพากันไป บทที่ดีเดี๋ยวมันจะไหลออกมาตามธรรมชาติเอง แค่เราเปิดใจกับมัน ก็อยากให้ทุกคนส่งกำลังใจให้พี่พิงครับ“