xs
xsm
sm
md
lg

“นก จริยา” ลั่นแรงถึงภาครัฐ ไม่ร่วมรบ แต่มาเกาะตอนดัง วอนยังไม่สายถ้าจะสนับสนุนอุตสาหกรรมบันเทิงเหมือนเกาหลี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“นก จริยา” เผยช่อง 3 เข้าใจดี ไม่มีปัญหา หลังโดดร่วมงานช่องโมโน ยันมีละครเสนอช่อง 3 อีกหลายเรื่อง ยังไม่ทิ้งทวนเรื่องสุดท้าย บอกทุกฝ่ายกำลังสู้เต็มที่เพื่อสิ่งที่รัก ระบายความในใจ อยากให้ภาครัฐช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมบันเทิงเหมือนเกาหลี สร้างเม็ดเงินไหลเข้าประเทศ ไม่ใช่ดังแล้วถึงมาเกาะ เหมือนที่ตาม “ลิซ่า” ต้อยๆ ลั่นพูดแล้วอาจจะดูนิสัยไม่ดี แต่มันเสียดาย ตอนนี้ถึงจะช้าเกินไป แต่ก็ยังไม่สาย ถ้าจะกลับมาช่วยกันสนับสนุน

เป็นอีกหนึ่งผู้จัดที่โดดไปร่วมงานกับช่องโมโน สำหรับ “นก จริยา แอนโฟเน่” งานนี้หลายคนก็เลยแอบสงสัย ว่าการไปเป็นผู้จัดข้ามช่องแบบนี้ ทางช่อง 3 ต้นสังกัด จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า หรือว่ามีเงื่อนไขพิเศษอะไรไหม ล่าสุดวันนี้ (14 ม.ค.) ได้เจอ นก จริยา ที่มาร่วมงานแถลงข่าว “ปีใหม่ละครใหม่ 2568” ณ ช่อง 3 อาคารมาลีนนท์ ในฐานะผู้จัดละครเรื่อง เพลงพยัคฆ์ เจ้าตัวก็ได้เผยถึงเรื่องนี้ว่าไม่มีอะไรเลย และตนกับทางช่อง 3 เข้าใจกันดี แต่สิ่งที่เป็นปัญหา ก็คืออยากให้ทางภาครัฐ ช่วยเข้ามาสนับสนุนอุตสาหกรรมบันเทิงไทย เหมือนประเทศเกาหลีใต้บ้าง

“ละครที่ทำกับช่อง 3 ตอนนี้มีเรื่องนี้ค่ะ เพลงพยัคฆ์ ที่ปิดกล้องไปเมื่อต้นปี ถ่ายทำไปตั้งแต่ปีที่แล้ว จริงๆ จบโปรเจกต์นี้แล้ว ก็มีแพลนการนำเสนอเข้ามานะคะ ก็ได้คุยๆ ปรึกษากับทีมผู้ใหญ่อยู่เหมือนกัน แต่ทีนี้ก็อย่างที่พวกเราทราบกันดี ว่ามีการปรับบ้าง เปลี่ยนบ้างเพื่อเซ็ตตัว มันอยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนอะไรใดๆ งานอาจจะยังไม่ซิงค์กันโดยตรง ซึ่งก็อย่างที่น้องๆ ทราบดี ว่าเราก็ขยับไปทำกับช่องโมโนด้วย”

มีอยู่ในมืออีกหลายเรื่อง ที่จะเสนอกับช่อง 3 แต่อยากเปลี่ยนแนวมาเป็นฟีลเพลงลูกทุ่ง
“จริงๆ ก็หลายเรื่องนะคะ ทีนี้มันต้องดูว่า บางเรื่องความเข้มข้นกับสิ่งที่ถ้าเกิดว่าอนุมัติไปในปีนี้หรือปีหน้าเนี่ย รูปแบบของงานจะเป็นยังไง คือเราต้องคิดไปเผื่อเวลาข้างหน้านิดหนึ่งด้วย แต่ว่าก็ยังเป็นโหมดงานของเราอยู่ค่ะ ค่อนข้างที่จะเป็นดรามาชีวิต แต่บางครั้งที่เราทำอะไรเยอะมากในโจทย์เดิม บางทีโจทย์มันซ้ำ แล้วเราก็มีโจทย์ที่อยู่ในใจนานแล้ว เกี่ยวกับเรื่องฟีลเพลงลูกทุ่ง หรือซอฟต์พาวเวอร์ไทย มันเป็นอะไรที่อยากทำมานานแล้ว แล้วก็ได้เสนอเรื่องนี้ ขอโอกาสกับทางช่อง ว่าอยากเปลี่ยนแนวบ้างนิดหนึ่ง เพื่อเติมฟีล เติมอะไรให้กับตัวเองให้มันเป็นสีสันอื่นบ้างค่ะ”

ลองทำแล้วได้เติมรสชาติบางอย่างให้ตัวเอง เปลี่ยนแค่จังหวะการเล่า
“จริงๆ แล้วถามว่าต้องปรับอะไรไหม ก็เหมือนปรับจังหวะการเล่า เล่ายังไงให้มันสนุกที่สุดด้วย เรื่องนี้จะมีความเป็นเพลงมานำ เราก็เข้าไปดูฟีลของวงดนตรีลูกทุ่ง กับฟีลของคนที่เป็นอาชีพนี้ ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง ซึ่งก็ได้เปลี่ยนโหมดอะไรบางอย่างของตัวเอง เหมือนเติมรสชาติบางอย่างมาให้ตัวเอง มุมมองก็กว้างขึ้น แล้วมันเป็นเสน่ห์แบบที่อยากทำมานานแล้ว แล้วก็เห็นคนอื่นเขาทำมันน่ารักดี เราก็คิดว่าถ้าเราทำจะเป็นยังไง”

เป็นเรื่องแรกที่ฉีกจากรูปแบบเดิมของตัวเอง
“ใช่ไหม (หัวเราะ) จริงๆ แล้วมันชอบ แต่ยังไม่เคยพรีเซนต์และนำเสนอออกไป แล้วโดยโจทย์ที่ช่องให้ ก็เป็นแนวที่เราเข้ามือ เป็นลายเซ็นเราชัดเจน แต่ว่าอันนี้มันเก็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่งที่อยากเจอโจทย์นี้บ้าง แล้วก็ชอบนะ”

ติดใจแนวนี้ อนาคตมีโอกาสก็อยากทำอีก
“ชอบๆ ถ้ามีสตอรี่ที่น่าสนใจ ที่จะมาจับเอาเพลงลูกทุ่งทำอีก เราชอบนะ เรามีความรู้สึกว่าเพลงของศิลปินแห่งชาติ เพลงดีๆ ของเรามันไม่หายไป มันถูกกลับมาให้เด็กๆ หรือคนอีกรุ่นหนึ่งได้ฟัง เหมือนเพลงที่เปิดบนเวทีเมื่อกี้ เป็นเพลงของ อาชาย เมืองสิงห์ ชื่อเพลงมาลัยน้ำใจ ซึ่งพอมาทำใหม่มันก็ได้ความคึกคัก แล้วมาจังหวะพอดีเลย คือหลังเทศกาลปีใหม่นิดหนึ่ง เขาจะได้มาฟังเพลงแล้วคึกคัก เวลาได้ฟังแล้วเราก็อยากจะเต้น มันอยู่ความเป็นคนไทยค่ะ”

ไม่ลุ้นเรตติ้ง เพราะทำเต็มที่แล้ว เชื่อคนดูน่าจะชอบ
ต้องใช้คำว่าไม่ลุ้นนะ เพราะเรามีความรู้สึกว่า เรื่องนี้ได้ทำในแบบที่เต็มแม็กซ์ของตัวเองแล้ว แล้วการที่ทำเต็มแม็กซ์ในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพลง การเล่าเรื่อง หรือเรื่องของฝาแฝด คิดว่าคนดูต้องได้ความสุข ได้บรรยากาศ ได้ความสบายใจ ได้อรรถรสของสิ่งที่เราตั้งใจเสิร์ฟไป คิดว่าคนดูน่าจะชอบ”

เผยช่อง 3 ไม่มีปัญหาและเข้าใจกันดี หลังโดดไปเป็นผู้จัดที่ช่องโมโน
“จริงๆ แล้วในความผูกพันของเรากับช่อง 3 เนี่ย ที่นี่ตัดสายสะดือให้เราเกิดเลยนะ เราความสัมพันธ์ ความเคารพกับช่อง 3 ก็ยังเหมือนเดิม แล้วเมื่อเรามีการปรับรูปแบบงาน เราก็เดินเข้ามาแจ้งผู้ใหญ่ ท่านก็ให้คำแนะนำที่ดี มันเป็นปกติของการทำงานค่ะ มันต้องมีการปรับบ้าง ผู้ใหญ่ก็ยังบอกว่าเราไม่ได้ขาดกันไปไหนนะ เราก็ยังกลับมาทำงานกันเหมือนปกติ เราว่าเราตรงไปตรงมา เรียบง่าย และคุยกันผู้ใหญ่ก็ให้ความเมตตาเสมอมา แล้วทางฝั่งโมโนก็ให้เกียรติ คือเราคุยกันเรื่องงาน เราเอาผลงานที่ดีๆ ไปเสนอ แล้วมันอาจจะยังไม่ลงล็อกกับทางช่อง 3 ซึ่งแต่ละคนก็มีสไตล์ของตัวเอง เราทุกฝ่ายเข้าใจกันดีค่ะ”

ยัน “เพลงพยัคฆ์” ไม่ได้เป็นการทิ้งทวนเรื่องสุดท้ายกับช่อง 3 ทุกฝ่ายกำลังสู้เพื่องานที่รักอยู่ อยากให้ภาครัฐช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมบันเทิงบ้าง
“ไม่ๆ เป็นการปรับรูปแบบการทำงาน ไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว มีการถ่ายเท มีการเขย่า งานมันไม่ควรอยู่นิ่ง ควรปรับกันอยู่เรื่อยๆ รูปแบบมันจะถูกปรับเปลี่ยน ตอนนี้ทุกฝ่ายกำลังสู้กันเต็มที่ ด้วยความเข้าใจกัน (สู้ให้ละครกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง?) ใช่ สู้เพื่องานที่เรารัก เพื่อความครัวของคนที่อยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมบันเทิง แล้วสิ่งหนึ่งที่เราคิดตลอด คือคนไทยไม่ได้ไม่มีคุณภาพ หรือด้อยไปกว่าต่างชาติ แต่ที่ผ่านมามันถูกตีกรอบ อันนี้เล่าได้ อันนี้เล่าไม่ได้ อันนี้แตะได้ อันนี้แตะไม่ได้ ซึ่งบางทีความเป็นสากลเขาเล่าได้เยอะกว่าเรา ทุนเขาสูงกว่าเรา เขาได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเยอะกว่าเรา

เรายกตัวอย่างเลยว่าเกาหลีเนี่ย ภาครัฐเขาส่งคนไปเรียน เพื่อนำอุตสาหกรรมต่างๆ ออกไปเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศ ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่า K-Pop, ซีรีส์, หนัง เขานำ นั่นคือเป็นการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งจริงๆ เราขออนุญาตพูดเลยนะ ว่าบ้านเราไม่เคยได้รับการลงทุนจากภาครัฐ เรื่องไหนดังก็ไปเกาะ เห็นไปเกาะเขา จริงๆ ถ้าคุณหันมาดูแลอุตสาหกรรมบันเทิงให้เต็มที่ ข้าวไทย อาหารไทย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูปแบบของคนไทย ที่เราจะไปนำให้คนต่างชาติเขามาเที่ยวเมืองไทยเนี่ย มันมหาศาล แต่เห็นงบที่ออกมาแล้วก็อยากร้องไห้”

ไม่ร่วมรบ ไม่สนับสนุน รอให้สำเร็จก่อน แล้วผู้ใหญ่ถึงจะพุ่งเข้ามาหา
“ถูกค่ะ อย่าง บุพเพสันนิวาส เห็นไหม ไม่ร่วมรบ ไม่ร่วมชูป้าย ไม่ร่วมสนับสนุนสินค้าไทย ไม่ร่วมสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยไปกับเรา ตอนหนังสัปเหร่อดังก็เป็นยังไงล่ะ”

เหล่าผู้จัดคุยกันมานานแล้ว ว่าอยากให้มีการเปลี่ยนแปลง ฝากภาครัฐถึงจะคิดช้าเกินไป แต่ก็ยังไม่สาย
“เราพูดเรื่องนี้กันมานานมากแล้วค่ะ เราว่า Vision ของผู้ใหญ่ ถ้าคิดได้ไวกว่านี้ 10-20 ปี แรงไปไหม (หัวเราะ) เราพูดความในใจ แต่เป็นสิ่งที่จริง เพราะมันเป็นสิ่งที่เราคิดอยู่ในใจมาตลอดเลยว่า เด็กบ้านเราที่เก่งๆ ไปทำงานเมืองนอกหมดเลย กับอุตสาหกรรมไหนๆ ก็แล้วแต่นะคะ แม้แต่อุตสาหกรรมบันเทิง แต่เกาหลีเขาส่งไปเรียน แล้วเอากลับมาทำงานที่เกาหลี แล้วส่งออกไปขาย อย่าง แดจังกึม เรากินอาหารเกาหลีเป็นเพราะอะไร เพราะเราดูจากสื่อบันเทิงนี่แหละ ดูลิซ่า (ลลิษา มโนบาล) เราก็ไปเกาะน้องต้อยๆ จริงๆ ต้องขอบคุณลิซ่านะคะ

เรานิสัยไม่ดีไหมพูดอย่างนี้ (หัวเราะ) แต่เราขอพูดความในใจว่าเราเสียดาย แล้วเราก็ยังพยายามสู้เพื่อหลายๆ ครอบครัวที่เราดูแล และอยู่ในอุตสาหกรรมบันเทิงด้วยกัน เราก็ฝากสื่อมวลชนด้วย ว่าอยากให้เป็นกระบอกเสียง ถ้าคุณเข้าใจการวิ่งไปของสื่อที่มันอยู่ที่ปลายนิ้ว เราเห็นได้ชัดมากล่าสุด จากที่ลิซ่านี่ออกไปตั้งไม่รู้กี่ร้อยล้านวิวแล้ว ว่าเมืองไทยตรงนี้อะไรใดๆ จะคิดช้าเกินไปก็ไม่สายนะคะ ถ้าจะกลับมาช่วยกันสนับสนุนสินค้าไทย อาหารไทย แหล่งท่องเที่ยวไทย ผ้าไทย มันจะได้เงินไหลเข้าประเทศ หลายๆ อุตสาหกรรมจะได้ยังคงอยู่ และเติบโตไปด้วยการบูรณาการ อายจังเลยมาพูด แต่มันเป็นความในใจ ก็ฝากๆ น้องๆ สื่อ ไม่งั้นเราจะเสียดายอีกหลายอาชีพกับสินค้าของเรา ที่ควรจะนำเงินเข้าประเทศได้”







กำลังโหลดความคิดเห็น