“อั้ม อธิชาติ” คาดไม่ถึงโดน "นัท มีเรีย" บอกเลิก ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องทะเลาะอะไรกันมาก่อน พูดเต็มปาก ยังรักนัทอยู่ ตอนนี้ยังมูฟออนไม่ได้ เคารพการตัดสินใจของนัท ยันไม่มีมือที่สาม ในวันที่เก็บของออกจาบ้าน ได้เขียนโน้ตขอบคุณและขอโทษ แจงสนิท “เจนี่” เหมือนเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง จากนี้อาจะดำเนินคดีกับคอมเมนต์ไม่ดี
เรียกว่าเป็นข่าวช็อกของแฟนๆ สำหรับข่าวการเลิกราของ “อั้ม อธิชาติ ชุมนานนท์”กับ “นัท มีเรีย เบนเนเดดตี้” หลังก่อนหน้านี้ที่ฝ่ายหญิงได้ออกมายอมรับว่าได้ยุติสถานะสามีภรรยา ปิดฉากความรัก 15 ปี เหลือเพียงคำว่าเพื่อนให้แก่กัน ล่าสุดวันนี้ (19 ธ.ค.) ก็ถึงคิวของหนุ่มอั้ม ที่จะออกมาเปิดใจบ้างแล้ว โดยเจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์หลังมาออกรายการคุยแซ่บ show ทางช่อง one เผยว่าไม่มีเรื่องมือที่สามหรือเรื่องการนอกใจแน่นอน ส่วนข่าวที่ว่ากิ๊กกั๊กกับสาว “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ”ก็เป็นเพียงเพื่อนสนิทกันเท่านั้น พูดได้เต็มปากว่ายังรักนัทอยู่
“จริงๆ อย่างที่คุณนัทให้สัมภาษณ์ไปเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ว่า มีการยุติความสัมพันธ์กันแล้ว ก็เป็นจริงตามนั้นครับ วันนี้ไม่อยากเป็นการตั้งโต๊ะแถลงข่าวหรือใดๆ เพราะมีคิวมารายการคุยแซ่บอยู่แล้ว เลยมองว่ามันมีเรื่องที่หลายคนยังเข้าใจผิดจากความคลาดของเวลา ณ วันนี้เรากับคุณนัทได้ยุติความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาแล้ว แต่โซเชียลยังตั้งคำถามว่า ก่อนหน้านี้ เราเคยบอกว่าไม่ได้เลิกกัน และปฏิเสธว่าไม่ได้มีมือที่สาม บอกว่าเราโกหก ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อครอบครัวและสิ่งรอบข้าง”
1 ตุลาคม มีข่าวลือว่า เลิกกัน อั้มโทรหานัท ฝ่ายหญิงอยู่บ้านญาติ บอกพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน
“ข่าวครั้งแรกที่ลงคือวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งวันนั้นเราใช้ชีวิตในครอบครัวตามปกติ คือยังทานข้าวกับคุณนัทอยู่ในตอนเช้า และคุณแม่ก็ยังออกไปซื้อกับข้าวนอกบ้าน เราก็ออกไปทำงานไปประชุม พอช่วงบ่ายผู้ช่วยก็วิ่งมาบอกว่าตอนนี้ข่าวเต็มทุกฟีดเลยว่า นักร้องยุค 90 กับพระเอกดังส่อแวดเตียงหัก เลิกรากันเพราะนอกใจ แล้วก็แยกกันอยู่แล้ว ซึ่งตอนนั้นเราก็บอกว่า มันไม่ใช่เราแล้ว เราเจอข่าวแบบนี้บ่อย ไม่ใช่เราก็อาจจะไม่ต้องตอบก็ได้มั้ง”
“แต่ผู้ช่วยก็บอกว่า มันค่อนข้างชัดว่าเป็นพี่นะ ก็มีนักข่าวหลายสำนักโทร.มา เราก็บอกว่าเราไม่อยากพูดอะไร เพราะ ณ วันนั้นชีวิตปกติมาก ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่ทะเลาะกัน เลยมีช่องไทยรัฐมา เพราะออฟฟิศอยู่ใกล้ๆ กัน เราก็บอกว่าขอคุยสั้นๆ ตามความเป็นจริงเลย เราก็บอกว่ามันไม่ใช่เราหรือเปล่า เพราะเราอยู่บ้านตามปกติ กลับบ้านไปก็เจอกันปกติ ก็ตอบไปตามน้้นทุกอย่าง คือวันนั้นไม่ได้มีการทะเลาะกัน พอกลับบ้านไปก็ยกหูถามคุณนัท เพราะเขายังไม่กลับบ้าน อยู่บ้านญาติอยู่ เลยบอกว่าพรุ่งนี้คุยกันก็ได้”
2 ตุลาคม อั้ม โทรหานัทอีก นัทติดงาน อั้มโทรหาก็ไม่โทรกลับ และโพสต์โซเชียลปริศนาเหมือนอกหัก
“พอเช้าวันที่ 2 ตุลาคม ก็ไปทำงาน แล้วโทร.หาเขาตอนเที่ยง ก็ถามว่าเห็นข่าวเมื่อวานไหม ที่ลงกันเต็มไปหมดเลย เขาก็บอกเห็นแล้ว แต่เดี๋ยวขอไปเตรียมตัวก่อน จะไปถ่ายงานต่างจังหวัด เลยบอกว่าว่างแล้วโทร.มานะ เพราะเราต้องเจอกับนักข่าว แล้วเราก็ไปถ่ายงาน เสร็จก็โทร.หาเขา 2 สาย แต่เขาไม่รับ อาจจะติดงานอยู่ เลยไม่ได้โทร.กลับ ทีมงานก็เลยโพสต์ภาพเล่าเหตุการณ์เวลานั้นว่าก็คุยแล้ว แต่คุณนัทบอกว่าเดี๋ยวว่างแล้วโทร.กลับ ซึ่ง ณ เวลานั้น เนื้อข่าวบอกว่าเลิกกัน นอกใจ แยกกันอยู่แล้ว เราก็ตอบตามความจริง”
“แต่หลังจากนั้นมีข้อความทางโซเซียล หลายคนตีความว่า ทำไมไม่เหมือนกัน เราก็บอกกับทีมงานว่า อาจจะเป็นปกติของพี่นัทเขาอยู่แล้ว ที่เขาจะโพสต์เรื่องราวต่าง มันอาจจะไม่ใช่ แต่ก็พยายามไลน์ถามเขา เขาก็บอกว่าขอเวลาสักพักหนึ่ง (ที่นัทโพสต์แบบนั้นเพราะมีประเด็นกันอยู่ก่อนแล้วหรือเปล่า?) ไม่ได้มีประเด็น ไม่ได้มีการทะเลาะกัน แต่ในครอบครัวมันจะเรื่องของความที่เราเข้าใจกัน ต่างฝ่ายต่างเข้าใจในการทำงานของแต่ละฝ่าย”
หลังวันที่ 2 ตุลาคม อั้มไลน์หานัท ฝ่ายหญิงตอบว่า ขอเวลาสักพัก เหตุการณ์มันเริ่มไม่ใช่แล้ว
“หลังจากที่เราได้คุยกันในวันที่ 2 ที่เขาขอเวลา เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว ข่าวมีก่อนที่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้าน เลยบอกว่างั้นเรายังไม่ขอคุยกับใครทั้งสิ้น ขอคุยเรื่องราวให้ชัดเจนก่อน เราตอบตามความจริงตามไทม์ไลน์ แต่คนบอกว่า ทำไมเราโกหก เราก็บอกไม่ได้โกหก แต่หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยกันระดับหนึ่ง
5 ตุลาคม ได้คุยโทรศัพท์กัน และนัดเคลียร์กัน
9 ตุลาคม นัดเคลียร์กันที่บ้านอย่างจริงจัง นัทขอยุติความสัมพันธ์
"ในวันที่ 5 ตุลาคมทางโทรศัพท์ จนวันที่ 9 ตุลาคม เราก็ได้มานั่งคุยกันที่บ้านอย่างจริงจัง ก็เลยเป็นการยุติความสัมพันธ์ครับ
เราคุยกันด้วยเหตุผลระหว่างคนสองคนในครอบครัว คุณนัทบอกว่า คิดมาดีแล้วในระยะหนึ่ง แล้วก็บอกว่าหลังๆ เป้าหมายในชีวิตเรามีความแตกต่างกัน ไลฟ์สไตล์เราก็แตกต่างกัน แล้วเราแยกย้ายกันตอนนี้ คืนชีวิตให้กันตอนนี้ เรายังสามารถเป็นเพื่อน พบเจอกันได้ ยังมีความรู้สึกดีๆ ที่เรามีกันอยู่ ดีกว่าไปถึงขนาดที่มันจะหักล้างกันมากกว่านี้ เลยถามคุณนัทว่า ถ้างั้นถามหน่อย ว่า ที่มีข่าวลง ณ เวลานี้ ว่าผมมีมือที่สาม คุณนัทมีอะไรไหม คิดในใจหรือเปล่า เขาก็บอกว่าไม่มี เป็นเรื่องของคนสองคนเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับมือที่สาม เลยบอกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ คงต้องมีคนถาม เราจะตอบยังไง เขาก็บอกว่า ตอบตามความเป็นจริงนี่แหละ ว่าเรายุติความสัมพันธ์ด้วยเรื่องของคนสองคนเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับคนที่สาม ซึ่งอันนี้เราตอบตามที่เราคุยตกลงกัน”
ไม่มีสัญญาณว่าจะเลิกกัน แต่มีง้อ มีไม่เข้าใจกันตามปกติของครอบครัว
“ในครอบครัวไม่ได้มีสัญญาณขนาดนั้น แต่มันก็จะมีน้อยใจบ้าง คือเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ฉันคิดแบบนี้ เธอไม่ทำแบบนั้น มันเป็นเรื่องปกติของคนในครอบครัว บางช่วงเจอเรื่องไม่เข้าใจก็ง้อ ก็คุยกันครั้งหนึ่ง ปรับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วก็เกิดขึ้นใหม่ เราไม่ได้บอกว่า เราดีไปทุกเรื่อง ข้อเสียมากมายก็มี ผิดพลาดก็หลายครั้ง แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นในหัวข้อนี้”
เป็นปัญหาสะสม ที่พยายามปรับกันแล้วทั้งคู่
“ใน 15 ปีเราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้แบบจริงจัง การที่เราคุยกันเรื่องนี้ เรามองว่ามันก็คงมีความสะสมกันมา ซึ่งคุณนัทก็บอกว่าระหว่างเรา มันมีการพยายามกันทั้งคู่แล้ว ที่จะทำให้ช่องว่างระหว่างครอบครัวเรามันน้อยลง แต่มันก็มีทั้งทุกข์และสุข เพราะฉะนั้นเราก็ปรับกันมาก่อนหน้านี้ มันไม่ใช่ทะเลาะกัน 3-4 วันแล้วปรับ มันจูนกันมาตลอด ต้องบอกว่าในความเป็นจริงที่เห็น มันก็มีสุข มีทุกข์ร่วมกัน เราพยายามปรับตลอด อยู่บนพื้นฐานความจริง แต่ในช่วงระหว่างที่รอ ก็มีถามเพื่อนสนิท หรือจากพระอาจารย์ที่เรานับถือทั้งคู่ ท่านก็บอกว่าได้คุยกันแล้ว มันเป็นเรื่องที่สะสมมายาวนาน”
ไม่สงสัยในคำตอบของ “นัท”
“ไม่ได้สงสัย เพราะเราก็เข้าใจ 15 ปีน่ะ คนเป็นครอบครัว ต้องบอกว่าบางเรื่องมันละเอียดอ่อนจริงๆ บางคนบอกว่าเราเข้าใจครอบครัว แต่จริงๆ เราไม่สามารถเข้าใจได้หรอก แต่เราเป็นคนพบเจอในสิ่งนั้น แต่เราเน้นย้ำเสมอ ข้อผิดพลาดเราก็มี เรายอมรับ การยุติความสัมพันธ์วันนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่เราต่างปรารถนาหรอก แต่มันเกิดขึ้นแล้ว อยากให้เคารพในสิ่งนี้จริงๆ กับคอมเมนต์ต่างๆ ของคนภายนอก เข้าใจได้ว่าทุกคนต่างมีความชอบ ความไม่ชอบ คอมเมนต์ได้ แต่อย่าทำลายซึ่งความสัมพันธ์ เพราะรายละเอียดมันเยอะเกินกว่าที่เราจะเข้าใจกันจากภายนอกจริงๆ”
ตั้งแต่วันที่ให้สัมภาษณ์ ยังไม่ได้คุยกันเลย
“ยังไม่ได้คุยเป็นการส่วนตัวครับ แต่มีคุยงานกับผู้ช่วยบ้าง (คนสงสัยในคำตอบ นัทบอกเรื่องมือที่สาม อยู่เหนือความควบคุม?) เราไม่ได้มีบุคคลที่สาม ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับบุคคลที่สามในเชิงชู้สาว แต่สิ่งที่คุณนัทตอบในวันนั้น เราไม่ได้ยินด้วยตัวเอง แต่ความเข้าใจอาจจะเป็นไปได้ว่า หลังจากที่เราแยกกันแล้ว คุณนั้นก็อาจจะไม่รู้ว่าเราจะไปเจอใครหรือเปล่า มันนอกเหนือการควบคุม มันอาจจะเป็นไปได้ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่า หลังจากเราไม่ได้คุยกับคุณนัทแล้ว ความเคลื่อนไหวในชีวิตของคุณนัทเป็นยังไง”
คนสงสัยไม่ได้จดทะเบียน แต่ทำไมถึงทำลูกได้
“จริงๆ มันค่อนข้างนานมากแล้ว จำไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นยังไง แต่วันนี้เรารับรู้ และเรายอมรับว่า มันต้องจดทะเบียนในการทำ ก็ได้บอกกับทางผู้ช่วย ว่าถ้ามีเหตุใดที่เราจะสามารถรับผิดชอบแก้ไข แล้วก็รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่า เราไม่รู้จริงๆ เราจำไม่ได้จริงๆ เพราะมันค่อนข้างนานแล้ว”
เรื่องการอยากมีลูก เป็นเป้าหมายที่มีร่วมกัน
“จริงๆ การมีลูกมันเป็นเป้าหมายของครอบครัว เราก็มีเป้าหมายร่วมกันว่าเราอยากมีน้อง เพื่อเป็นการสร้างครอบครัว แต่การที่มีไม่ได้เราก็เข้าใจกันทั้งคู่ บางคนอาจจะมองว่าเป็นความต้องการของคนใดคนหนึ่งหรือเปล่า ต้องบอกว่าเรามีความสุขในเป้าหมายนั้นร่วมกันมา”
แจงสนิทกับ “เจนี่” เหมือนเพื่อนผู้ชาย
“จริงๆ ถูกโยงหมดทุกอย่าง ซึ่งเราสนิทกับเจนี่มานานมากแล้ว ตั้งแต่เด็กๆ เป็นเหมือนกับเพื่อนผู้ชาย ในช่วงที่มีข่าวออกมา เราต้องทำงานด้วยกัน ต้องมีเดินทางไปทำบุญ ซึ่งมีแค่ครั้งเดียว และไปกันหลายคนมากๆ (ได้คุยกับเจนี่ไหมเรื่องข่าว?) จริงๆ ไม่ได้คุยกับเจนี่เลย วันนั้นแค่เจอกันที่รายการ มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่เขามีเรื่องของความเปราะบางด้วยก็ได้ แต่เกิดมีโอกาสวันหนึ่ง เราก็พูดได้มันก็ไม่มีอะไร เพราะมันก็เป็นเช่นกันจริงๆ”
รับเสียใจ ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ จะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว
“เราก็เสียใจ เราไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจากทุกเหตุผล ณ วันนี้เราได้พูดคุยกัน ตกลงและเข้าใจ เรามองว่าเรามีเป้าหมายต่อครอบครัวของเราอย่างไร อยากพูดแค่วันนี้เท่านั้น ไม่อยากพูดอีก มันเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่มันมีประเด็นที่ส่งผลต่อคนรอบข้าง วันนี้คนจะเข้าใจแบบไหน ก็ถือว่าได้ทำสิ่งที่ต้องทำแล้ว”
หลังจากนี้ถ้ายังมีคอมเมนต์สร้างความเข้าใจผิด จะดำเนินคดีตามกฎหมาย
“เราอยู่ในวงการเป็นคนสาธารณะ แต่มันก็มีขอบเขต จะพูดถึงเรายังไง เราเข้าใจ คอมเมนต์เราก็อ่านอย่างเดียว ไม่ได้สนใจ แต่อะไรที่มันกระทบถึงครอบ เราก็ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อความถูกต้อง วันนี้ข่าวต่างๆ ตามฟีด ที่บอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเขาเล่าว่า ฉันคิดว่าต้องใช่แน่ๆ ถามคำเดียว ถ้ามันไม่ใช่แบบนั้นล่ะ คุณจะรับผิดชอบยังไง เราต้องการความถูกต้องให้คนอื่น แล้วเราใช้วิธีที่ถูกต้องหรือเปล่า เราไปปรึกษาตำรวจไซเบอร์ แต่ยังไม่ได้ไปฟ้องร้องอะไร ซึ่งหลังจากวันนี้เราพูดไปแล้ว ถ้ายังมีคอมเมนต์ใดๆ ที่ยังมองว่าฉันคิดถูกแน่นอน เอาหลักฐานนั้นมาคุยต่อหน้าเรา บนการตรวจสอบที่ถูกต้อง ถ้าไม่จริง ทุกคนก็ต้องมีผลกระทบต่อตัวเองเช่นกัน ไม่ได้บอกว่าจะฟ้อง แต่ถ้ามันเกินเลยเกินขอบเขตมากๆ ก็ต้องยอมรับ คิดเองเออเองไม่ได้”
ไม่น้อยใจกับคอมเมนต์ลบ
“ไม่ได้น้อยใจ เข้าใจในเรื่องราวต่างๆ แต่ก็บอกว่ามันเกิดขึ้นได้ สิ่งที่ต้องทำคือเมื่อแยกย้ายกัน สิ่งที่ต้องทำคือรักษาความรู้สึกที่ดีต่อกันเอาไว้ สิ่งนี้มันมีคุณค่ามากกว่าอย่างอื่น”
มีเขียนโน้ตขอโทษและขอบคุณ ในวันที่ย้ายออกจากบ้าน
“วันที่จะออกจากบ้านเราก็มีเขียนบอกว่า อะไรเป็นยังไง เราก็ขอบคุณทุกความรู้สึก และขอโทษในสิ่งต่างๆ ที่อาจจะไม่ได้ดั่งใจ ในฐานะคู่ครองอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่มันควรจะเป็น เราก็ขอโทษในทุกๆ เรื่อง คือไม่ได้กัน เพราะหลังจากที่คุยกันเสร็จ ก็บอกเขาว่า ขอเวลาเก็บของสัก 3-4 วัน คุณนัทก็เลยอยู่บ้านญาติ เพื่อให้ผมได้มีเวลาในการเก็บของ”
รับตกใจและไม่ทันคาดคิด เพราะเรื่องในบ้านเกิดหลังจากที่มีข่าว
“ตกใจไหมก็ครึ่งหนึ่ง การอยู่ในครอบครัวเรารู้อยู่แล้ว ว่าเรื่องราวเป็นยังไง เรื่องภายนอกมันเกิดขึ้นก่อนภายในบ้าน เรื่องเรามันเกิดขึ้นตามหลังสื่อ นี่คือพ้อยท์ แต่ก็ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถามว่าช็อกไหม ก็เรียกว่าไม่ทันคาดคิดแล้วกัน (ต้องใช้เวลาเยียวยาไหม?) จริงๆ มันก็ไม่ต้องเยียวยา เพราะจริงๆ มันไม่ได้มีเรื่องอะไรที่เป็นการทะเลาะหรือบาดหมาง เขาก็ยังอวยพรให้โชคดีนะ เราก็ขอบคุณนะ มันผ่านการเป็นครอบครัวมาแล้ว ผ่านการพยายามมีลูก จนวันหนึ่งพอไม่มีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ มันก็เลยมีเป้าหมายในการเติบโตใช้ชีวิตที่ต่างกัน”
ไม่ใช้คำว่าจุดอิ่มตัว ไม่อยากสรุปเป็นคำไหนทั้งสิ้น รับเคยผิดพลาด แต่วันนี้ไม่มีเรื่องนอกใจจริงๆ
“ไม่อยากใช้คำสรุปอะไรใดๆ ทั้งสิ้น เพราะสรุปไปเรื่องหนึ่ง ก็ตีความไปเรื่องหนึ่ง เอาเป็นว่าอยากให้นึกถึงใจของเราทั้งสองคน มันเป็นความหวังที่ทุกคนอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่ความเป็นจริงมันอาจจะมีอะไรหลายๆ เรื่อง ส่วนที่ทุกคนพยายามบอกว่าเรานอกใจ ก็เคยสัมภาษณ์หลายครั้งแล้ว อะไรที่เราทำเรายอมรับ เราเคยผิดพลาด แต่ ณ วันนี้มันไม่ใช่ ก็ขอให้เคารพคนรอบข้างเราหน่อย คือคุณแม่แกเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว วันที่เราไปปรึกษาตำรวจไซเบอร์ เราก็ถามว่าขอบเขตในการใช้สื่อมันอยู่ที่ไหน เราทำอะไรได้บ้าง เราไปขอคำปรึกษาเพราะเรามีคนรอบข้าง มีคุณแม่เรา ถ้าวันหนึ่งเราพาแม่ไปออกกำลังกายแล้วมีคนมาคอมเมนต์บอกแม่หน้าเหมือนโน่นนี่ เราก็เอ๊ะ มันคนละเรื่องกัน อยากให้แยกแยะครับ”
ทราบและดูแลกันมาตลอด กับอาการเนื้องอกของ “นัท”
“ทราบมาตลอด อาจจะเรียกว่าเป็นโรคประจำตัวแบบหนึ่งก็ได้ เราก็ดูแลกันมา”
มองความรักเป็นสิ่งสวยงาม
“ความรักเป็นสิ่งสวยงาม แต่ก็มีทั้งทุกข์และสุข ถ้ามีรักเราต้องรับสิ่งนี้ให้ได้ อีกอย่างมันเป็นสิ่งที่เราตกลงกัน เพราะฉะนั้นการตีความใดๆ ที่มันจะทำให้ความรักหรือสิ่งที่เรามีมามันเกิดผลกระทบ อย่าทำเลย”
ยังมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันอยู่
“ก็ยังต้องมีครับ มันไม่ใช่แยกย้ายกันแล้วจบ มันมีหน้าที่ที่เราต้องคอยจัดการบางเรื่องอยู่ ถ้าเจอกันก็ทักทาย ถามสารทุกข์สุขดิบ เพื่อนคุณนัทก็ยังเป็นเพื่อนผมอยู่ จริงๆ เราทั้งคู่ก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล วันนี้เราก็ต่างดูแลครอบครัวของตัวเอง ถ้ามีโอกาสก็อาจจะนัดทานข้าว เจอกันบ้าง วันนี้พูดแล้วก็อยากให้มันจบ อยากให้เข้าใจกันตามนี้ อย่าให้มันกระเทือนไปถึงเรื่องอื่นๆ เลย”
ยอมรับยังเฮิร์ต แต่ต้องใช้ชีวิตตามปกติ
“เรียกว่ามูฟออนไม่ได้หรอก ก็ใช้ชีวิตตามปกติ ก็แค่มูฟออกมาจากบ้าน คุณแม่ก็ไปๆ มาๆ เราก็ใช้ชีวิตปกติ ทำงานครับ ถามว่าเฮิร์ตไหม มันก็ต้องเฮิร์ตแหละครับ มันมีความรู้สึกอยู่แล้ว เชื่อว่าคุณนัทก็เป็นครับ”
พูดเต็มปากยังรักอยู่เหมือนเดิม
“ยังรักอยู่ครับ ใน 15 ปี เราก็ยังรัก ยังระลึกถึงกัน ยังมีความปรารถนาดีต่อกันในทุกๆ เรื่อง”