สำหรับคอหนังสยองขวัญเมืองไทย คงไม่มีใครไม่รู้จักหนังเรื่อง “ลองของ” อีกหนึ่งตำนานความสยองของบ้านเรา ซึ่งมีตัวละครหลักอย่าง “ครูพนอ” ครูสาวที่ดูภายนอกอาจจะเซ็กซี่น่าหลงใหล แต่เบื้องลึกภายในซ่อนความลึกลับน่าสะพรึงไว้แบบที่พูดได้เลยว่าไม่มีใครอยากพบอยากเจอ
ทั้งนี้ หลังจากภาพยนตร์แฟรนไชส์อย่าง “ลองของ” ซึ่งมีสโลแกน “เสียวสยองทุก 2 นาที” ที่ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก่อนจะทิ้งช่วงไปนานกว่า 20 ปี วันนี้ ตำนานความคลั่งของคนเล่นของ กลับมาอีกครั้ง และพร้อมพาคนดูไปทำความรู้จักกับต้นกำเนิดความสยองที่มาแบบทวีคูณกว่าเดิมในหนังเรื่อง ‘พนอ’
โดยหนังเรื่องนี้จะเป็นหนัง Prequel ที่เล่าเรื่องราวก่อนหน้าของตัวละครก่อนจะมาเป็น “ครูพนอ” ใน “ลองของ 1-2” ซึ่งจะทำให้คนดูรู้จักกับตัวละครนี้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมเธอถึงได้น่าหวาดหวั่นสะท้านจิตถึงเพียงนั้น
เรื่องราวโดยย่อเล่าถึง ‘พนอ’ สาวรุ่นวัยบริสุทธิ์ซึ่งเกิดมาในวันที่มีคนในหมู่บ้านทำพิธีปล่อยของ (คุณไสย) ขณะที่ทุกคนในหมู่บ้านต่างพากันรังเกียจเธอ กล่าวหาว่าเธอเป็นตัวเสนียดจัญไร ใครอยู่ใกล้มักจะมีอันเป็นไปจากการถูกคุณไสยเล่นงาน และด้วยความบังเอิญ พนอก็ได้รู้ว่าสิ่งที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่กำเนิดนั้น มันคือมนต์ดำที่ใครสักคนทำให้เธอต้องพบเจอเรื่องราวอย่างนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสิ่งชั่วร้ายที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่กำเนิด หรือว่าจริง ๆ แล้ว เธอเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาที่ถูกอำนาจด้านมืดของคุณไสยกำลังจ้องเล่นงานอยู่
ชะตากรรมอันชั่วร้ายที่ติดตัวพนอมาตั้งแต่กำเนิดคืออะไร? และความลับด้านมืดที่พนอต้องเผชิญหน้าอยู่นั้น มีใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง? ทั้งหมดคือปฐมบทแห่งเรื่องราวไสยศาสตร์เสียวสยองที่ทุกคนจะต้องจดจำชื่อของเธอไปจนวันตาย
หนึ่งในหลาย ๆ องค์ประกอบที่น่าสนใจก็คือ คนที่จะมารับบทบาทเป็นพนอในวัยสาวรุ่นนั้น ได้แก่ศิลปินนักแสดงชื่อดัง “เฌอปราง อารีย์กุล” ซึ่งหลายคนมองว่า นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งการพลิกบทบาทครั้งสำคัญของดาราสาวคนนี้ เธอมีความสวยงามน่ารักอยู่ในตนเองเพียบพร้อมอยู่แล้ว ส่วนที่เหลือคือความน่าประหวั่นพรั่นพรึงซึ่งต้องไปพิสูจน์กันว่าเธอจะถ่ายทอดสื่อสารออกมาได้เฉียบขาดเพียงใด
ขณะที่ในส่วนของผู้กำกับนั้น คือ “พุฒิพงศ์ สายศรีแก้ว” ซึ่งคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงภาพยนตร์มานานกว่า 20 ปี และเป็นหนึ่งใน 7 ผู้กำกับสมาชิกทีม Ronin ที่ร่วมสร้าง “ลองของ” ให้ติดตาตรึงใจคนดูมาจนปัจจุบัน ศักยภาพของผู้กำกับคนนี้ได้รับการยืนยันจากผลงานเด่น ๆ มาแล้วหลายเรื่อง เช่น “ขอบคุณที่รักกัน” (2554 / กำกับร่วม), ตีสาม คืน 3 (3D) ภาค 2 (2557), Bangkok Ghost Stories ตอน หวอดผวากะดึก (2561), ลองของ ซีรีส์ 8 ตอน (2563) และ School Tales The Series ตอน แรงสาปแช่ง (2565)
นอกจากนั้นเขายังมีบทบาทในภาพยนตร์อีกจำนวนไม่น้อย เช่นล่าสุดคือการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับให้กับหนังเรื่อง Bangkok breaking : Heaven and hell หรือ “ฝ่านรกเมืองเทวดา” ที่สตรีมบนเน็ตฟลิกซ์และได้รับคำชมอย่างล้นหลาม
พุฒิพงศ์ สายศรีแก้ว ได้เปิดใจบอกเล่าถึงที่มาที่ไปของผลงานล่าสุดของเขาอย่าง “พนอ” ว่า เป็นโปรเจ็กต์ที่เขาอยากทำมากที่สุด นับจากภาพยนตร์ “ลองของ” ทุกภาคที่ผ่านมาเกือบ 20 ปี
พุฒิพงศ์ เล่าว่า การที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ใส่แกนหลักของเรื่องที่ว่าด้วยเรื่องของการทำไสยศาสตร์ ก็ด้วยเหตุผลว่า ไม่ว่าเวลาจะเดินทางไปอีกสักกี่ปี การเล่นของด้วยวิธีกรรมทางไสยศาสตร์ก็ไม่เคยสูญหายไปจากโลกนี้ เพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบในการทำไสยศาสตร์ให้จับต้องได้ง่ายและใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นเรื่องไสยศาสตร์มันไม่เคยหายไปไหนเลย ยังคงมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย ถ้าจะเปลี่ยนก็คงเป็นแค่รูปแบบการบูชาที่เปลี่ยนไปให้เข้าถึงง่าย หรือที่เรียกว่า “สายมูฯ”
“ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทุกคนจะได้เห็นจุดเริ่มต้นของพนอ ที่บอกได้เลยว่าความลับเบื้องหลังของตัวละครตัวนี้มันจะมีรอยต่อที่ทิ้งท้ายมาจาก ลองของ 2 ในส่วนของเรื่องการดีไซด์เอฟเฟ็กต์ต่าง ๆ จะมีความเรียล ผมพยายามใช้ CG ให้น้อยที่สุด แล้วมาให้ความสำคัญในการทำเมคอัพเอฟเฟ็กต์ที่ดูสมจริง เพราะรูปแบบการโดนของ แต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง ถ้าถามว่าน่ากลัวขนาดไหน ผมว่าไม่แพ้ลองของที่ผ่านมาแน่นอน”
“พนอ” เป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนหลายมิติ เป็นความยากที่มีเสน่ห์ เพราะต้องเชื่อมความสัมพันธ์ของ “ลองของ” แต่เล่าในแบบที่ยังไม่เคยมีใครรู้เลยว่าต้นกำเนิดของ พนอ เป็นมาอย่างไร แสดงว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอตั้งแต่เด็ก
“ผมก็เลยเลือกประเด็นย้อนกลับไปเล่าในวัยเด็ก ซึ่งจุดนี้เองที่ผมว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ ที่กว่าจะมาเป็น พนอ โครงหลักของเรื่องคือ การเล่นของไสยศาสตร์ ในหนังเรื่องนี้ก็จะมีไสยศาสตร์หลายรูปแบบทั้งแบบ ไทย, แขก, เขมร โดยความขลังของทั้งสามศาสตร์นี้ก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนและหวังผลต่างกัน แต่ตั้งอยู่ในความเชื่อความศรัทธาที่คล้ายกัน”
และด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะบอกเล่าถึงจุดเริ่มต้น ฉะนั้นเวลาจึงต้องเดินถอยหลังไป 10-20 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับบทและรูปแบบการใช้ชีวิตรวมถึงสังคมของคนในยุคนั้น เรื่องของโลเคชั่นที่ยังคงบ่งบอกวิถีชีวิตในวัยเด็กของพนอ จึงเป็นสิ่งสำคัญ สถานที่ถ่ายทำทุกที่จึงเป็นสถานที่จริงและยังคงใช้งานอยู่จนถึงตอนนี้ อย่างใน จ.ราชบุรี และ จ.นครปฐม ซึ่งเป็นโลเคชั่นที่เป็นบ้านของพนอ โดยเป็นบ้านที่ตั้งอยู่เกาะกลางนา บ้านไม้เก่า ๆ ที่ดูเวิ้งว้าง ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ที่อยู่ติดกับลำคลอง
“ผมว่า แค่เห็นตัวบ้านตั้งอยู่เกาะกลางนาโดด ๆ แค่นี้ก็น่ากลัวแล้ว พอได้เดินเข้าไปในตัวบ้าน ผมยิ่งรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดา และความไม่ธรรมดานี้เองมันจะพาอารมณ์ให้คนที่ดูหนังเรื่องนี้รู้สึกได้ถึงความน่ากลัว ความที่เป็นหนังไสยศาสตร์ ทุกโลเคชั่นจะต้องล้อไปกับบท อีกที่ที่ดูขลังไม่แพ้กันคือแถว จ.กาญจนบุรี อันนี้สะพรึงมากแค่วันที่ไปสำรวจก่อนถ่ายทำก็ขนลุกแล้ว ผสมเข้ากับพิธีกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นมันยิ่งทำให้สถานที่นี้มีพลังมากขึ้น เพราะไสยศาสตร์กับความน่ากลัวมันต้องอยู่คู่กัน” พุฒิพงศ์ กล่าวส่งท้าย
แน่นอนว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น “พนอ” จะสาดความสยองใส่คนดูให้ขนลุกขนพองได้แค่ไหน คงต้องไปพิสูจน์กันในโรงภาพยนตร์ 16 ม.ค.2568 นี้