xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ได้พูดเล่น! “กิ๊ก สุวัจนี” ลั่นอยากเล่นหญิงรักหญิง เบรกแตกแล้ว พร้อมรับงานไม่อั้น ปัดฝุ่นเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“กิ๊ก สุวัจนี” เอ็นจอยมาก กลับมารับงานในรอบ 14 ปี ปัดฝุ่นเรียบร้อยเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นใหม่ พร้อมร่วมงานกับผู้จัดทุกคน เซอร์ไพรส์คนดูอยากเล่นหญิงรักหญิง มองว่ามีเสน่ห์ ติดต่อมาได้เลย ขอบคุณลูกๆ ให้กลับเข้าวงการ ตอนนี้เบรกแตกแล้ว รับงานได้ไม่อั้น เผยลูกสาวคนรองอยากตามรอยแม่ แต่ให้พยายามเอง ไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ

คัมแบ็กวงการอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับนางร้ายในตำนาน อย่าง “กิ๊ก สุวัจนี พานิชชีวะ” หลังกลับมารับละครในรอบ 14 ปี กับเรื่อง หนึ่งในร้อย โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ (30 ต.ค. 67) ได้เจอเจ้าตัว ที่มาร่วมโปรโมตละครที่ช่อง 3 เลยถือโอกาสสัมภาษณ์แบบเปิดใจ ถึงการกลับมาในครั้งนี้ ซึ่งงานนี้บอกเลยว่าแฟนละครเตรียมเฮ เพราะแม่พร้อมรับงานต่อยาวๆ ไม่หายไปไหนแล้ว

“ตอนนี้คิดว่าน่าจะรันยาวได้แล้วนะคะ เพราะว่าเราใช้เรื่อง หนึ่งในร้อย เป็นตัวพิสูจน์ว่ามันไม่ได้มีปัญหา เรารับงานแล้วรู้สึกว่ามันสามารถจะประคองไปได้ แล้วคุณพ่อเขาก็มาดูแลลูกให้แทน ซึ่งตรงนี้เป็นความดีใจของคุณแม่มากเพราะว่าถ้าเรากลับมารับเล่นละครแล้ว เราจะได้ไม่ต้องพะวง เพราะฉะนั้นตอนนี้เรียกได้ว่า nonstop ค่ะ”

ปัดฝุ่นเรียบร้อยเป็น “สุวัจนี” เวอร์ชั่นใหม่
เป็นสุวัจนีเวอร์ชั่นใหม่ดีกว่า เพราะว่าได้มาร่วมงานกับน้องๆ หลายๆ คนที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ แล้วเขาก็จุดเชื้อไฟให้กับเรา ทำให้เรารู้ว่าเดี๋ยวนี้เวลาเราเล่นละครมันอาจจะมีอะไรใหม่ๆ เขาเรียกว่าเป็นน้ำที่ไม่เต็มแก้วเราอยากจะเป็นแบบนั้นมากกว่าซึ่งเราจะได้รับรู้ว่า อ๋อ สมัยใหม่มันเป็นแบบนี้นะ การถ่ายทำเป็นแบบนี้นะ การเล่นอาจจะต้องปรับเปลี่ยนไป ซึ่งเราก็ดูจากรุ่นน้อง รุ่นพี่ แล้วก็ผู้กำกับ มาคอยสอนเรา”

บอกไม่ใช่รุ่นใหญ่แต่เป็นรุ่นกลาง พร้อมรับฟังและเรียนรู้จากนักแสดงรุ่นใหม่
“ไม่ กิ๊กถือว่าเป็นรุ่นกลางดีกว่า (หัวเราะ) กิ๊กไม่ถือว่ารุ่นใหญ่ดีกว่า เพราะกิ๊กรู้สึกว่าการแสดงเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นที่เด็กกว่าเรา กิ๊กรับฟังนะ เพราะการที่เราอยู่ในทีมเดียวกันแล้ว ลงเรือลำเดียวกันแล้ว เราต้องฟังกัน ไม่ว่าใครจะมาทักท้วงอะไร ยินดีรับฟังหมด”

ห่างละครไป 14 ปี แต่ไม่มีหวั่น
“เอาจริงๆ ไม่หวั่นนะ รู้สึกว่าอยากไปกอง วันแรกเลยไม่มีความรู้สึกหวั่นเลย แล้วมีความรู้สึกว่าอยากไปถึงกองเร็วๆ อยากรู้ว่าเป็นยังไง อยากเจอนักแสดง อยากเจอผู้กำกับ และทีมทุกคนว่าเขาจะรู้สึกยังไงกับเรา มีความรู้สึกว่าเราจะเล่นยังไง ทำยังไงให้ถูกใจผู้กำกับ มากที่สุดแบบนี้มากกว่า กิ๊กจะไม่มีหวั่นว่าฉันจะเล่นได้ไหม ไปถึงปุ๊บเหมือนเราเปิดรับเลยกับทุกสิ่งที่จะเข้ามาปะทะกิ๊ก ความอยากเรียนรู้มาเริ่มมา”

เอาอยู่ตั้งแต่ซีนแรก
“เอาอยู่ค่ะ ซีนแรกยังไม่ได้เป็นซีนอารมณ์มากนัก แต่ว่าเป็นซีนที่เข้ากับหลายๆ คน พี่แอ้ว (อำไพพร จิตต์ไม่งง) คอยประกบตลอดเลยซึ่งดีมากๆ เป็นผู้กำกับที่น่ารักมากๆ และสอนอะไรกิ๊กเยอะมาก บางทีเราอาจจะไม่เข้าใจในบทประพันธ์ตรงนี้ เขาก็คอยบอกเราว่าเป็นแบบนี้นะกิ๊ก เล่นแบบนี้นะมันทำให้กิ๊กค่อยๆ เขยิบไปในจุดที่เป็นคุณชื่นได้”

เผยความต่างของละคร ยุคนี้จะมีมิติมากขึ้น
“มุมมองการตีโจทย์มากกว่า รุ่นเก่ามันจะเป็นแบบว่าใจต่อใจ รู้สึกอะไรก็พูดไปเลย ฉันรู้สึกแบบนี้ ฉันอยากตบเธอคือมันไปเลย แต่พอมาแบบอันใหม่ มันจะเป็นอีกมิติหนึ่ง ต้องคิดหน่อยนะก่อนที่จะปะทะ คนดูเขาไม่ได้โง่นะ คุณจะมาแสดงตรงไปตรงมาแบบสมัยก่อนเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าคุณรู้สึกแบบนี้คุณเก็บไว้ก่อนแล้วคุณเล่นอีกมิติหนึ่ง กิ๊กว่ามันดูน่าชมมากกว่า อย่างตัวชื่นเองตอนแรกๆ เหมือนกับว่าแรงๆ รุนแรงไปหมด อะไรก็หงุดหงิดไปหมดทุกอย่าง แต่พอวันหนึ่งมันเกิดเหตุการณ์ขึ้น มันเก็บข้อมูลแล้วนะ ก็เริ่มถ่ายทอดให้คนดูว่าแม่ชื่นเขามีมุมนี้นะ ซึ่งตอนนี้พี่แอ้วเขาเป็นคนดีไซน์ให้กิ๊กด้วย เรามาตีโจทย์กัน ไม่ใช่ว่ามาถึงแล้วร้องไห้เลยพอลูกป่วย ไม่ได้นะ ลูกต้องอดทน แต่สุดท้ายแล้วกอดสักหน่อยเถอะ พอเราเล่นรู้สึกอิน”

ไม่มีสเปกในใจ ต้องอ่านบทถึงจะตัดสินใจได้ อยากร่วมงานกับผู้จัดทุกคน
“ไม่มีค่ะ ไม่มีสเปกในใจ คือการทำงานของกิ๊กจะอ่านบทด้วยตัวเอง อ่านจนจบเลยแล้วจะวิเคราะห์ได้ว่าตัวนี้จะเล่นได้หรือเปล่า เราจะเล่นดีไซน์แบบไหน เราชอบเนื้อเรื่องไหม แล้วส่วนประกอบเรื่องอื่นจะตามมา เรื่องต่อไปก็โหดอยู่ ถ่ายไปเกือบจบแล้วค่ะ ไวมาก น่าจะประมาณปีหน้าได้ดู (ถ้าได้สตาร์ทแล้วติดจรวดไปเลย?) ใช่ ยั้งไม่อยู่แล้วนะ ยั้งแม่ไม่ได้ ก็อาจจะมีช่วงพักแหละ บทก็ต้องมาดูว่ามันเหมาะสมกับเราไหม ซึ่งตอนนี้มีต่อคิวมาค่ะ แต่ว่ายังไม่สรุปถามว่าติดตรงไหน อาจจะเป็นเรื่องของเนื้อเรื่องมากกว่า และดูว่าการถ่ายทำมันดูยากสำหรับเราไหม บางทีถ้าเกิดว่าต้องไปถ่ายต่างจังหวัดอาจจะไม่เหมาะสม มันต้องดูหลายอย่าง (การกลับมาของเรา เขย่าวงการผู้จัด มีแต่คนอยากร่วมงานด้วย?) เหรอ กิ๊กก็อยากร่วมด้วย”

เซอร์ไพรส์คนดู อยากเล่นหญิงรักหญิง มองว่ามีเสน่ห์ เพราะความรักไม่มีเพศ
“อยากรู้จริงๆ เปล่า อยากเล่นอะไรรู้เปล่า อยากเล่นวาย (หัวเราะ) จริงๆ หญิงหญิง อยากเป็นยูริ อยากเล่นยูริมากเลยรู้เปล่า แต่ไม่มีใครเชื่อเลย คือรู้สึกว่ายูริมันมีเสน่ห์ไง เราดูแล้วรู้สึกว่าจริงๆ แล้วความรักมันไม่เพศนะ ถ้าคุณแสดงได้ถึงเราจะเชื่อในสิ่งนั้น แม้กระทั่งผู้ชายผู้ชาย หญิงหญิง ถ้าเขาเล่นถึงเราสามารถอินกับเขาได้นะ ถามว่าดูจากไหน แม่ก็ดูบ้างสิ แม่ก็ดูนะ หนังเกาหลี หนังไทย แม่ดูหมด แม่ชอบ แล้วแม่จิกหมอนด้วยนะ (หัวเราะ) แม่ดูแล้วแม่ฟินมาก อยากเล่นมากเลย ไม่มีใครติดต่อเลย คืออาจจะไม่มีใครเชื่อว่าอยากเล่นไง แต่คิดว่าละครเรื่องต่อไป กิ๊กว่ามันต้องมีแบบนี้แน่นอน เพราะว่ามันเป็นการเปิดทางให้กับเพศทางเลือกถ้าเขาเล่นถึงมันใช่”

บอกโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว “ธัญญ่า ธัญญาเรศ เองตระกูล” กับ “หนิง ปณิตา พัฒนาหิรัญ” มีลูกแล้วยังเล่นได้เลย
“อันนี้ดูบ้าง เห็นไหมล่ะ เขาก็ยังมีเลยถูกไหม โลกมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ถามว่าอยากลองเล่นกับใคร หูย ยังไม่มีคู่เลย แต่เคยคิดพล็อตเรื่องไว้นะ ขนาดนั้นเลยเชื่อเปล่า เคยคิดแล้วแอบบอกคนอื่น เชื่อไหมยังไม่มีใครเชื่อเลยว่ากิ๊กอยากเล่นยูริ พล็อตที่คิดไว้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ วันหนึ่งครอบครัวแตกแยก ผู้หญิงถูกผู้ชายทิ้ง ผู้หญิงก็ไปเจอผู้หญิงด้วยกันแล้วสปาร์กกัน แล้ววันหนึ่งก็โดนเฉดหัวทิ้งไป ไปเจอกับทอม คือทุกอย่างมันปูไปได้หมด เราอยากให้คนได้เห็นความรักหลายมุมมอง จริงๆ แล้วความรักมันไม่จำเป็นต้องเลือกเพศ”

สามีไม่น่าขัด เพราะเป็นการแสดง บอกผู้จัดติดต่อมาได้ “สุวัจนี” พร้อม
เขาก็ไม่น่าจะขัดอะไรนะ เพราะมันก็เป็นการแสดง กิ๊กว่าดีออก ดูน่ารักจะตายยูริ รอผู้จัด ติดต่อยูริมาได้เลยนะ (หัวเราะ) สุวัจนีพร้อมค่ะอยากเล่นจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น เราอยากจะลอง เพราะว่าตอนที่เราดูเรายังจิกหมอนเลย แสดงว่าคนที่เขาเล่นเขาทำให้เราอินได้ เพราะฉะนั้นตัวเราก็อยากจะเล่นแบบนั้น เป็นบทที่ท้าทายเรา แล้วเป็นบทที่รู้สึกว่าคนนั้นคงจะเป็นคนที่เรารักจริงๆ แล้วเราอยากจะสื่อให้คนดูเห็นว่าจริงๆ แล้วความรักมันไม่มีเพศ”

ยังเลือกโพสิชั่นไม่ได้ ขึ้นอยู่กับบทและคู่ที่เล่น
“เลือกไม่ได้ เพราะว่าเราเป็นได้ทั้งผู้นำและผู้ตาม ขึ้นอยู่กับบทด้วยว่ามันเหมาะสมกับเราไหม หรือว่าคู่ของเราคือใคร มันต้องดูตรงนั้นด้วย เราต้องเปลี่ยนแปลงไปได้หมดเลย ไหลลื่น เราอาจจะเป็นผู้นำก็ได้ผู้ตามก็ได้ ต้องสวิตช์ได้หมด”

กลับมาครั้งนี้เอ็นจอยมากกับการทำงาน
“เอ็นจอยมาก เอ็นจอยทีมงานด้วย จริงๆ อาจจะโชคดีที่ว่าพอเรากลับเข้ามาเราเจอทีมงานที่น่ารักแล้วเราประทับใจ พอเราประทับใจทีมงาน นักแสดง ทำให้เราเปิดโลกกว้างนี่คือสิ่งที่เรารออยู่ เราไปทำหน้าที่ของเรามา 14 ปี แล้วพอเรากลับมาได้เจอภาพที่มันดีกว่าเดิม มันทำให้เรารู้สึกว่านี่แหละมันคือการใช้ชีวิตของเรานะ”

ไม่ได้หวังเล่นเรื่องไหนต้องสร้างมีม แต่ซีนทำปากคว่ำกลายเป็นตำนานไปแล้ว
“จริงเหรอ จริงๆ เราไม่ได้ตั้งความหวังนะว่าเราจะต้องเป็นมีมแบบนั้นแบบนี้ เรามองแค่ว่าบทตอนนั้นที่เราเล่นอารมณ์มันพาไป ท่าทางมันไปเอง แล้วชาวโซเชียลนั้นแหละเป็นคนจับมาให้กิ๊กเอง จริงๆ แล้วต้องยกนิ้วให้กับชาวโซเชียลมากกว่าที่แบบไวมากๆ ว่าฉันต้องทำปากแบบนั้น หน้าตาแบบนี้ ซึ่งเราไม่สามารถระบุได้หรอกเวลาเราเล่นไปแล้วต้องทำท่าทางแบบไหน มันไปเองมากกว่า (ซีนทำหน้าปากคว่ำมันกลายเป็นตำนาน?) เออ กิ๊กมองยังรู้สึกเหมือนกันว่าเราไปทำตอนไหนเนี่ย (หัวเราะ) เราไม่รู้ตัว แต่เรารู้สึกว่าฉากนั้นเป็นฉากที่เราไม่พอใจ กระแนะกระแหน เรารู้แค่นั้น เราไม่ได้เซ็ต”

การเป็นนักแสดงมันเรียนรู้ไม่รู้จบ
“กิ๊กว่าทุกคนมีตัวตนของตัวเอง แต่แค่ว่าจะเอาออกมาหรือเปล่าแค่นั้นเอง กิ๊กอาจจะมีโอกาสได้ทำรายการออนไลน์ ขอข้าวกินหน่อย ได้เจอแขกรับเชิญที่สนุกด้วย และมีความเป็นธรรมชาติ มันก็เลยส่งพลังกันมากกว่า มันทำให้เรารู้สึกว่าการที่เราเล่นสนุกกับแขกรับเชิญ สนุกนะ คนดูชอบ เราก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป กิ๊กบอกเลยว่านักแสดงมันเรียนรู้ไม่รู้จบหรอก มันต้องเรียนรู้ทุกวัน การเปลี่ยนแปลงของคนเรา ทีมงาน ทุกอย่างมันมาให้เราได้เรียนรู้หมด”

ไม่ได้ตั้งเป้าหมาย ปล่อยทุกอย่างไปตามธรรมชาติ
“ไม่มี พี่กิ๊กเป็นคนไม่มีเป้าหมาย ไม่มีโกลอะไรทั้งสิ้นเลย ทุกอย่างจะเป็นไปตามธรรมชาติ กิ๊กว่ามันเป็นในสิ่งที่เราไม่ได้คาดหวัง แต่เราตั้งใจทำงานสิ่งนี้สำคัญกว่า ถามว่าทำงานเยอะๆ แล้วเหนื่อยไหม ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนอาจจะเหนื่อย แต่ว่าพอเราเล่นจริงๆ ได้อยู่กับกอง เรารู้สึกไม่เหนื่อยนะ มันสนุกมากกว่าเหนื่อย ความสนุกมันไปกลบความเหนื่อย แต่พอเราถึงบ้านไม่ต้องถามนะคะ น็อกเลยค่ะ (หัวเราะ) เพราะปล่อยหมดแล้ว กลับบ้านคือน็อกเลย แต่ ณ ตอนที่เราเล่นเรารู้สึกไม่เหนื่อย เวลาเราอยู่กองเราเจอเพื่อน เจอทีมงานที่เราคุ้นเคย มันเหมือนกับมาเจอเพื่อนมากกว่า มันยิ่งทำให้เรารู้สึกสนุกมากกว่า”

ชอบชีวิตตอนนี้ เพราะมีครอบครัวที่น่ารัก และมีพลังบวกจากการทำงาน
“แม่ชอบชีวิตตอนนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าแม่อาจจะครบแล้ว ครบตรงที่ว่าเรามีครอบครัวที่น่ารัก แล้วเรามีเพื่อน มีทีมงานที่คุ้นเคย มีผู้จัดที่เรารู้จักอยู่แล้ว มวลพลังของความเป็นบวกมันมา พอมันส่งให้เราพวกนี้มันรับได้ง่ายๆ นะ เราจะรู้เลยว่าสิ่งที่มารอบตัวเรามันเป็นบวกหรือลบ พอเรารู้ว่าเป็นบวกเราก็พุ่งใส่เลย เขาบวกมาเราก็บวกกลับ ลบมาฉันก็ลบกลับ(หัวเราะ) ถูกไหม ถ้าลบมาฉันจะบวกกลับทำไม มันไม่ใช่เรื่องไง คุณต้องรู้ว่าส่งลบให้ฉันอยู่ ฉันก็ต้องส่งลบให้คุณเหมือนกัน (หัวเราะ)”

บอกตอนนี้มันคือโลกของ “กิ๊ก”
“มันคือโลกของพี่กิ๊ก เพราะจริงๆ แล้วกิ๊กโตจากละคร วันแรกครั้งแรกที่กิ๊กถ่ายละคร ตอนอายุ 17 กิ๊กมาจากการถ่ายโฆษณา เรื่องแรกที่กิ๊กเล่นคือ 17 เลย แล้วตั้งแต่ 17 มาตลอดจนก่อนมีครอบครัว กิ๊กก็อยู่กับละครและโตในละคร เขาเรียกว่าโตในกอง ชีวิตกิ๊กอยู่แบบนี้มาตลอดจนวันหนึ่งเรามีครอบครัว ก็ไปดูแลครอบครัว แล้วพอกลับมามันเหมือนเราได้ใช้ชีวิตแบบเก่าๆ ของเรา แต่ในเวอร์ชั่นที่เราโตขึ้น เป็นในเวอร์ชั่นที่เราครบแล้ว ไม่ต้องกังวลอะไร เวลามาเล่นแล้วมีความสบายใจ มันก็ส่งพลังกันไปกันมาให้กับคนในกองด้วย”

ตัดสินใจมีครอบครัวในช่วงพีก เพราะอยากดูแลลูกให้ดีที่สุด
“จริงๆ ถ้าเทียบ 14 ปีไม่ได้นะ กิ๊กหายไปจริงๆ 20 ปีนะ เรียกว่าประมาณ 20-22 ปี เพราะว่าลูกคนโตกิ๊ก 20 พอช่วงที่มีคนโตแล้ว กิ๊กก็ท้องแล้วก็เล่นไทรโศก แล้วตอนนั้นคือ 14 ปี เพราะฉะนั้นจำได้เลยว่ามันเป็นชีวิตที่เราต้องเลือก เรามั่นใจว่าถ้าเรามีลูก เราจะต้องดูแลลูกให้เป็นอย่างดีจนกว่าเขาจะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แล้ววันหนึ่งถ้าเกิดว่ายังมีคนต้องการเรา เราจะกลับมา เราคิดเสมอ แต่ถ้าวันหนึ่งมันไม่มีแล้ว มันไม่ใช่วันของเราแล้ว เราก็อาจจะเป็นแม่บ้านตลอดไป เราคิดแค่นั้น กิ๊กเป็นคนไม่คิดไกลไปกว่านั้น”

ไม่ยึดติดกับชื่อเสียง หรือความเป็น “กิ๊ก สุวัจนี”
“ไม่ยึดติดเลย แล้วรู้สึกว่าชื่อเสียงมันไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอดไป แต่ว่าความเป็นตัวตนของเราที่เป็นเราจริงๆ มันจะอยู่กับเราตลอดไปมากกว่า ไม่เคยยึดติด”

ขอบคุณลูกๆ อนุญาต ให้กลับมาเข้าวงการอีกครั้ง
“ใช่ จริงๆ เราดูความพร้อมของลูกมากกว่า ลูกเห็นว่าเขาอยู่กับตัวเรา ติดกับตัวเรามาประมาณ 20 ปี เพราะฉะนั้นเขาก็คิดว่ามันนานมากแล้วนะแม่ที่แม่ดูแลเขาเต็มที่ จนลูกบอกว่ามันถึงเวลาที่แม่จะออกไปใช้ชีวิตหรือเปล่า แม่ชอบไม่ใช่เหรอ แม่กลับไปทำในสิ่งที่ตัวเองชอบดีกว่า พอมันออกจากลูก แสดงว่าลูกเราโตแล้วนะ เขาคิดได้ไม่ได้ต้องการอะไรจากเรามาก แต่วันหนึ่งที่เขามีปัญหา เขาจะกลับมาหาเราเอง

อย่างเวลาเขาไม่สบาย พ่ออาจจะเอาไม่อยู่เขาก็ต้องกลับมาหาเราซึ่งเราจะมีตัวแทนคือคุณพ่อที่คอยช่วยดูแลได้ เพราะช่วงเวลาลูกเล็กๆ กิ๊กจะเป็นคนดูแลลูกเองทั้งหมด 3 คน คุณพ่อทำงานได้เลยลุยเต็มที่ไม่ต้องกังวล แต่วันหนึ่งพอเรากลับเข้ามาวงการ คุณพ่อเริ่มทำงานเบาลง เพราะฉะนั้นคุณพ่อก็ช่วยเราได้ ลูกคนเล็กก็สบายใจเพราะเป็นลูกชาย เขาก็ควรจะอยู่กับพ่อเป็นผู้ชายเหมือนกัน ตอนนี้เบรกแตกเลย nonstop แล้วค่ะ (หัวเราะ)”

เป็นคุณแม่สมัยใหม่ พร้อมฟังเสียงของลูก ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร
“กิ๊กคิดว่าเราเป็นแม่สมัยใหม่นะ ถ้าเป็นตอนเด็กๆ เราจะเป็นคนเข้มงวดกับลูก เพราะกิ๊กอยากให้ลูกเป็นคนมีระเบียบวินัย แต่ไม่เหมือนกับคุณชื่นขนาดนั้น เพราะคุณนายชื่นเขาไม่ฟังใคร แต่ว่ากิ๊กฟังคนอื่นไง อยากฟังเสียงลูกว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แล้วมีเสียงอะไรมาถึงเรา เราต้องการแก้ไขลูกยังไง เราอยากเลี้ยงให้เขาเป็นตัวตนของเขาจริงๆ เขามีอะไรก็กล้ามาพูดกับเรา อยากเลี้ยงเขาเหมือนเพื่อน ที่เวลาเขามีปัญหาอยากให้เขารู้สึกว่าเขามีพ่อแม่ มีครอบครัวรอเขาอยู่ ทุกปัญหาพ่อแม่จะช่วยเขาได้ทุกเรื่อง”

ลูก 3 คนมีสไตล์เป็นของตัวเอง แต่ไม่เคยทะเลาะกันหรือทำให้หนักใจ
“เขาก็เป็นสไตล์ตัวเองนะ ถามว่าทั้ง 3 คนทำให้เราหนักใจไหม ไม่มีนะ ทั้ง 3 คนก็ไม่ค่อยทะเลาะกันด้วย น้อยมากที่จะทะเลาะกัน เป็นแบบพี่ที่ดูแลน้อง กิ๊กก็แฮปปี้”

“น้องธาช่า” ลูกสาวคนรอง อยากเข้าวงการตามรอยแม่ แต่ให้พยายามและเรียนรู้เอง ไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ
“เบอร์สอง ธาช่า ลูกคนที่สอง ก็มีส่วนในเรื่องหนึ่งในร้อยด้วย คุณแอนก็ชวนมา ถามว่าให้เซ็นเลยไหม ยังๆๆ อันนี้คือให้มาลองเชิงก่อน มาลองชิมว่าการทำงานมันเป็นแบบไหน กิ๊กอยากสอนให้เขารู้จักว่าการทำงานมันมีระบบ กว่าที่จะขึ้นมาได้ระบบหนึ่งของเขา ของเรา หรือของใครก็ตามแต่ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ วันหนึ่งคุณจะขึ้นมาได้เลย คุณต้องใช้เวลา ความพยายาม ต้องมีประสบการณ์

กิ๊กอยากให้เขาเรียนรู้เรื่องนี้มากกว่า เขาก็โอเคเลย กิ๊กไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเขา แบบว่าให้เขารู้สึกดีเด่นกว่าคนอื่น ให้เขาเรียนรู้ไปเลย ไม่ได้มีอภิสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น อยากให้เขาเรียนรู้จริงๆ ว่างานแม่มันไม่ใช่งานที่สบายนะ มันต้องผ่านอะไรมาเยอะกว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ ให้เขาเลือกเอง ถ้าเขาชอบก็คงหาทางดิ้นรน แล้วมาบอกเราเอง ว่าอยากจะทำแบบนั้นแบบนี้”



















กำลังโหลดความคิดเห็น