xs
xsm
sm
md
lg

“จู๊ด ลอว์” จับมือ “นิโคลัส ฮอลต์” ร่วมเจาะลึกประวัติศาสตร์แห่งความเกลียดชัง ปมแสนมืดหม่นที่ฝังรากลึกในสังคมอเมริกัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา



เมื่อเกิดการปล้นธนาคารและรถขนเงินกลางวันแสกๆ อย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่าหนึ่งปี ทิ้งให้เจ้าหน้าที่งงงวยและประชาชนหวาดผวาทั่วแถบตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา เมื่อการปล้นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ เทอร์รี่ ฮัสก์ (จู๊ด ลอว์) เชื่อว่าการปล้นนี้เป็นฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายในประเทศที่วางแผนใช้เงินที่ปล้นมาเป็นทุนก่อกบฏต่อต้านรัฐบาลสหรัฐฯ

“The Order จับตาย ขบวนการเดนคน” สร้างจากเหตุการณ์จริง ในปี 1983 ของการไล่ล่าอาชญากรผู้มุ่งเป้าก่อการร้าย และต่อต้านรัฐบาลสหรัฐฯ พาคนดูไปติดตามฮัสก์และทีมงานเข้าสู่โลกอันซับซ้อนของกลุ่มคนขาวเหยียดผิว ขณะที่พวกเขาพยายามหยุดยั้งการลุกฮือที่อาจทำลายประเทศ เมื่อกองกำลังติดอาวุธสะสมงบสงครามได้กว่า 4 ล้านดอลลาร์ ฮัสก์ไล่ล่าบ็อบ แมทธิวส์ หัวหน้าแก๊งเหยียดผิวตัวอันตราย จุดระเบิดการเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายจนกลายเป็นการนองเลือดที่จะถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์อเมริกัน

วันนี้เรามีเกร็ดข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ก่อนที่จะไปพบกับความมันส์ของปฏิบัติการเดือดไล่ล่าเดนคนเร็ว ๆ นี้ในโรงภาพยนตร์

"The Order" เป็นภาพยนตร์ที่ผสมผสานระหว่างดราม่าอาชญากรรมและคดีโลกลืมเกี่ยวกับกลุ่มชาตินิยมเหยียดผิวในอเมริกา ซึ่งเป็นหนังระทึกขวัญสไตล์ยุค 70-80 ที่ทุกคนสามารถรับชมเพื่อความสนุกได้


"The Order" เป็นหนังเปิดตัว ณ เทศกาลภาพยนตร์หลายแห่ง โดยเริ่มฉายรอบปฐมทัศน์ที่ “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส ครั้งที่ 81” เมื่อเดือนสิงหาคม ก่อนจะไปฉายต่อที่ “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต ครั้งที่ 49” และ “เทศกาลภาพยนตร์มาราเกช ครั้งที่ 21”

ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเกี่ยวกับพลังแห่งการชักจูง และความเกลียดชังอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เรื่องนี้เหนือกว่าหนังไล่ล่าแมวจับหนูทั่วไป

นอกเหนือจากฉากแอ็กชันไล่ล่าที่อัดแน่นไปด้วยความเดือดอย่างเต็มที่ ยังแฝงไปด้วยประเด็นสังคมที่สามารถหยิบขึ้นมาพูดได้ทุกยุคทุกสมัย มันเป็นเรื่องราวที่ไม่เคยถูกเล่ามาก่อนที่จำเป็นต้องเผยให้โลกได้รู้


● เนื้อหาไฮไลต์ของภาพยนตร์

“The Order” เป็นเรื่องราวของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอมากประสบการณ์อย่าง “เทอร์รี ฮัสก์” (จู๊ด ลอว์) ที่ย้ายมาประจำแถบตะวันตกเฉียงเหนือไกลปืนเที่ยง ไม่ได้เตรียมใจเจอคดีอุกฉกรรจ์ แต่กลับต้องมาไล่ล่ากลุ่มชาตินิยมผิวขาวที่กำลังซ่องสุมกำลังใต้อาณัติของผู้นำสุดอันตราย “บ็อบ แมตทิวส์” (นิโคลัส ฮอลต์)

กลุ่มของแมทธิวส์รู้จักกันในนาม "The Order" ก่อเหตุปล้นธนาคารและรถขนเงินหลายครั้ง และที่สะเทือนขวัญที่สุด คือ การลอบสังหาร “อลัน เบิร์ก” นักจัดรายการวิทยุในเดนเวอร์เมื่อปี 1984


● การเตรียมตัวเพื่อรับบทบาทสุดท้าทายของ “จู๊ด ลอว์” และ “นิโคลัส ฮอลต์”

เคอร์เซล ผู้กำกับของภาพยนตร์ได้มีการมอบบทคัดย่อให้กับนักแสดงก่อนเริ่มถ่ายทำ หนึ่งในนั้นมีคำแนะนำและกิจกรรมต่างๆ ที่นักแสดงควรทำเพื่อให้เข้าใจความคิดและวิถีชีวิตของตัวละครมากขึ้น เช่น สิ่งแรกที่พวกเขาทำหลังตื่นนอน

หนึ่งในการบ้านที่ จู๊ด ลอว์ ได้รับคือ การที่เขาต้องสะกดรอย นิโคลัส ฮอลต์ หนึ่งวัน โดยไม่ให้ถูกจับได้ พร้อมรวบรวมข้อมูลชีวิตประจำวันของฮอลต์ ซึ่งตัวเขาเองบอกว่า เป็นเรื่องที่ยากมาก ในส่วนของ นิโคลัส ฮอลต์ กล่าวว่าเขาแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่า จู๊ด ลอว์สะกดรอยตาม แต่ทั้งสองก็คิดว่ามันได้ผล เพราะทำให้เขาได้สร้างสัมพันธ์กันมากขึ้น เนื่องจากไม่ได้มีฉากที่ร่วมแสดงด้วยกันสักเท่าไหร่

จู๊ด ลอว์ และ นิโคลัส ฮอลต์ ได้คุยกันครั้งแรกหลังจากถ่ายฉากไฮไลต์ของภาพยนตร์เสร็จ ซึ่งทำให้บรรยากาศของทั้งสองคนมีความเข้มข้นขึ้นมากๆ ในระดับที่เรียกว่า ตาต่อตา ฟันต่อฟันเลยทีเดียว แต่หลังจากร่วมฉากด้วยกันจบทั้งคู่ก็เดินมากอดและทักทายกัน

ตัวละครเจ้าหน้าที่ ฮัสก์ และ แมตทิวส์ ถูกสร้างให้เป็นเหมือนสองด้านของเหรียญเดียวกัน ทั้งคู่ต่างมีความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจ และเรียกความภักดีจากผู้ติดตาม แต่นำพาไปในทิศทางที่ต่างกันคนละขั้ว

ตัวละครของ นิโคลัส ฮอลต์ อ้างอิงจากบุคคลที่มีตัวตนจริง ๆ อย่าง โรเบิร์ต แมทธิวส์ กลับกันตัวละครของ จู๊ด ลอว์ ถูกสมมติขึ้นมาจากการเอาเจ้าหน้าที่เอฟบีไอหลายนายที่เกี่ยวข้องกับคดีมาผสมกัน


● นิโคลัส ฮอลต์ กับบทบาท “บ็อบ แมตทิวส์”

อย่างแรก นิโคลัส ฮอลต์ ต้องเปลี่ยนสำเนียงการพูดใหม่ เนื่องจากเขาเป็นคนอังกฤษ เขาได้ส่งบันทึกเสียงที่เขาสวมบทบาทตัวละครไปให้เคอร์เซล โดยพยายามเปลี่ยนสำเนียง ซึ่งเป็นการพูดเกี่ยวกับเรื่องปืนที่แมทธิวส์สะสมหรือความรู้สึกที่เขามีต่ออเมริกา

ในช่วงที่ นิโคลัส ฮอลต์ มาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้เขามาถ่ายทำโดยมีเวลาพักแค่ไม่กี่วันหลังจาก "Nosferatu" ของ โรเบิร์ต เอ็กเกอร์ส ปิดกล้อง แถมหลังจากถ่าย "The Order" เสร็จ เขาก็รีบไปแคสต์บท เล็กซ์ ลูเธอร์ ใน "Superman" ฉบับรีบูต ก่อนจะเข้าถ่าย "Juror#2" โดย คลินต์ อีสต์วูด
นิโคลัส ฮอลต์ ศึกษาบันทึกคำปราศรัยจริงของ บ็อบ แมตทิวส์ และมาปรับใช้ในหนัง โดยเฉพาะฉากปราศรัยปลุกระดมที่สร้างความหวาดกลัวให้ทีมงานในกองถ่าย เพราะประโยคนั้นถอดมาจากประโยคที่แมทธิวส์ตัวจริงเคยใช้ปลุกระดมสาวก

นิโคลัส ฮอลต์ เผยว่าเขาต้องเชื่อในสิ่งที่พูดก่อนถึงจูงใจฝูงชนได้ ทุกคนในห้องต้องรู้สึกว่า 'อ๋อ เพราะอย่างนี้นี่เอง เราเลยต้องทำแบบนี้' มันมีพลังมหาศาล อันตรายสุดๆ ทำให้เขาเข้าใจเลยว่าทำไมคนเหล่านั้นถึงถูกจูงจมูกให้เชื่ออะไรแบบนั้น

เพื่อสร้างความสมจริง นิโคลัส ฮอลต์ และนักแสดงที่รับบทสาวกจะใช้เวลาร่วมกันนอกกองถ่าย ทั้งตกปลา ทำกิจกรรม และสร้างสิ่งต่างๆร่วมกัน เพื่อจำลองวิถีชีวิตแบบอุดมคติที่แมทธิวส์ใช้ชักจูงผู้คนเข้ากลุ่ม
นิโคลัส ฮอลต์ กลายเป็นแฟนคลับของ จู๊ด ลอว์ เขากล่าวว่า "การได้ทำงานกับจู๊ดมันวิเศษมาก" พร้อมเล่าเพิ่มว่าเขาเคยดู จู๊ด ลอว์ ใน "A.I. Artificial Intelligence" ตอนที่เขาอายุ 12 ปี จู๊ด ลอว์ เป็นนักแสดงที่สามารถเข้าถึงบทบาทของตัวละครได้อย่างน่าทึ่ง ในฐานะนักแสดงชาวอังกฤษรุ่นน้องทำให้เขาประทับใจมาก เพราะจู๊ด ลอว์สลัดภาพเดิมออกไปหมดเลย หากอ่านบทก็คงคิดภาพไม่ถึงว่าจู๊ด ลอว์จะมารับบทนี้ได้


● จู๊ด ลอว์ กับบทบาท “เทอร์รี ฮัสก์”

มีฉากหนึ่งที่ จู๊ด ลอว์ อินกับบทบาทมากจนต่อยกระจกรถด้านในแตก ซึ่งเป็นฉากที่ฮัสก์โกรธและตะโกนใส่ลูกน้องที่อายุน้อยกว่าหลังจากที่เขาไปลุยกับแก๊งของแมตทิวส์มา

ลุคของตัวละครฮัสก์เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อ จู๊ด ลอว์ ป่วยและดูทรุดโทรมระหว่างการถ่ายทำ ผู้กำกับเห็นว่าลุคนั้นเหมาะกับตัวละครพอดี จึงให้รักษาลุคนั้นไว้ รวมถึงการไว้หนวดหนาแบบเจ้าหน้าที่ FBI ยุค 80s
นอกจากแสดงนำแล้ว จู๊ด ลอว์ ยังรับหน้าที่โปรดิวเซอร์ผ่านบริษัทภาพยนตร์ Riff Raff Entertainment ของเขาเองที่ก่อตั้งมาเกือบ 20 ปี ซึ่งผลิตผลงานอย่าง Sky Captain and the World of Tomorrow และ Sleuth ลอว์เผยว่าการได้เป็นโปรดิวเซอร์ทำให้เขารู้สึกว่าได้ควบคุมเส้นทางอาชีพของตัวเองเป็นครั้งแรก แทนที่จะต้องรอให้คนอื่นมาเลือกว่าเขาเหมาะกับบทไหน


● “เจอร์นี สมอลเลตต์” กับบทบาท “โจแอน คาร์นีย์”

เจอร์นี สมอลเลตต์ ผู้รับบทเจ้าหน้าที่เอฟบีไอเผยว่า การค้นคว้าข้อมูลเพื่อเตรียมตัวแสดงทำให้เธอจิตตก เพราะต้องซึมซับความเกลียดชังขั้นสุดและเรื่องราวสะเทือนขวัญของกลุ่มดิ ออเดอร์













กำลังโหลดความคิดเห็น