“ชาล็อต” น้ำตาไหล เล่าเหตุการณ์โดนมิจฉาชีพหลอกโอน 4 ล้าน และบังคับวิดีโอคอล ยอมรับกลัวมากและยังช็อกอยู่ แต่ต้องมูฟออน “ณวัฒน์” ไม่ซ้ำเติม เชื่อตกเป็นเหยื่อเพราะอาการแพนิก ตรวจสอบแล้วที่วิดีโอคอลคือ AI มองฟาดเคราะห์ก่อนวันเกิด บอกขำๆ โชคดีเงิน 50 ล้านยังอยู่ ด้านตำรวจไซเบอร์เข้ารับข้อมูลแล้ว เตรียมโอนคดีมาไว้ในความรับผิดชอบ คาด 1 สัปดาห์มีความคืบหน้า และมีโอกาสได้เงินคืน
หลังเพจ Miss Grand Thailand ได้โพสต์แจ้งข่าว ว่านางงามในสังกัดอย่าง “ชาล็อต ออสติน”ถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน 4 ล้านบาท พร้อมบังคับให้วิดีโอคอล 24 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา และได้แจ้งความเรียบร้อยแล้ว ล่าสุดวันนี้ (10 ธ.ค. 67) ชาล็อต ได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับ “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล”บอสใหญ่ของเวทีมิสแกรนด์ ที่บริษัทมิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่แนล จำกัด (มหาชน) โดยชาล็อตแถลงพร้อมกับอาการน้ำตาคลอตลอดการสัมภาษณ์ ในบางช่วงก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ชาล็อต : “มีเบอร์แปลกโทร.มา ซึ่งไม่ใช่เบอร์บุคคล ก็เลยรับสาย แต่ปกติหนูไม่ค่อยรับเบอร์แปลกอยู่แล้ว แต่วันนี้มีการไปทำธุระส่วนตัว และมีทิ้งเบอร์ให้กับร้านเอาไว้ พอเขาโทร.มา ก็นึกว่าร้าน แต่พอรับปุ๊บก็คือมิจฉาชีพ เขาแจ้งชื่อก่อน ตามด้วยยศต่างๆ บอกว่าหนูส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินของนายศรัทธา จันทรเศรษญเลิศ ซึ่งเคยมีข่าวช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาจริงๆ หนูเลยแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยการคุยกับเขาต่อ เพื่อบอกว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง
แต่เขาอธิบายว่านายศรัทธาบอกว่าหนูได้ขายบัญชีให้เขา และเขาโอนเงินให้หนูทุกเดือน เดือนละ 8 แสนบาท หนูก็บอกว่าไม่มีเงินส่วนนี้ สามารถเช็กได้เลย เขาก็ให้หนูกดโค้ดในโทรศัพท์ ว่าจะทำการโอนสายไปให้ตำรวจอีกท่านหนึ่ง พอโอนสายเสร็จ เขาก็บอกว่าขอวิดีโอคอลไลน์ไว้ได้ไหม เพราะต้องใช้ภาพและเสียงในชั้นศาล เพื่อทำการฟ้องนายศรัทธา”
ณวัฒน์ : “ซึ่งหลังจากกดโค้ดแล้ว โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ ไม่สามารถโทร.เข้า-ออกได้ เพราะมันเป็นโค้ดที่ตัดการสื่อสาร อันนี้เป็นเทคโนโลยีของมิจฉาชีพ”
ชาล็อต : “พอกดโค้ดนี้ เขาก็บอกว่าจะมีการตาม GPS เพราะฉะนั้นอยู่ตรงไหน ให้อยู่ตรงนั้น ซึ่งหนูอยู่บนรถ กำลังจะไปไลฟ์ที่ MGI ก็เลยไม่สามารถทำได้ เพราะเขาบอกว่า หนึ่งห้ามบอกใคร สองอันนี้คือความลับราชการ ยังตามคดีอยู่ ถ้าบอกคนอื่นคนอื่นก็จะโดนจำคุกและโดนไปด้วย เราก็ไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อนเลยยอมคุยและให้ข้อมูลกับเขา เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เขาบอกว่าจะออกหมายจับตอน 1 ทุ่ม ถ้าไม่ให้การยืนยันว่าเราคือผู้บริสุทธิ์ หนูเลยไม่อยากให้ชื่อเสียงตัวเองเสียหาย ก็คุยกับเขาต่อ เขาบอกว่าถ้าไม่ยอมจะแจ้งจับ ถ้ายอมจะคืนเงินภายใน 15-30 นาที หลังตรวจสอบ หนูเลยโอนเงินไป รอบแรก 2 ล้านบาท เขาบอกว่ายังประชุมอยู่ ที่โทร.มาคือ DSI เลยเชื่อว่าเป็นความลับราชการจริงๆ เลยไม่ได้บอกใคร”
ณวัฒน์ : “เหตุการณ์เกิดขึ้นในรถ ตอนประมาณ 5 โมงเย็น ยอดแรกที่โอนไปคือ 2 ล้านบาท ตอน 5 โมงครึ่ง”
ชาล็อต : “เขาบังคับว่าห้ามวางสาย ถ้าวางสายจะส่งเจ้าหน้าที่ไปจับกุมฝากขังทันที ก็กลัวและแพนิกด้วย เลยทำอะไรไม่ถูก ทำตามในสิ่งที่เขาแจ้งมา ไม่ได้นึกว่าคือมิจฉาชีพ เพราะเคยเจอมิจฉาชีพแต่ไม่ได้มาในรูปแบบนี้ ส่วนยอด 2 ล้านที่โอนรอบที่ 2 คือตอนเที่ยงคืนค่ะ แต่ตอน 1-2 ทุ่ม จากที่วิดีโอคอลไปก็ยาว ไม่ได้คุยกันตลอดเวลา แต่เขาจะสอบถามเป็นระยะ ว่าเคยมีคดีไหม มีส่วนเกี่ยวข้องไหมจนกระทั่งเที่ยงคืน เขาบอกก็ว่าเดี๋ยวผู้การเนี่ย จะพักการประชุมตอนเที่ยงคืนถึงเที่ยงคืนครึ่ง พอพักเสร็จเขาก็เปิดกล้องกับหนูเหมือนเดิม บอกว่าตรวจสอบยอดแล้ว โอนยอดต่อไปให้ตรวจสอบได้เลย หนูก็โอนไปเพิ่มอีก 2 ล้าน เป็น 5 แสนบาท ตอน 00.12 น. และ 1.5 ล้าน ตอน 00.15 น. จริงๆ เขาจะเอาหมดบัญชีเลย เพราะหนูสามารถโอนได้แค่วันละ 2 ล้านบาทต่อวัน มันเลยจบที่ 4 ล้านบาท”
มีหลักฐานตอนวิดีโอคอล เพราะแอบอัดเอาไว้
ชาล็อต : “จำหน้าได้ค่ะ มีหลักฐาน แต่วิดีโอที่หนูแอบอัดเอาไว้เป็นช่วงเช้า ประมาณ 9 โมงเช้า เพราะตอนกลางคืนยังไม่ได้เอะใจ พอโอนไปเสร็จปุ๊บ ตอนเที่ยงคืนหนูให้น้องเลขามาหา (เปิดคลิปที่แอบอัดเอาไว้ ตอนกำลังวิดีโอคอลกับมิจฉาชีพ)”
ณวัฒน์ : “คือตอนวิดีโอคอลเนี่ย ห้ามวางต่อให้หลับไปก็ต้องเปิดค้างไว้ แล้วเขาจะมาตบเหยื่อบ่อยๆ ทำให้ยังมีความใกล้ชิดกันอยู่ เขาคิดว่าน้องยังต้องมีเงินอีก จริงๆ ก็มีแต่อยู่อีกบัญชีหนึ่ง แต่บัญชีนี้ก็เกือบหมด เขามีการโอนสายไปมา และใส่ชุดเต็มยศทุกครั้ง แต่ผมพยายามใช้เทคนิคการพิสูจน์แล้ว มันเป็น AI เท่าที่น้องเก็บข้อมูลได้ก่อนจะวาง คือเขารู้ว่าโอนได้วันละ 2 ล้าน แต่เขาพยายามจะเอายังไงดี ก็เลยให้เปิดวิดีโอคอลไว้ จนน้องไม่ไหวแล้วก็แผ่วไป กลับมาตอน 9 โมงเช้า ก็ยังมาคอลอีก เพื่อจะลากหาวิธีการโอนเพิ่ม”
ชาล็อต : “ตั้งแต่ 5 โมงเย็น ไม่ได้ปิดโทรศัพท์เลยค่ะ ชาร์จแบตเอาไว้ตลอด มารู้ตัวตอนตี 3 น้องเลขาพยายามหาข้อมูล ก็ไปเจอในเฟซบุ๊กว่ามีคนเจอเหมือนกัน หนูเลยยังไม่วาง เพราะยังไม่ได้ถ่ายหน้าเขาไว้ เลยรอตอนเช้าแล้วพูดไปในไมค์ ว่าสรุปแล้วประชุมเสร็จหรือยัง ตอนนั้นคือรู้แล้วว่าเราโดนหลอก ก็พยายามตะล่อมว่าให้เขาเปิดกล้องให้หน่อยได้ไหม เขาก็ไม่ยอม จนหนูบอกว่าช่วยเปิดกล้องยืนยันเพื่อความสบายใจหน่อยได้ไหม เขาก็ข่มขู่ว่าคุณพูดแบบนี้สามารถโดนอีกคดีได้เลยนะซึ่งก็ยอมรับว่าหนูกลัวจริงๆ ตอนเกิดเรื่องตั้งแต่แรกหนูอยู่คนเดียวตลอด และหนูมีเบอร์เดียว ไม่สามารถโทร.หาผู้ใหญ่ได้
หนูไม่ได้เอะใจ เพราะเขามีเอกสารมาให้ด้วย ว่ามีหมายจับจริงๆ (โชว์หลักฐานที่มิจฉาชีพส่งมา) หนูเลยเชื่อว่าเป็นของรัฐจริงๆ แล้วมันมีสมุดบัญชีของธนาคารหนึ่ง ซึ่งเขาบอกว่านายศรัทธาคืออดีตผู้จัดการแบงก์ อาจจะเป็นไปได้ว่าข้อมูลเราอาจจะรั่วไหลจากตรงนั้น เบอร์ที่โทร.มาคือ +698907081036 อีกเบอร์คือ 0992732357 ชื่อสันติ พนักงาน DSI
หลังจากที่เอะใจ หนูก็โทร.หาธนาคารให้อายัดบัญชี แล้วก็รีบไปที่สน. สุทธิสาร เขาก็บอกว่าต้องนำเอกสารนี่ๆ ไปให้ทางธนาคารปลายทางที่เราโอนไป ตอนแรกหนูโทร.ไปตี 5 เพื่อให้เขาอายัดระงับชั่วคราว เพราะอยากรู้แค่ว่าเงินหนูยังอยู่ในนั้นหรือเปล่า แต่เขาบอกว่าไม่สามารถบอกข้อมูลตรงนี้ได้ เช้ามาไปธนาคาร เขาก็บอกว่าเงินไม่อยู่แล้ว (โชว์ใบบันทึกประจำวัน) เงินที่โอนไป 3 ครั้ง เป็นบัญชีเดียวกันหมด ชื่อบัญชี นางสาวปาริจฉัตร แซ่เอี้ยว เขาบอกว่าเป็นบัญชีของพนักงาน ที่ตอนนี้ไม่ได้ทำงานในหน่วยงาน แต่เป็นบุคคลที่ถูกถอดยศ และอยู่กับเขาตลอดเวลา เพื่อให้คนโอนเงินมาตรวจสอบในบัญชีนี้ค่ะ”
ณวัฒน์ : “มันก็เป็นมิจฉาชีพปกติที่แหละ เพียงแค่น้องอยู่ในภาวะที่ตกใจด้วย และน้องเป็นแพนิกที่ยังรักษาอยู่ คนที่แพนิกจะกลัวคนคนง่าย การกลัวจะนับพาไปซึ่งความเชื่อและความยอม เลยยอมไปเรื่อยๆ”
ชาล็อต : “ที่ตัดสินใจอัดคลิป คือตอนไปสน. ก็ได้โทร.หาทางพี่ที่บริษัทให้มาหา โทร.ใช้โทรศัพท์ของน้องเลขา แล้วก็เล่าทุกอย่าง เพราะหนูถามว่าหนูควรวางเลยไหม พี่เขาบอกว่าให้เขาเปิดกล้องก่อน แล้วถ่ายเป็นหลักฐานแล้วค่อยวาง”
ยืนยันไม่เคยขายบัญชี และไม่เคยรู้จักกับ “นายศรัทธา” ตามที่ถูกกล่าวอ้าง
ชาล็อต : “ไม่เคยค่ะ แล้วก็ไม่ได้เอะใจ เพราะหนูบริสุทธิ์ใจให้เขาตรวจสอบ ว่าที่มาที่ไปของเงินหนูมันถูกต้องจริงๆ”
ณวัฒน์ : “ผมเองก็ตกใจว่าทำไมไปไกลขนาดนั้น แล้วผมเองอยู่ฟิลิปปินส์ ก็บอกเจ้าหน้าที่ว่าให้น้องวาง แต่ก็วางไม่ได้ เลยบอกให้ถอดซิมเลย เพราะยังไงก็แล้วแต่ ตั้งสติ เงินไม่มีวันกลับมา เพราะพวกนี้ไม่ได้อยู่ไทย และก็ให้ส่งคลิปที่ได้มา ไปเช็กจากผู้เชี่ยวชาญ จากเพื่อนๆ ตำรวจ เขาบอกว่า AI ล้านเปอร์เซ็นต์ ถามว่าทำไมน้องถึงตามเขาไปเรื่อยๆ ผมว่าหลักๆ คนมาจากการกลัว กลัวว่าใครแอบอ้าง ความตระหนักถึงเหตุและผมเลยอาจจะน้อยไปหน่อย เหมือนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และด้วยอาการแพนิกด้วย สติหลุด ก็โชคดีของมิจฉาชีพไป บนความโชคร้ายของชาล็อต ร้อยเคสจะได้เจอสักเคสที่คอนโทรลง่าย ขนาดเช้าแล้วก็ยังไม่วาง ตัวเขาก็ยังไม่วาง ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากพวกเราว่าวางเดี๋ยวนี้ ถอดซิมออกด้วย”
ชาล็อต : “มันคือความกลัว ตอนนั้นอยู่คนเดียวด้วย เรากลัวว่าถ้าออกหมายจับ หนูเสียชื่อเสียงแน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้จริงหรือไม่จริง สังคมก็จะมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือเปล่า เลยตัดปัญหาเลยการยินดีให้ความร่วมมือไป ตอนนั้นก็คุยไปร้องไห้ไป แต่ก็พยายามดึงสติกลับมา”
ณวัฒน์ : “ที่น้องคุยอยู่นาน เพราะมีความหวังว่าจะได้เงินคืนอะไรแบบนี้”
ชาล็อต : “รู้ว่ามีมิจฉาชีพ แต่ไม่เคยเจอรูปแบบนี้ เลยทำให้หนูไม่กล้าบอกใคร ตอนนี้ก็พี่ที่บริษัทได้ไปให้ข้อมูลกับตำรวจไซเบอร์แล้วค่ะ เมื่อวันที่ 8 ส่วนหนูไปที่สน.สุทธิสาร”
ณวัฒน์ : “พูดตรงๆ มันยากครับ อยากให้เป็นบทเรียนกับคนที่เหลือ เพราะมิจฉาชีพแบบนี้ทำงานทุกวัน การได้เงินคืนมันแทบเป็นศูนย์ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง แต่พลาดไปแล้วเราก็ไม่ว่ากัน สิ่งหนึ่งที่บอกลูกน้องตลอด คือข้าราชการและตำรวจ ไม่มีการทำคดีออนไลน์ ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีแบบใดก็ตาม ตำรวจ ทหาร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเงิน กระทรวงการคลัง สรรพากร ไม่มีใครทำงานด้วยระบบนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อยากย้ำว่ามันคือการหลอกลวงล้านเปอร์เซ็นต์ อย่าไปตกหลุมเขาอีกเด็ดขาด แล้วพอมี AI ประดิษฐ์ คนก็กลับไปหลงเชื่ออีกแล้ว มันก็เลยก้าวล้ำไปเกินกว่าสติจะตั้งได้ ฝากเป็นอุทาหรณ์จริงๆ ต้องบอกกับตัวเองว่าถ้าผิดจริงก็ยินดีไปศาล ไปโรงพัก ดีกว่ามีพิพากษากันบนออนไลน์ หมดเงินแน่ ก็บอกน้องแล้วว่าไม่เป็นไร เราก็ต้องหาเงินใหม่”
ชาล็อต : “ตอนนี้มีเบอร์แปลกโทร.หาหนูเยอะมาก แต่หนูไม่กล้ารับ เลยส่งต่อไปให้น้องเลขาโทร.กลับ ว่ามาจากไหนกันแน่ ถ้าเป็นตำรวจจริงๆ ก็มีติดต่อมาบ้างแล้วค่ะ คืบหน้ามาแล้วด้วย เดี๋ยวจะประชุมหลังจากนี้ แล้วก็จะเปลี่ยนเบอร์ด้วย”
ณวัฒน์ : “แต่ผมแนะนำไม่ให้เปลี่ยนนะ เพราะพวกนี้ยะแรนด้อมไม่ใช่เบอร์เก่า ก็แนะนำว่าเปลี่ยนเฉพาะไลน์ไอดี เบอร์ก็ใช้ปกตินี่แหละ เขาจะไม่โทร.กลับมาอีก ถ้าเปลี่ยนเบอร์ใหม่ เขาอาจจะแรนด้อมมาเจออีก ผมว่าเขาไม่ได้รู้มาก่อนว่าชาล็อตเป็นแพนิค แค่แรนด้อมมาเจอคนที่ควบคุมได้”
น้ำตาไหล รับยังช็อกอยู่ แต่ต้องมูฟออนทำงานต่อ และพยายามไม่อยู่คนเดียว
ชาล็อต : “ตอนนี้ยังช็อกอยู่ค่ะ ที่เงินมันหายไปเยอะ ไม่รู้ต้องคิดหรือทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก (น้ำตาไหล) ทำได้แค่ใจเย็นและดึงสติกลับมาให้เร็วที่สุด และมูฟออนทำงานต่อค่ะ ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของทางตำรวจ (แพนิคแค่ไหนเวลาเสียงโทรศัพท์เข้า?) หนูไม่ได้เปิดค่ะ เปิดโหมดเครื่องบินเอาไว้ตอนนอน เวลามาทำงานก็พยายามอยู่กับน้องเลขา เพราะก่อนหน้านี้หนูอยู่คนเดียว อย่างน้อยก็ให้มีเพื่อนอยู่ด้วยในช่วงนี้”
ณวัฒน์ : “ใจเย็นๆ หนู 4 ล้านเอง ดีแล้ว 50 ล้านไม่ไป บอกเขาสิยังมีอีก 50 (หัวเราะ)”
ชาล็อต : “อย่าบอก เดี๋ยวเขาโทร.มาอีก”
ณวัฒน์ : “ไม่เป็นไร ก็พยายามงานไป ถือว่าเป็นแฮปปี้เบิร์ธเดย์ล่วงหน้า 20 นี้จะวันเกิด ก็ถือว่าฟาดเคราะห์ ทำสังฆทานไป 4 ล้าน”
ชาล็อต : “ถามว่าตอนนี้มีกะจิตกะใจทำงานไหม ก็ต้องมีค่ะ เพราะเงินหายไปแล้ว ถ้าหนูนั่งร้องไห้ เงินก็ไม่เข้ากระเป๋า ต้องทำงาน ถือว่าเป็นอุทาหรณ์ก็ได้ค่ะ จะได้ไม่ต้องมีเหยื่อเพิ่มเติม ฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยากให้จัดการปัญหานี้จริงๆ เพราะสุดท้ายเหยื่อไม่ใช่คนผิดค่ะ”
ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญรอง ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนและสอบสวน ก็ได้เดินทางเข้ามารับข้อมูลที่ออฟฟิศ MGI เพื่อจะโอนย้ายคดีจาก สน.สุทธิสาร มายัง บช.สอท.
โดย พล.ต.ต.วิวัฒน์ เปิดเผยว่า “จากข้อมูลที่ได้รับเบื้องต้น ทราบว่าทางผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร แล้ว และทางพนักงานสอบสวนได้อายัดบัญชีไว้เบื้องต้นแล้ว ทราบเป็นการโอนเข้าบัญชีม้า และถูกโอนออกไปยังบัญชีอื่น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ โดยจะโอนย้ายคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบ สน.สุทธิสาร มาอยู่ในความรับผิดชอบของ สอท.
ยืนยันจะเร่งติดตามสืบสวนขยายผลให้เร็วที่สุด คาดว่าจะมีความคืบหน้าภายในหนึ่งสัปดาห์ ส่วนหลักฐานที่เป็นคลิปบันทึกเอาไว้ ขณะมีการพูดคุยกับมิจฉาชีพที่ใช้ระบบ AI เป็นลักษณะแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่นั้น ยอมรับว่านวัตกรรมของมิจฉาชีพ มีความก้าวหน้าไปมาก โดยจะใช้การเชื่อมต่อสัญญาณผ่านระบบดาวเทียวสตาร์เทค สุ่มผู้เสียหายหลอกเอาเงิน
โดยไม่ได้เจาะจงไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง เมื่อเหยื่อหลงเชื่อ ก็จะล้วงถามเอาข้อมูล ตามแผนการของมิจฉาชีพ โดยที่ผ่านมามีหลายคดีที่ตำรวจสามารถนำเงินมาคืนให้กับผู้เสียหายได้ ซึ่งจากหลักฐานเบื้องต้นคาดว่าคดีของชาล็อต ไม่ใช่คดีที่ซับซ้อน ถึงแม้ปลายทางจะมีการโอนเงินเปลี่ยนเป็นสกุลดิจิทัลแล้วก็ตาม เจ้าหน้าที่สามารถติดตามเส้นทางการเงินได้”