“หนุ่ม กะลา” คัมแบ็กงานเพลง เคยคิดเลิกร้องเพลง แต่ฮึดกลับมาได้ เผยฟีดแบ็กดีคนเต็มทุกร้าน ได้กำลังใจเยอะเลยหายวิตกกังวล เผยความสุขทุกวันนี้อยู่ที่ลูกสาว
หลังเจอมรสุมดรามาหนัก จากการฟ้องหย่ากับอดีตภรรยา “จูน เพ็ญชุลี” จนถึงขั้นจะหยุดร้องเพลง เพราะไม่อยากเจอคน และไม่อยากถูกวิจารณ์ แต่สุดท้าย “หนุ่ม กะลา” หรือ “ณพสิน แสงสุวรรณ” ก็ฮึดกลับมาได้อีกครั้ง เพราะมีคนข้างหลังรออยู่เยอะ และทุกคนต่างก็มีครอบครัวต้องดูแล ซึ่งเจ้าตัวได้เปิดใจในงานครบรอบ 41 ปี บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จํากัด (มหาชน)
“จริงๆ มันเคยมีช่วงเวลาที่ผมจะไม่ไปต่อ จะไม่ร้องเพลงแล้ว รู้สึกว่ามันไม่อยากทำงานแล้ว แต่พอคุยกับผู้จัดการ กับน้องๆ ในวงแล้ว มันรู้สึกได้ว่า ถ้ามันไม่มีเราคนหนึ่ง เขาก็ลำบาก เขามีครอบครัว มันก็เลยฮึด ก็เลยใช้อันนั้นเป็นสัญลักษณ์ เหมือนเราตีกลองออกรบ ใช้อันนั้นเป็นการก้าวเดินว่า เฮ้ย กูจะไปต่อนะ"
"ส่วนเหตุผลที่ไม่อยากไปต่อในตอนนั้น คือมันไม่อยากเจอคน พูดตรงๆ ว่า อาจจะไม่อยากถูกวิจารณ์ด้วย มันเคยมีความคิดว่าเราจำเป็นต้องอยู่ในจุดที่ให้คนวิจารณ์ต่อไป หรือว่าหยุดแล้วไปทำในสิ่งที่เราอยากทำอย่างอื่นบ้าง เพราะว่าก็ร้องเพลงมา 20 กว่าปีแล้ว แล้วช่วงเวลานั้นมันรู้สึกอยากพัก บวกกับไปบวชมาด้วยแหละ พอไปบวชมาแล้วมันนิ่ง จนออกมาแล้วรู้สึกไม่อยากเจอใคร ไม่อยากคบค้าสมาคมกับใคร แต่มันไม่สึกไม่ได้เพราะต้องทำงานด้วย แล้วก็คิดถึงลูกด้วย”
ฟีดแบ็กคนดูดีขึ้น มีคนมาให้กำลังใจเยอะ
“ถ้าตอนหลังทุกอย่างแล้วเนี่ย เหมือนจะไม่มีอะไรเลย ผมว่าทุกอย่างดีขึ้นด้วย เพราะทุกร้านที่ผมไปเล่นก็เต็มหมด แต่ถ้าก่อนสึนามิเนี่ย คนดูเขาอาจจะตั้งใจมาดูก็ได้ แต่ใจเราก่อนบวช เรารู้สึกว่าเขาไม่รักเรา แต่ไม่มีตะโกนแซวครับ ส่วนมาคนที่มาดู กับคนที่คอมเมนต์เป็นคนละกลุ่มกันมากกว่า คนที่มาดูเขาตั้งใจ เขาเสียตังค์มาดู แต่มันเป็นที่ใจเรามากกว่า ที่วิตกไปเอง ซึ่งก็มีคนให้กำลังใจเยอะมากครับ เลยทำให้สิ่งที่เราวิตกมันดีขึ้นเรื่อยๆ”
การบวชรอบนี้ ทำให้สงบขึ้นกว่าทุกครั้ง
“ผมว่าการบวชรอบนี้มันดีขึ้นมากๆ มากว่าทุกรอบ ผมเคยให้สัมภาษณ์ว่า ผมจะบวชก็ต่อเมื่อผมมีความสุขที่สุด เพราะผมจะได้ก้าวขาในผ้าเหลืองแล้วก็ปฏิบัติเลย แต่บวชรอบที่สองเนี่ย มีความทุกข์ตั้งแต่ยังไม่บวชเลย เหมือนเราแบกถังข้าวสารใหญ่ๆ ไว้ที่บ่า แล้วก็เข้าไปในผ้าเหลือง มันก็ได้การกลั่นกรองอีกแบบหนึ่ง เราอยู่กับความทุกข์ทุกวันเลย แม้เราจะไม่เล่นโซเชียลเลย แต่ความทุกข์มันอยู่ในนี้ แล้วเราก็ต้องพยายามศึกษามันว่า ความทุกข์มันคืออะไร พอออกมาก็กลายเป็นเราเข้าใจธรรมชาติของหลายๆ อย่างมากขึ้น”
ความสุขวันนี้อยู่ที่ลูกสาว กลับมาแต่งเพลงแล้ว แต่ไม่เล่นโซเชียล ลงแค่รูปแล้วก็ออกไม่ได้รู้ข่าวอื่น
“ความสุขวันนี้คือการได้ตื่นเช้ามา แล้วรู้ว่าจะไปรับลูกที่โรงเรียน หรือถ้าไม่ได้ไปรับ ตอนเย็นจะได้เจอกัน ใช้ช่วงเวลากับเขา หรือแม้แต่ว่าวันศุกร์หรือวันเสาร์ ถ้าผมไม่ได้ทำงาน จะได้นอนกับลูก มีแค่นี้เลยครับ แล้วก็พยายามจะจุดไฟในตัวเองให้กลับมาอีกครั้ง เพราะมันมีคนข้างหลังรอเราอยู่เยอะ เช่นทีมงานของเรา เขาก็มีอีกหลายชีวิต ผมก็กลับมาเริ่มแต่งเพลงแล้ว ความสุขมันวนอยู่แค่นี้ แล้วผมเจอคนน้อยมาก ผมไม่เล่นโซเชียล ที่เห็นผมลงรูปมันจะแค่เข้าไปลงรูปเท่านั้น หรือเข้าไปทำงานเท่านั้นแล้วจะออกมา จะไม่ได้รู้ข่าวใครเลย เป็นศูนย์ พอวันนี้มาเจอน้องๆ รุ่นใหม่ๆ ก็คือเป็นศูนย์จริงๆ ไม่รู้จักใครเลย”
ปัดยังกังวลเลยไม่เล่นโซเชียล แต่เลิกเล่นจนชินไปแล้ว ตั้งแต่ตอนบวช
“มันเกิดมาจากบวชมากกว่าครับ คือตอนแรกมันก็เกิดจากความกลัวด้วย กลัวว่าจะเจอคอมเมนต์ไม่ดี พอช่วงที่บวช ผมตั้งใจไว้แล้วว่าผมจะไม่เล่นโซเชียล ทีนี้พอมันเข้าไปแล้วมันก็เคยชิน และเราก็เห็นเลยว่า หลายๆ อย่างของเรามันเสียเวลาไปกับการที่เช้ามาลุกจากที่นอน กว่าจะลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน เราไถเพื่อเช็กอะไรก็ไม่รู้เป็น 10-20 นาที พอหายจากสิ่งนั้นไป เช่นการเดินเล่นกับลูก เมื่อการจับมือลูกแล้วก็ไถไปด้วย แต่ตอนนี้บางทีเวลาผมลงจากรถ ผมจะเอาโทรศัพท์ไว้ในรถ แล้วลงไปกับลูก โทรศัพท์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเราแล้ว ความสุขคือลูกครับ ยังอยากเห็นเขาสดใสแบบนี้ไปเรื่อยๆ”
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผลกระทบกับลูก เพราะน้องไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“น้องไม่รู้เรื่องเลยครับ ล่าสุดไปรับเขายังบอกว่า ครูมีรูปป๊าอยู่ในมือถือด้วย แล้วเป็นครูฝรั่งนะครับ เพราะน้องเรียนนานาชาติ แต่ตัวเขาเองเขาไม่ได้รู้ว่าผมเป็นคนดังนะครับ เวลาเดินห้างกันเขาแค่รู้ว่ามีคนขอถ่ายรูปเยอะ เขาก็จะขอถ่ายด้วย แต่เขายังไม่มีคำถาม เอาจริงๆ หลายๆ ครั้งคนจำลูกได้ก่อนที่จะเห็นหน้าผมด้วย แต่ถ้าเขาไถติ๊กต๊อกเวลาเขาเล่น แล้วเขาไปเจอหน้าผม เขาจะรู้ว่าป๊าเป็นนักร้อง แต่ไม่รู้จักเพลง (เคยเปิดเพลงให้เขาฟังไหม?) เขาไม่ฟังครับ เขาฟังทรงอย่างแบด (หัวเราะ) เขามีทางของเขา”
ตั้งใจอยากพาลูกไปดูคอนเสิร์ตตัวเอง เผื่อจะมีแรงบันดาลใจ
“ล่าสุดเพิ่งซื้อเปียโนให้เพราะเขาเรียนเปียโน ผมก็ถามว่าไปเรียนเต้นไหม เขาบอกไม่ แล้วเรียนร้องเพลงไหม เขาบอกเรียน ก็คือชัดเจน มีพาไปที่ห้องอัดผมเอง อยากให้ลองไมค์ อยากให้ร้องเพลง ก็เก่งครับ ได้อยู่ แต่ได้นี่คือแอ็กติ้งนะครับ (หัวเราะ) เดี๋ยวโตกว่านี้มีแผนหนึ่งที่อยากทำ คิดมาตลอดว่า ถ้ามีลูกอยากพาลูกไปคอนเสิร์ต เคยพาไปดูคอนเสิร์ตใหญ่มาทีหนึ่งแล้ว แต่น้องยังเด็กเกินไป ตอนนี้ก็มีแผนว่า อยากพาไปดูคอนเสิร์ต อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้เขารู้สึกว่า อยากเป็นไหม เพราะมีหลานผมบางคนไปดู กลับมาแล้วก็บ้าเล่นกีตาร์ บ้าร้องเพลง ถ้าลูกไปแล้วชอบก็ดี แต่ถ้าไม่ชอบก็จะได้ส่งเสริมไปอย่างอื่นเลย”
อยากให้ลูกเชื่อว่าเป็นนักร้อง แต่เปิดให้ดูแล้วลูกเปลี่ยนหนี
“เคยทำ แบบเปิดติ๊กต๊อกแล้วเห็นหน้าผม แต่พอเปิดไปแล้วเขาก็ไถหนี แต่จริงๆ มีอยู่เพลงหนึ่งในอัลบั้ม มีแผนที่จะเอาลูกกับหลานๆ ไปร้อง แต่ว่ามันยากมาก ผมพยายามให้ลูกร้องเพลงลม ที่เป็นท่อนฮุคง่ายๆ หลานผมทุกคนร้องได้หมดเลย ยกเว้นลูก เหมือนตอนนี้เขากำลังรับทำนองง่ายๆ สั้นๆ อย่างพวก APT. (ROSÉ & Bruno Mars) แล้วพอเขาเรียนอินเตอร์ เขาจะไม่ค่อยพูดภาษาไทย แล้วตอนนี้อยู่กับผมเขากำลังเห่อ ก.เอ่ย ก.ไก่ แต่คือผมอะ เวลาลูกสปีคเยอะๆ เนี่ย ผมก็ต้องทรานสเลทแล้วครับ เพราะบางคำศัพท์ยากๆ ที่เขาฟังเราไม่รู้เรื่อง ผมก็ต้องพูดแล้วแปลเป็นภาษาอังกฤษให้เขาฟัง เขาถึงจะอ๋อ”