“ดู๋ สัญญา” ดีใจ “หลานม่า” เข้าชิงออสการ์รอบ 15 เรื่องสุดท้าย ภูมิใจได้เป็นส่วนหนึ่งหนัง ฝากช่วยกันสนับสนุนหนังไทย เพราะการจะไปต่อได้ ไม่ใช่เพราะได้รางวัล แต่เป็นคนดู เล่าตอนนี้ลูกชายคุยภาษาเดียวกันเข้าใจแล้ว หลังมีผลงานละครเรื่องแรกกับช่องวัน เผยไม่มีคายตะขาบ ปล่อยให้เรียนรู้เอง
กลายเป็นหนังไทยเรื่องแรก ที่เข้ารอบลึก 15 เป็นเรื่องสุดท้ายบนเวทีออสการ์ไปแล้ว สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “หลานม่า” ล่าสุด (25 ธ.ค.) ได้เจอ “ดู๋ สัญญา คุณากร” หนึ่งในนักแสดงของเรื่อง เจ้าตัวก็ได้เปิดใจถึงเรื่องนี้ ว่าส่วนตัวรู้สึกดีใจมาก เพราะมันทะลุความตั้งใจไปเยอะแล้ว และก็ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนประกอบเล็กๆ ที่ทำให้มันได้ไปอยู่ตรงนั้น
“ก็ได้ติดตามข่าว ผมว่านี่ก็ทะลุความตั้งใจไปเยอะ ตอนแรกที่ได้เสนอชื่อเข้าชิงก็ดีใจแล้ว แต่รอบนี้พอเข้าไปอยู่ใน 15 เรื่องสุดท้าย ซึ่งยังไม่เคยมีหนังไทยเรื่องไหนได้เข้าไป ก็เป็นความรู้สึกที่ดีครับ ถือว่าชนะใจของทุกคนแล้ว
ก่อนหน้านี้เราก็มีหนังดีๆ หลายเรื่อง ที่เราประทับใจ ขนลุก และรู้สึกว่าไม่ได้ด้อยกว่าชาติไหน แต่ก็ไม่เป็นไร แน่นอนคนทั้งโลกก็มีของดีของตัวเอง สักวันหนึ่งมันก็ต้องมีวันนั้น เหมือนตอนได้เหรียญทองโอลิมปิก ก็เอาใจช่วยกันไปเรื่อยๆ ครับ เพราะหนังไทยไม่สามารถไปต่อได้เพราะได้รางวัลโน่นนี่ แต่มันจะไปต่อได้เพราะมีคนไทยดูครับ คนไทยดูก่อน แล้วคนนานาชาติดู มันถึงทำให้ไปต่อได้ เป็นกำลังใจให้คนทำหนังทุกคนนะครับ”
ภูมิใจและดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในหนังหลานม่า
“ผมไม่ได้เก่งในเรื่องการวิเคราะห์หนังนะครับ แต่ความรู้สึกผมในฐานะคนดูคนหนึ่ง ผมชอบประโยคหนึ่งของหนังกำลังภายในจีน มันมีประโยคที่ตรงกับหลานม่า สูงสุดคืนสู่สามัญ เราพัฒนาความซับซ้อน เทคนิคขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนมือกระบี่ที่เก่งขึ้นเรื่อยๆ มีท่าที่พลิกแพลงไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งกลายเป็นท่าที่ดูเบาๆ ดูธรรมดา แต่มันเกิดสิ่งนั้นขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ คือความซาบซึ้ง ความประทับใจที่ไม่ได้ถูกดัน หลานม่าไม่ได้สร้างมาให้ร้องไห้นะ สร้างมาให้แล้วแต่คุณ เลยรู้สึกว่านี่แหละ มันสูงจนคืนสู่สามัญเลย ภูมิใจมากครับ ดีใจที่เป็นส่วนหนึ่ง ส่วนประกอบเล็กๆ ที่ทำให้มันไปอยู่ตรงนั้นครับ”
เผยตอนนี้ลูกชาย “เอม สรรเพชญ์ คุณากร” คุยภาษาเดียวกันกับพ่อเข้าใจแล้ว หลังมีผลงานละครเตรียมปล่อยปีหน้า
“ผลงานเขาปีหน้าได้ชมแน่นอนครับ ละครเขาทางช่องวัน มี 9 ตอนเท่านั้นครับ แต่เข้มข้น ตอนนี้คุยภาษาเดียวกับพ่อแล้ว จากที่เคยคุยกันไม่รู้เรื่อง ตอนนี้มันเหมือนกับเราไม่ต้องอธิบายกันเยอะ สมมติเอมมาบอกว่าวันนี้เขาแสดง เขาเหนื่อยมาก เขาเจออุปสรรคอันนั้นๆ ผมก็บอกว่าไม่ต้องห่วง พ่อทายไว้แล้วว่าลูกต้องเจออุปสรรค เพราะว่าคนที่เก่งกว่าพ่อ คนที่พ่อรู้สึกว่าเล่นละครเก่ง เขายังเล่าให้พ่อฟังเลย ว่าวันนี้เขาเล่นแล้วรู้สึกว่ามันไม่ง่ายเลย ของทุกอย่างถ้าเป็นมนุษย์ มันจะไม่ออกมาเป๊ะๆ เหมือนเครื่องจักรผลิต ไม่ใช่ว่าทุกวันจะได้อย่างนั้น ก็ต้องทำใจและพยายามต่อไป ต้องอดทนและท่องไว้ว่าใครๆ เขาก็เจอ”
ไม่มีคายตะขาบ ให้ลูกได้เจอเอง
“ผมไม่มีตะขาบ ให้เขาเจอเอง ไม่เคยไปกองเขาเลย และจะไม่ทำด้วยครับ ผมมองเขาเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง เราต้องเคารพในสิทธิ์ของเขา ว่าเขากำลังไปทำสิ่งนี้ ถ้าคุณไปแล้วไปรบกวนสมาธิ ไม่เคารพสิทธิของคนอื่น ทำพิธีกรครั้งแรกในรายการของผมเอง ผมให้เขาสัมภาษณ์ ชาริล ชับปุยส์ เป็นภาษาอังกฤษ ตอนนั้นเขา 8-9 ขวบมั้ง เขาบอกว่าได้ แต่พ่อต้องออกไปจากกองถ่าย เพราะเขาทำไม่ได้ถ้าผมยืนดูอยู่ เขิน เราก็เข้าใจ”
ลูกมีเล่าบรรยากาศในกองให้ฟังบ้าง
“เขาก็เล่าครับ ว่าเขาตื่นเต้นยังไง พยายามยังไง เขาต้องพยายามให้เยอะกว่าคนอื่น เพราะทั้งกองถ่ายทุกคนมีประสบการณ์ มีวิชา เคยเล่นมาบ้างแล้ว แต่ของเขาศูนย์ทุกตารางเลย ก็ต้องซ้อมเยอะ ผมแนะนำไม่ได้ ผมไม่เก่งพอครับ เดี๋ยวแนะนำไปแล้วมันไปตีกัน เขามีอาจารย์ที่สอนด้านนี้อยู่แล้ว เขาก็ไม่กดดันว่าเป็นลูกเราหรอกครับ ผมบอกว่าทำไป พ่อก็ไม่ได้เก่งอะไร พ่อแค่พยายาม”
