xs
xsm
sm
md
lg

“ซี ศิวัฒน์” รับจบ! แทน "บอสกันต์" เสียบพิธีกร “The Mask Singer”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ซี ศิวัฒน์” เสียบพิธีกร “The Mask Singer” แทน “กันต์ กันตถาวร” ปัดเป็นลูกรักคนใหม่ แค่ทำงานที่ได้รับมอบหมาย โอดงานหินมาก ต้องถ่ายแก้ใหม่หมด แต่ยินดีรับจบแบบไม่กดดัน “เอมี่” ให้กำลังใจสามี โอเคมากแม้มีเวลาให้น้อยลง บอกชีวิตคู่เหมือนหยินหยางแต่ลงตัว เข้าใจเมียดื่มจนได้ดี ชมโคตรเท่ทั้งเอมี่ และ “ป๊อก ปิยธิดา” สายดื่มแต่ไม่เคยเสียงาน

ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเดา “ซี ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์” เฉลยแล้วคือผมเอง พิธีกรคนใหม่ที่มาแทน “กันต์ กันตถาวร” ใน “The Mask Singer หน้ากากนักร้อง” หลังได้ทำแทนไปแล้วหนึ่งรายการ อย่าง “ร้องข้ามกำแพง” ซึ่งกระแสตอบรับก็ดีมาก โดยเจ้าตัวได้เปิดใจพร้อมกับภรรยา “เอมี่ กลิ่นประทุม” ในงานทอดกฐินสามัคคี ๒๕๖๗ วัดพระธาตุดอยวิสุทธิญาณ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ว่าต้องขอบคุณทุกแรงเชียร์ แต่ก็ต้องยกเครดิตให้ทีมงานทุกคนด้วย

ซี : “จริงๆ แล้วคือตัวแพลตฟอร์มของรายการร้องข้ามกำแพงมันดีอยู่แล้ว ผมว่าใครมาทำก็ได้ แล้วมันก็ไม่ได้แตกต่าง แต่ละคนก็มีสไตล์ของตัวเอง ซึ่งถ้าจะให้เครดิตจริงๆ คงไม่ใช่เพราะผมหรอก ต้องให้เครดิตดีเจนุ้ย ให้เครดิตปั้นจั่น และให้เครดิตศิลปินทุกคน แล้วก็ทีมงาน เพราะแพลตฟอร์มของรายการร้องข้ามกำแพงมันดีอยู่แล้ว”

“คือไม่ได้กดดันเรื่องของงาน แต่เป็นความรู้สึกที่อย่างที่ทุกท่านทราบ มันก็เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้ดีมาก แต่ว่าเราก็ต้องมีความเป็นมืออาชีพ ทีมงานทุกคนมีความมืออาชีพ ศิลปินทุกคนมีความเป็นมืออาชีพ ธงที่เราตั้งไว้ คือเรายังคงดำเนินให้รายการนั้นออกมา แล้วทำให้ทุกคนมีความสุขครับ นั่นคือเป้าเรา ส่วนหลังบ้านเนี่ย เราจะรู้สึกอะไรยังไงมันเป็นหน้าที่ที่เราต้องจัดการความรู้สึกของตัวเองครับ วันนี้ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันเข้าสู่กระบวนการแล้วเนี่ย มันก็ว่ากันไปตามนั้น”

“ถามว่าตอนที่เขาติดต่อมารับบทบาทนี้ เราคิดหนักไหม ก็ไม่ได้คิดหนักอะไรเลยครับ เราก็ทำหน้าที่ เอาจริงๆ ผมก็เป็นลูกจ้าง ผมเป็นคนในบริษัทเวิร์คพอยท์ การที่ผมจะไปแทนใคร มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม ผมยินดีมาก อะไรก็ตามที่ทำสำหรับบริษัท เราก็ทำตามที่ผู้ใหญ่เห็นชอบ ผมก็ทำมันด้วยความสุขอยู่แล้ว แต่เพียงแค่ว่าครั้งนี้มันแตกต่างจากทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา มันไม่ได้เป็นการแทนชั่วคราว มันไม่ได้เป็นการแทนช่วงใดช่วงหนึ่ง หรือซีซั่นหนึ่ง คือมันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่อันนั้นมันเป็นความรู้สึกของผม”

“อย่างวันแรกที่ผมได้มีการถ่ายรายการ ผมก็ส่งข้อความหาเอมี่ แล้วพูดอะไรบางอย่างที่มันอัดอั้นในใจผม มันเป็นความรู้สึกที่ผมพูดตรงๆ ว่า มันเป็นความรู้สึกที่แย่ บางอย่างเพราะมันก็คนใกล้ตัว เหตุการณ์นี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้น กับทั้งคนใกล้ตัว ทั้งใคร ทั้งผู้เสียหาย อย่างไรก็ตามอย่างที่ผมบอก ในฐานะที่เราควรจะเป็นมืออาชีพในการทำงาน เราต้องวางไว้คนละเรื่อง”

“แล้วเทปแรกได้รับการตอบรับที่ดี ต้องบอกว่าจริงๆ แล้ว ตั้งแต่ก่อนแล้วนะครับ ตั้งแต่ก่อนจะทำงานแล้ว มันก็เป็นอะไรที่มันต้องเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ นะครับ คือจะปฏิเสธไม่ได้ว่าคงไม่รู้สึกดี คงเป็นไปไม่ได้ ขอบคุณมากทุกแรงเชียร์ ขอบคุณทุกกำลังใจที่เห็นผมเหมาะสม จริงๆ แล้วขอบพระคุณมากเลยนะ จากใจเลย ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ ครับ”

“แต่ถามว่าเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยไหม จริงๆ ผมไม่ได้กดดันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว บอกเลยว่าผมก็แค่ดำเนินรายการคือหน้าที่พิธีกร มันไม่ได้มีหน้าที่เป็นพระเอกของเรื่องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเราคิดถึงตัวเอง ว่าเราจะต้องเป็นพระเอกของเรื่อง มันก็คงต้องมีภาวะความกดดันหน้าที่ของพิธีกร คือเรามีหน้าที่สร้างบรรยากาศให้ทุกคนมีความสุข ไม่ได้มีหน้าที่ในการเป็นพระเอกของเรื่องก็แค่นั้น ทำให้สภาวะความกดดันมันเลยไม่มี”

โอด “The Mask Singer หน้ากากนักร้อง” เป็นงานหินมาก เพราะต้องแก้จากอันที่ถ่ายไปแล้ว
“ครับผม คืออ่ะผมถือโอกาสตรงนี้เลยครับว่า ครับผมเองแหละครับ แต่มันไม่เหมือนกับร้องข้ามกำแพง มันคือการถ่ายทำใหม่ The Mask เดี๋ยวให้ทางบริษัทประกาศ แต่ถึงไม่ประกาศทุกคนก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว คือจริงๆ The Mask มันได้มีการถ่ายทำเสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หน้าที่ของผมผมคงต้องไปแก้ไขอะไรบางอย่าง ซึ่งบอกได้เลยว่าอะไรบางอย่างตรงนั้นมันเป็นงานที่หินมาก อันนี้คือยากมาก ยากทั้งทีมงานและยากทั้งผมยากทั้งทุกๆ คน”

“อันนี้ขอเป็นตัวแทนบริษัทเวิร์คพอยท์ กราบขอบพระคุณศิลปินและกรรมการหลายท่าน ที่น่ารักกับเรามาก อะไรที่ใช้ของเดิมได้เราก็ใช้ อะไรที่ต้องมีการเข้าใหม่กับผม มันต้องมีการถ่ายทำใหม่ ซึ่งมันก็ยาก อันนี้ผมไม่รู้ว่าเขาให้บอกหรือเปล่า แต่ผมก็พูดไปแล้ว เอาเป็นว่าผมพูดตามนี้แล้วกัน จริงๆ ความสนุกของสิ่งที่มีมันดีอยู่แล้ว เอาเป็นว่าก็ขอให้ทุกท่านเปิดใจ ผมการันตีว่าซีซั่นนี้ยังไงก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่นอน ถามว่าเครียดไหม ที่มันต้องรื้อใหม่ ทำใหม่ คนที่เครียดคือทีมงานครับ”

(ตอนนี้กลายเป็นว่าซีรับจบ?) “ก็ยินดีเสมอครับ จริงๆ แล้วผมเป็นคนยินดีอยู่แล้ว ผมไม่ได้คิดอะไรเลยครับ ว่ามันไม่ใช่ของผม มันไม่ใช่ของมัน ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องคิดว่ามันเป็นของใคร หรือใครทำมา คือเราแค่มีเป้าของเรา ในทิศทางที่เราต้องการจะทำ คือให้ทุกคนมีความสุขเท่านั้นเอง อันนี้ไม่ได้โลกสวยหรือพยายามพูดให้ดูดีนะครับ แต่ผมเป็นคนแบบนี้จริงๆ ผมก็เลยไม่เคยจะต้องมีสภาวะความกดดัน ว่าถ้าผมทำแล้วมันจะดีไหม คนจะมองผมยังไง คือไม่มีใคร คือยังไง เทปแรกออกมามันไม่ได้ดีหรอกครับ เดี๋ยววันนึงพอมันเริ่มชิน มันเริ่มอะไร ทุกอย่างมันก็จะมันก็จะดีของมันเองนะครับ”

ไม่มองตัวเองเป็นลูกรัก เพราะทำงานด้วยความตั้งใจมาโดยตลอด
ซี : “กับคำว่าลูกรักคนใหม่ อันนี้ก็แล้วแต่ว่าแต่ละท่านให้ความหมายยังไง สำหรับตัวผมเองไม่ได้มองว่าเป็นลูกรักหรืออะไร คือผมเองก็มีงานมาตลอด ผมก็ทำหน้าที่ของผมมาโดยตลอดด้วยความตั้งใจ มันจะเป็นยังไงมันก็เป็นไปตามกระบวนการของธรรมชาติ ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 5 รายการ”

เอมี่ : “เราก็พูดกับเขาเสมอ เขาตั้งใจทำมาตลอด เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ พอโอกาสมันมาเขาก็ทำได้ดีอยู่แล้ว เราก็บอกเขาว่าทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ตอนวันที่เขาอัดรายการครั้งแรกเขาโทร.มา ตอนนั้นเราก็ถามเขาว่าเขาเป็นอะไร คือเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น พอเรามาฟังเขาซึ่งที่ผ่านมาเขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย คือเขาก็มีความรู้สึก ปกติเขาเป็นคนที่ทำได้หมด เขาเป็นคนจัดการความรู้สึกได้ แต่ครั้งนี้เขาค่อนข้างที่จะใช้เวลาที่ทำหน้าที่ตรงนั้น ซึ่งตอนนั้นที่เขาโทร.มา จริงๆ เราก็เหมือนรู้ๆ กันมาก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว พอไปถึงตรงนั้นแล้วเขาจะต้องแสดงว่าแฮปปี้ความดีใจ แต่ในใจเขาก็พยายามที่จะกดความรู้สึกบางอย่าง”

โอเคมากแม้สามีก็อาจจะมีเวลาให้น้อยลง
เอมี่ : “โอเคมากเลยค่ะ (หัวเราะ) เราก็อยากให้เขาทำงานอะเนอะ รายการหลากหลาย ซึ่งเขาทำงาน เราก็ทำงาน เพราะเราก็ทำธุรกิจ คือช่วงนี้เป็นช่วงที่เราแยกย้ายไปทำงานกัน”

ซี : “บางทีก็อยากรู้ว่าเขาประชุม เขาประชุมอะไรยังไง เวลาประชุมทีไรกลับมาทุกครั้งสะเงาะสะแงะ ประชุมยังไง”

เอมี่ : “มันเหนื่อยมันก็มีเดินเซกันบ้าง (หัวเราะ) เธอเป็นพิธีกรเธอไม่เข้าใจหรอกว่าธุรกิจจะเขาทำอะไรกันบ้าง”

เปิดใจผ่านรายการ “วู้ดดี้” เป็นคู่ที่ไลฟ์สไตล์ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ซี : “ไม่เหมือนกันเลย จริงๆ เราพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกๆ เลย เราเป็นหยินหยางที่ดี จริงๆ เราก็ลงตัวก่อนที่จะแต่งงานแล้ว พอแต่งงานแล้วมันก็ดีขึ้น มันเหมือนเราเข้าใจกัน ผมว่าคนที่ใช่มันใช่จากการที่ตัวเราพร้อมกับทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่ใช่ว่าหาคนที่ใช่โดยการที่เราออกไปตามหา ว่าใครที่มันจะเข้ากับเราได้ เพราะในความเป็นจริงแล้วตัวเราเอง ต้องทำตัวให้เข้ากับเขาคนนั้นด้วย สมมติว่าเมียอยากไปกินเหล้า ถ้าเรามัวแต่ทะเลาะ ถ้าเราคิดว่ามันเป็นความสุขของเขา เราก็ให้เขาเอาพอประมาณ”

เอมี่ : “แต่ตอนนี้มันก็ชัดเจนขึ้น แต่มันก็มีความคล้ายกันอยู่ คืออยู่ดีๆ ก็ลงตัวได้”

ไม่กดดันชีวิตคู่ถูกจับตามองการ ภูมิใจฉายาดื่มจนได้ดี ไม่ได้สนับสนุนให้ดื่มอย่างเดียว
ซี : “ไม่เลยไม่กดดันเลย”

เอมี่ : “ถามฉันไหม”

ซี : “คุณกดดันเหรอ คุณเอาอะไรมากดดันในเมื่อคุณ ...”

เอมี่ : “ก็ไม่ได้กดดัน แต่ก็แค่ว่าไม่ต้องพูดตลอด”

ซี : “ไม่ได้พูดตลอด ทุกคนก็พูดเองว่าเราดื่มจนได้ดี”

เอมี่ : “ก็ภูมิใจอยู่ (หัวเราะ) ไม่หรอกคือทุกๆ อย่างที่เราทำ เราต้องมีความรับผิดชอบ มีความบาลานซ์ เดี๋ยวสามีจะว่าเอา (ถึงขนาดเอาไปเป็นสโลแกนสินค้าเลย?) มันก็ไม่ได้อยากสนับสนุนให้คนคนดื่มนะ ไม่ใช่ว่าใครเวลาเราไปเที่ยวไหน แล้วมีคนเข้ามาทักเราว่าพี่มี่เป็นไอดอลในการดื่ม คือฉันเข้าใจนะ แต่ว่าไม่ได้จะสนับสนุนให้ดื่มอย่างเดียว เราก็พยายามที่จะพูดตลอด เราก็พยายามทำตัวอย่างการออกกำลังกายที่มีประโยชน์ และพยายามทำทุกอย่างให้มันเห็น ว่าเรามีสุขภาพที่ดีแล้ว เราจะได้ไปดื่มได้”

ชื่นชม “ป๊อก ปิยธิดา” และภรรยาตัวเอง แม้จะชอบดื่มแต่บาลานซ์ชีวิตได้ โคตรมีคุณค่าในตัวเองและโคตรเท่
เอมี่ : “พี่ป๊อกเองเขาก็บอกว่าทำไมหลายคนบอกว่าเราดื่มได้อย่างเดียว เราก็บอกพี่ป๊อกไปว่าใช่ๆ เราเข้าใจ ก็มีปรับทุกข์กันนิดนึง”

ซี : “ไม่ได้เข้าใจ แต่ว่าทำใจมากกว่า คือผมชื่นชมมาก ผมว่ามันเท่มากเลยนะ ในการที่ผู้หญิงเขามีความแข็งแกร่งเหมือนผู้ชาย และเขาก็บาลานซ์ชีวิตได้ คือผมไม่รู้ว่าผู้ชายคนอื่นมองยังไง แต่ผมมองว่าผู้หญิงที่มีคาแร็กเตอร์แบบนี้ คาแร็กเตอร์ที่แบบว่าทำไมล่ะ ฉันก็ทำได้ ผู้ชายยังทำได้ ฉันก็ทำได้ และเขาก็สามารถดำเนินกิจการเขา สามารถทำงานได้อย่างครบถ้วนและเพอร์เฟกต์สมบูรณ์แบบ ผมก็เลยรู้สึกว่าผมก็พูดกับพี่ป๊อกแบบนั้น แล้วเราก็รักกันเพราะเขาเป็นแบบนี้ ผมก็เลยบอกว่าผู้หญิงแบบนี้โคตรมีคุณค่าในตัวเองสูง และโคตรเท่เลย”

เอมี่ : “ฉันมีสามีที่ดี (ยิ้ม)”

ชีวิตคู่ของใครของมัน อย่าเอาคู่อื่นมาเปรียบเทียบ
ซี : แต่จริงๆ คู่ใครคู่มัน ผมว่ามันไม่ต้องมีมาตรฐาน ผมว่าใครชอบเรา เราก็ยินดีมาก ส่วนใครที่เป็นชีวิตคู่แบบเรียบง่าย ผมว่ามันก็เรียบง่ายไง ส่วนชีวิตใครที่มันมีสีสันกระโดกกระเดกแบบเรา ผมก็รู้สึกว่าเขาก็สนุกดี เป็นหนังสือแต่ละหน้า ทั้งที่เป็นหนังสือเล่มเดิมที่อ่านมา 19 ปีไม่เหมือนกันเลย เหมือนคนเขียนมันก็สนุกดี แต่ผมย้ำว่าคุณจะต้องดีลกลับพาร์ทเนอร์ของคุณ คุณอย่าเอาพาร์ทเนอร์คนอื่นหรือคู่อื่นมาเป็นที่ตั้ง แล้วเอามาเปรียบเทียบ เมื่อคุณเริ่มมีความรู้สึกแบบนี้เมื่อไหร่ มันคือการเปรียบเทียบและอคติทันที”

เอมี่ : “แต่ละคู่ก็หาทางของตัวเอง คือจริงๆ กว่าเราจะลงตัวกัน เข้าใจกัน โอเคกัน ก็ต้องใช้เวลา (อย่างใน YouTube ที่คนเข้าไปดูคู่เราทะเลาะกันมันเป็นความสุขของคนดู?) มี่ว่าคู่อื่นก็น่าจะเป็นคล้ายๆ เรา เป็นการเถียงกันแบบนี้แหละ คู่อื่นเขาไม่เป็นกันเหรอ คือประเด็นเวลาที่เราเถียงกัน มันดีตรงที่เราไม่ได้ทะเลาะกันจริงป่ะ”

ซี : “ทะเลาะกันจริง (เสียงสูง)”

เอมี่ : “มันมีอารมณ์กันจริง แต่แป๊บเดียวมันก็หาย มันเหมือนเป็นไบโพลาร์นิดๆ มันเหมือนเหวี่ยงแล้วก็หาย เขาก็ไม่ถือสาเรา”

ซี : “ถือแหละ แต่ทำอะไรไม่ได้”

(อย่างคลิปต่อๆไปมันกดดันไหมที่คนดูอยากดูเราทะเลาะกัน?)
เอมี่ : “ไม่กดดันนะ เพราะมันก็เป็นแบบนี้ตลอด คือมันเรียลมาก คือเวลาทีมงานจะมีสคริปต์หรืออะไร เราจะบอกว่าเดี๋ยวค่อยว่ากัน ว่ามันเป็นยังไง”

ซี : “คือตอนนี้รายการของเราจะ 200 EP แล้วตอนแรกๆ ที่เราทะเลาะกัน ทีมงานก็อึ้งว่าเราตีกันแล้วยังไง จะต้องถ่ายต่อหรือเปล่า กำลังอยู่ในโมเมนต์นี้ แต่ข้อดีของเราสองคน เราไม่ทะเลาะกันนาน ประมาณ 5 วินาที พอประมาณ 5 วินาทีเราก็หายแล้ว เพราะเรารู้สึกว่ามันเสียเวลางาน ไม่ต้องห่วงว่าจะมีอะไรมาตลอดไหม คือว่าเขารำคาญผัวได้ตลอดเวลาอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ”

เอมี่ : “เป็นเรื่องปกติมากทุกคน ต้องรำคาญผัว คือผัวเราก็น่ากิน แต่ก็น่ารำคาญ แต่ก็น่ารักไปในตัว (หัวเราะ)”

รับงงรูปถ่ายแบบถือมะพร้าว ถูกวนกลับมาพูดถึงอีกครั้ง
เอมี่ : “เออทำไมมันถึงกลับมา”

ซี : “ไม่รู้จริงๆ อันนี้งงมาก”

เอมี่ : “คือทุกครั้งที่มี่ถ่ายชุดว่ายน้ำ ก็จะมีนางมากลบฉันไปฉันไม่เข้าใจ”

ซี : “อันนี้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันแล้ว ก็ไม่ได้อยากด้วย คือไม่ได้อยากให้รูปตัวเองออกมาแบบนี้ แล้วรูปนั้นคือผมก็ถ่ายกับเมียผมนะ เป็น 10 ปีแล้วนะ แล้วรูปนั้นพี่ใหญ่ถ่ายประมาณ 3 ช็อตมั้ง คือผมยืนกินน้ำมะพร้าว แล้วก็รอคุณมี่ถ่ายอยู่ แล้วพี่ใหญ่ก็ไม่รู้ฟีลไหน ก็หันมาหาผมแล้วบอกว่าลองหันทางนี้ซิ ลองมองไปทางนั้น แล้วตอนนั้นผมเท้าสะเอวแล้วก็ดูดน้ำมะพร้าว โอเค 3 ช็อตอยู่ ใครจะไปรู้ว่ามันไม่ได้แค่ลูกมะพร้าวอย่างเดียว มันมีลูกอย่างอื่นด้วย (คิดไหมว่าเกือบ 20 ปีผ่านไปภาพนี้ยังเป็นภาพจำอยู่?) สาธุ มันมีรูปดีๆ ตั้งเยอะแยะ ไปดูอย่างอื่นเถอะ”

เอมี่ : “ผลงานนี้ของนางน่ะหรอก็ชอบแหละ”

ซี : “ไปดูรูปเมียผมดีกว่า นางใส่ชุดว่ายน้ำ แล้วเนี่ยพอพูดปุ๊บนะ ใครดูสัมภาษณ์นี้เขาก็ยิ่งไปหาดูอีกไอ้ลูกมะพร้าวเนี่ย คือมันไม่ได้ใหญ่โตอะไร คนไม่ได้ชอบมันกดดันอยู่แล้ว คือแล้วผมก็เชื่อว่าคงไม่มีใครมามองหามะพร้าว ถามว่าเขินไหมก็ไม่ได้เขินเอาจริงๆ ผมว่ามันเป็นเรื่องน่ารัก เอาตรงๆ น ะผมไม่ได้อะ”















กำลังโหลดความคิดเห็น