เดินทางมา 10 กว่าอีพีแล้ว สำหรับ “kidnap ลับ-จ้าง รัก” ที่เป็นการจับคู่กันของเคมีคู่ใหม่ “โอม ภวัต จิตต์สว่างดี” กับหนุ่มวายสายเลือดใหม่ “เล้ง ธนพล อู่สินทรัพย์” อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าชีวิตของทั้งคู่ก็เปรียบได้กับพล็อตเรื่องซีรีส์วายเรื่องนึงเลยทีเดียว เริ่มจากฝ่ายนึงสังเกตอีกคนมาโดยตลอดว่าทำไมคนนี้ป๊อปยัง ส่วนอีกคนก็แอบมองอยู่ตลอด ว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงหล่อจัง เห็นกันทุกเช้าที่หน้าเสาธง รู้จักผ่านเพื่อนของเพื่อน จนวันนี้มาร่วมงานกันผ่านซีรีส์สัญชาติ Gmmtv ไปถึงประเด็นที่ถูกจับตามองว่าสรุปแล้วการจับมือเป็น “คู่จิ้น คู่ใหม่” กับกระแสกดดันรอบข้าง ที่มาพร้อมความคาดหวังว่าสุดท้ายแล้วจะยังไงกันแน่
Q : จากเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน สู่คู่จิ้นในซีรีย์ kidnap ลับ-จ้าง รัก?
เล้ง : ใช่แล้วครับ ให้ผมเล่านะ
โอม : มันธีมเดียวกันๆ แต่แค่เปลี่ยนคนเล่าบ้าง
เล้ง : ก็คือสำหรับโอม เคยเห็นหน้าเห็นตากันมาตั้งแต่อายุ 13 ม.1 ครั้งแรก น่าจะเป็นม.1 คือเราไม่ได้เป็นเพื่อนซี้กอดคอกันอะไรแบบนั้น แต่ว่าเราเป็นเพื่อนที่เหมือนได้อยู่ ได้เห็นกัน รู้จักผ่านๆ เพราะว่าเราสองคนอยู่คณะสีเดียวกัน ได้ทำกิจกรรมกีฬาสีเดียวกัน ได้อยู่ห้องแบบแถวเดียวกัน เราก็จะได้เห็นหน้ากันผ่านๆ แต่ว่าไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวขนาดนั้น
เพิ่งได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวหลังจากที่แคสแล้ว เรานัดคุยกัน (โอม สะกิด เล้ง บอกไปว่าเจาครั้งแรกว่าหล่อ) แว๊บแรกที่เราเห็นคือเขาก็หล่อนะ (หัวเราะ) นานๆ ทีเขาจะพูดว่าตัวเองหล่อไง แล้วเขาจะเขินมาก เขาจะขี้เขิน หรือถ้าผมชมเขาว่าหล่อ เขาก็จะเขิน อันนี้คือหล่อเทพเจ้าเลยนะ แต่ครั้งแรกที่เจอ คือหล่อแบบมาก่อนทุกอย่างเลย ประมาณว่าคนแบบนี้หน้าตาดี ทรงดี
โอม : แต่เล้งหล่อกว่า เล้งเป็นหนุ่มป๊อปของโรงเรียน อันนี้เรื่องจริง
เล้ง : (ยิ้ม) ก็ได้เห็นหน้าเห็นตาเขา เขาได้อยู่ห้องเด็กเรียนเก่งเลยนะ เด็กเรียนเก่งที่แบบ 17 ห้อง มีห้องแบบนี้สักประมาณ 2-3 ห้อง เขาเป็นหนึ่งในนั้นครับ ได้เห็นเขา ผมก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นแบบซนๆ แต่เขามีความสามารถนะ โปรไฟล์เขา ป.1 - ป.6 เขาโตมาเขามีความสามารถ
Q : ทำไม เล้ง รู้รายละเอียดของ โอม เยอะขนาดนั้นล่ะ?
เล้ง : ก็เพราะว่าเวลามันเข้าแถว มันมีไม่กี่คน แล้วคนนี้ก็จะแบบโดดเด่นออกมา ในเรื่องบางเรื่อง แต่เขาจะอยู่ในแก๊งเด็กซ่า แก๊งเฮี้ยวๆ เราก็สามารถมองได้ว่าคาแรกเตอร์ของเขาจะประมาณไหน
โอม : กูไม่ใช่เด็กอย่างนั้น
เล้ง: แต่เท่าที่เห็นแววตาอะไรอย่างนี้ มันไม่น่าใช่คนอย่างนั้นนะ แต่ว่าผมก็ไม่ได้อะไร เพราะว่าเขาไม่ได้มาทำผม แต่เห็นครั้งแรก ก็น่าจะเป็นเป็นเด็กปกตินะ เป็นเด็กผู้ชายที่ซนๆ ไม่มีอะไรปกติเลย
โอม : ที่ผมจะแก้ตัวคือผมไม่ใช่เด็กแก๊งครับ สองคือผมไม่ได้หล่อขนาดนั้น อันนี้เรื่องจริง เท่าที่ผมจำเล้งได้ คือเล้งมีความตัวป๊อปของโรงเรียน ตัวท็อปเลย มันจะเป็นฟีลเหมือนใน Facebook เอารูปคนหล่อในโรงเรียนไปหวีดกัน งานใหญ่ๆ ในโรงเรียน ซึ่งงานไหว้ครูอะไรอย่างนี้ ก็เป็นตัวแทนที่ดูจับต้องไม่ได้ ดูเข้าถึงไม่ได้ เพราะว่าอยู่กับสาวสวยสุดในโรงเรียนอะไรอย่างนี้
ซึ่งงานส่วนใหญ่จะเป็นงานแบบที่ต้องใช้ฟีลแบบออร่า เดินไปไหนมาไหน เหมือนมีหลอดไฟอยู่ในตัวเอง และสิ่งที่จำได้ติดตาคือตัวขาว หน้าตี๋ และป๊อปปูล่าร์ในยุคเด็ก ม.ต้น ซึ่งหน้าแบบนี้โดดเด้งขึ้นมาถ้าเทียบกับเด็กสมัยนั้น ก็จะหน้าโซนๆ ผม
Q : เล้ง เป็นคนค่อนข้างเก็บรายละเอียด และ โอม เริ่มจำเล้งได้ตอนไหน?
โอม : ผมจำเขาได้อยู่แล้ว ตั้งแต่ยืนอยู่ในแถวหน้าเสาธง รู้แค่ว่าชื่อเล้ง แต่ในสมัยนั้น ใครๆ ก็อวยยศให้เล้ง เราก็คิดว่าใครวะ แต่พอได้เห็นบ่อยๆ เขาเป็นคนค่อนข้างเงียบๆ แต่ในโรงเรียนเขาฮอตมาก คนแบบนี้ต้องเป็นดาราเท่านั้น คือเราก็ไปดูโปรไฟล์ว่าเขาเป็นใคร จะชอบแอบมองตลอดว่าไปอยู่ไหน ทำอะไร อย่างเวลาเพื่อนผมเจอเล้ง ผมก็ไม่ได้โฟกัสที่เพื่อนผม แต่ผมจะสงสัยว่าเล้งเป็นคนยังไง นั่นคือความคิดตอนเด็กตอนนั้น
เล้ง : เพราะผมเป็นคนปกติมากๆ แบบตอนนั้นที่ผมฮอต ก็คือผมปกติเลย คือผมก็ทำตัวปกติเลย แบบว่าไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่น
Q : อย่างวาเลนไทน์ล่ะ?
เล้ง : วาเลนไทน์ก็มีทุกอย่าง เท่าที่คิดได้ เป็นเด็กม.ต้นเลย ดอกไม้การ์ด มีทุกอย่าง
โอม : ของผมไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครชอบ ไม่มีใครรักเลย เสียใจ (หัวเราะ) ผมก็มองว่ามีใคร เขาถือสติ๊กเกอร์กันมา แต่แปะให้คนโน้นคนนี้ ไม่มาแปะให้ผมเลย อันนี้เรื่องจริงนะ เขาอาจจะมองว่าผมเป็นเด็กป่วน
Q : รู้ไหมว่าต้องมาเล่นด้วยกัน ?
โอม : ไม่ครับ ตอนแรกแคสแรกไม่ใช่เล้ง แล้วก็เหมือนพอเล่นไปเล่นมา แล้วมันยังไม่ลงตัวขนาดนั้น เขาก็เลยให้ผมลองแคสใหม่ เขาก็บอกว่ามีเด็กใหม่มาคนนึงชื่อเล้ง ผมก็ไม่ได้คิดอะไรว่าเป็นเล้งนี้ ผมไม่ได้นึกถึงด้วยซ้ำ จนกระทั่งวันที่จะแคส ผมก็ขอพี่เขาดูว่าขอดูไอจีหน่อย เห็นชื่อไม่ต้องเห็นรูป แล้วรู้เลย มีความ destiny นะ วนกลับมาเจอกัน ประมาณนั้นครับ เราก็ทักทาย จำได้ไหม จำกูได้เปล่า
เล้ง : ตอนแรกที่ผมต้องมาแคสเรื่องนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าคือใครเลย คือผมก็แค่มาตามหน้าที่ พอผมเปิดประตูห้องเข้ามาเหมือนเขานั่ง ผมก็รู้จักกันอยู่แล้ว โห...ระหว่างทางเราเห็นหน้าเห็นตาเขามา ไม่ใช่คนไกลตัว คนแปลกหน้าอะไรเลย ผมก็เลยทักเข้าไป โอม ผมพูดเลย โอม เขาก็เลยเดินมาจำกูได้เปล่า ผมก็บอกว่าจำได้ดิ แล้วแคสมันก็เลยไปต่อปกติอะไรแบบนี้
Q : การที่โอมต้องเปลี่ยนคู่ ตรงนี้เรารู้สึกยังไง?
โอม : มันก็คือการทำงานใหม่ ในรูปแบบใหม่ กับคนใหม่ มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ วันนี้พอมีโอกาสได้มาเจอเล้ง มันเป็นเพื่อนกันมาก่อน มันมีความผูกพัน เหมือนเป็นกึ่งเซฟโซน ในส่วนของการถูกจับตามอง ผมว่าความกดดัน มันอยู่รอบตัวผมเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นจากงาน จากคนหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มันจะอยู่แค่ตรงนี้ มันจะต้องไม่เข้ามากินผม
ผมไม่ต้องการให้ชีวิตผมมาสู้กับแรงกดดันครับ และมันก็ไม่ได้กัดกินเรา แค่เราถอยออกมาจากตัวเอง และเราก็มองเข้าไปใหม่ และเราก็ดูว่าตรงไหนที่มันรั่ว และเราก็ค่อยๆ ซ่อม ประมาณนั้น ผมก็คุยกับเล้งนะ ให้คำปรึกษาเท่าที่เราจะให้ได้ แต่ให้ในเวย์ของความเป็นจริง ผมพยายามอยากจะให้เล้งเป็นก็คือ อยากให้เก็บแต่พลังงานที่มันดีเอาไว้
เล้ง : คือผมไม่ได้มองถึงปัญหาตรงนี้เป็นปัญหาใหญ่หรือว่าเป็นอะไร ที่มันจะมาแบบฉุดรั้งเราไว้ ผมจะเลือกมองคอมเมนต์หรือว่าแบบเสียงที่ไม่เห็นด้วยกับตรงนี้ ผมก็มองความเป็นจริง แล้วก็มองสิ่งที่ผมทำจริงๆ ว่าตอนนี้ผมทำอะไรอยู่ ผมมีความตั้งใจยังไง ผมก็กลับมามองตัวเอง ว่าเราก็ไม่ได้ทำอะไร และเราก็ไม่ได้ทำร้ายใคร เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย ผมรับได้ทุกอย่างเลย เพราะว่าผมเข้าใจอยู่แล้ว
โอม : ในมุมผม อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เล้งไม่นอยด์เลย ผมรู้สึกว่าเล้งให้ค่ากับเรื่องอย่างนี้น้อย หมายถึงว่าไม่ได้โฟกัส แต่สิ่งที่โฟกัสคือเล็งให้ค่ากับงาน สิ่งที่เล้งกำลังต้องทำมากกว่า คือพูดตามตรงเท่าที่ผมเห็นมา คือในฐานะที่เล้งเป็นนักแสดงเล้งมีหน้าที่ถ่ายละคร พัฒนาแอ็กติ้ง พัฒนาสกิล มันเลยทำให้จุดตรงนี้มันเป็นเหมือนจุดที่เล็งโฟกัสถูกจุด
เอาง่ายๆ เลย ดาราคนใหม่ที่จะเข้ามาเป็นดารา สิ่งแรกที่สนใจคือ ชื่อเสียง Feedback ยอดไลก์ หรือว่ากระแสต่างๆ แต่สำหรับผมแต่ผมรู้จักเล้ง มาหนึ่งปี มันสนใจแต่งาน ไม่สนใจอะไรเลย