หลังจากความสำเร็จของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ทำรายได้มหาศาลในช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะในปี 2018 และ 2019 ที่มีภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่หลายเรื่องทำรายได้เฉลี่ยทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ อุตสาหกรรมภาพยนตร์เริ่มเผชิญกับการถดถอยในปัจจุบัน
ผลประกอบการของภาพยนตร์เหล่านี้ลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในปีนี้ที่รายได้เฉลี่ยลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น แม้จะมีภาพยนตร์บางเรื่องที่ประสบความสำเร็จ เช่น Deadpool & Wolverine แต่ภาพรวมของวงการซูเปอร์ฮีโร่กลับประสบปัญหาทางการตลาดอย่างรุนแรง
ตัวอย่างหนึ่งคือภาพยนตร์เรื่อง “Venom: The Last Dance” ที่ถูกโปรโมตว่าเป็นบทสรุปสุดท้ายของแฟรนไชส์ Venom นำแสดงโดย Tom Hardy ทำรายได้เปิดตัวในสหรัฐฯ เพียง 51 ล้านดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่าสองภาคก่อนหน้านี้ถึง 44% และ 55% ตามลำดับ การลดลงของรายได้นี้สะท้อนถึงภาวะที่วงการภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่กำลังเผชิญหน้าอยู่ ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาด้านการตลาดเท่านั้น แต่ยังมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ชมที่อาจเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับแนวซูเปอร์ฮีโร่ที่มีเนื้อหาซ้ำซาก ขาดความสดใหม่
ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่หลายเรื่องในปี 2024 ประสบปัญหาทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง "Madame Web" ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ทำรายได้เปิดตัวในสหรัฐฯ เพียง 15.2 ล้านดอลลาร์ และรวม 6 วันแรกที่ 23.4 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังได้รับคะแนนวิจารณ์เพียง 13% บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes
ส่วน "Joker: Folie à Deux" ที่เข้าฉายในเดือนตุลาคม แม้จะขึ้นอันดับหนึ่งในตารางหนังทำเงินด้วยรายได้เปิดตัว 40 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ได้รับคะแนนจากผู้ชมใน CinemaScore เพียงระดับ D
สำหรับ "The Crow" ภาคใหม่ที่เข้าฉายในปีนี้ แม้จะมีความคาดหวังสูง แต่กลับได้รับคำวิจารณ์ที่หลากหลายและรายได้ที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ความล้มเหลวของภาพยนตร์เหล่านี้สะท้อนถึงความท้าทายที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ต้องเผชิญในปัจจุบัน
นับตั้งแต่การเปิดตัวของ “Spider-Man: Across the Spider-Verse” ในเดือนมิถุนายน 2023 ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่หลายเรื่องไม่สามารถทำรายได้สูงตามที่คาดหวังได้ เช่น “The Flash,” “The Marvels,” และ “Madame Web” ที่ไม่สามารถดึงดูดผู้ชมจำนวนมากได้เหมือนเดิม ความสำเร็จที่ลดลงนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของรายได้ แต่ยังเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและความคาดหวังของผู้ชมที่ต้องการเห็นความหลากหลายของเนื้อหาที่มากกว่าฮีโร่ในรูปแบบเดิม
ย้อนกลับไปในช่วงปี 2015 ถึง 2019 ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ถึง 25 จาก 30 เรื่องทำรายได้มากกว่า 500 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาทองของวงการนี้ แต่หลังจากการระบาดของ COVID-19 ความนิยมของภาพยนตร์ประเภทนี้ลดลงไปมาก และตั้งแต่ปี 2022 มีภาพยนตร์เพียง 7 จาก 17 เรื่องเท่านั้นที่ทำรายได้สูงกว่า 500 ล้านดอลลาร์ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของวิกฤตโลกที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเข้าชมภาพยนตร์ของผู้ชม และแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงในวงการบันเทิง
สาเหตุที่ทำให้รายได้ของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ลดลงนั้นมีหลายประการ เริ่มจากปัญหาด้านการบริหารและการอิ่มตัวของตลาดในแต่ละค่ายที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพและความน่าสนใจของเนื้อหา เช่น DC Studios ต้องเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงทีมผู้บริหารหลายครั้ง ส่งผลให้การวางแผนภาพยนตร์ไม่สอดคล้องและขาดความแน่นอน ในขณะที่ Marvel Studios มีคอนเทนต์จำนวนมากใน Disney+ ซึ่งทำให้ตลาดอิ่มตัวและลดความตื่นเต้นในการชมภาพยนตร์ในโรง
ในขณะที่ Marvel Studios กำลังเตรียมพร้อมกับภาพยนตร์ใหม่ในปี 2025 รวมถึง “Captain America: Brave New World,” “Thunderbolts,” และ “The Fantastic Four: First Steps”
ด้าน Sony Pictures ยังคงเดินหน้าผลิตภาพยนตร์ Spider-Man ต่อไป โดยมีโปรเจกต์ใหม่อย่าง “Kraven the Hunter” และการนำเสนอเรื่องราวใหม่ ๆ เพื่อรักษาฐานแฟนๆ ของ Spider-Man แต่อนาคตของจักรวาล Spider-Man ของ Sony ยังคงไม่ชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร เนื่องจากการขาดความมั่นคงในแนวทางการพัฒนาและการนำเสนอที่ไม่ต่อเนื่องอาจเป็นอุปสรรคในการสร้างรายได้
อีกด้านหนึ่ง DC Studios ภายใต้การนำของ James Gunn และ Peter Safran มีแผนที่จะรีบูตจักรวาลของ DC เพื่อกู้คืนความเชื่อมั่นของผู้ชมและแฟนๆ โดยโปรเจกต์สำคัญคือภาพยนตร์ Superman ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญคือต้องทำรายได้เปิดตัวที่ 100 ล้านดอลลาร์ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าซูเปอร์ฮีโร่ในแบบของ DC ยังมีศักยภาพในการทำรายได้
แม้จะดู "ตก" ลงไปบ้าง แต่ หนังซูเปอร์ฮีโร่ก็ยังเป็นสินค้าหลักที่ฮอลลีวูดขาดไม่ได้