“ผัดไท” ปฏิวัติการกินใหม่หมด กินมื้อเช้ามื้อเดียว ทานเนื้อสัตว์น้อยลง เดินออกกำลังกาย 30 นาที 4-5 เดือน ค่าเลือด ค่าไตดีขึ้นจนหมอยังไม่อยากเชื่อ เผยก่อนหน้านั้นแย่ไปหมด เข็ดน้ำท่วมปอด หมดค่ารักษาเป็นล้าน
กลับมาสดใสดูสุขภาพแข็งแรงขึ้นแล้ว สำหรับนักแสดงรุ่นใหญ่อารมณ์ดีอย่าง “ผัดไท ดีใจ ดีดีดี” ที่เคยออกมาเผยว่าเป็นโรคไตระยะที่ 5 แล้ว ทำเอาแฟนๆ และคนรอบข้างเป็นห่วงมากๆ แต่ตอนนี้เจ้าตัวเผยว่าลองปรับเรื่องการกินมาได้ 4-5 เดือน กินแค่มื้อเช้ามื้อเดียว เห็นผลจนทำให้หมอก็ยังแปลกใจ เพราะคนเป็นโรคไต ไม่น่าจะกลับมาค่าเลือดและค่าต่างๆ จะกลับมาดีได้ขนาดนี้
“สุขภาพตอนนี้ดีค่ะ ผลเลือดสวยมาก ไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพเลย แต่ยังต้องพบแพทย์ตามนัด เราอย่าชะล่าใจ เช็กล่าสุดค่าของเสียในเลือดก็ดี คุณหมอพูดเลยว่าพี่ไม่กินข้าวเหรอ คือมันดีมาก ผลเลือดที่ออกมาเหมือนคนอดอาหาร ทุกอย่างที่เคยเสียๆ มันลงหมด ก็เลยบอกว่ากินค่ะ แต่กินวันละมื้อ ตื่นมาจะทานมื้อเช้าเยอะมาก และทั้งวันก็จะไม่ทานแล้ว ก็อยู่ได้นะ แต่ถ้าไม่มีแรงหน่อยก็ทานข้าวขาวได้ ก็จะทานข้าว ทานวุ้นเส้น ปลอดโปรตีน ก็อยู่ได้
ก็ปรับวิธีการทานมาหลายเดือนแล้วค่ะ ประมาณ 4-5 เดือนแล้ว คือก่อนหน้านั้นผลเลือดไม่ดีหลายอย่างเลย เพราะมันมาจากการกินแหละ แต่พอปฏิวัติตัวเอง กินแค่มื้อเช้า คือเราจะหิวตั้งแต่ตี 3 เลยนะ ก็ตรงไปร้านข้าวแกงเลย ร้านข้าวแกงแถวทองหล่อเปิดแล้ว เราก็ไปนั่งรอเลย หิวมาก พอกินข้าวเสร็จประมาณตี 5 ก็เดินออกกำลังกาย หมอบอกให้เดิน 30 นาทีอย่าหยุด แต่อย่าเร็ว คือเดินปกติให้ต่อเนื่อง ทุกอย่างเสร็จไม่เกิน 6 โมง ก็ขึ้นมาอาบน้ำนอนต่อ ตื่นอีกทีก็ 10 โมง”
บอกปัญหาหลักคือเกิดจากการกิน หมดค่ารักษาไปเป็นล้าน
“แต่ก่อนหน้าที่เรายังไม่ปรับเนี่ย ก็น่าเป็นห่วงหมดแหละ เพราะเรากินเนื้อสัตว์เยอะ ชอบหมูกระทะ คือโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่เรากินไป มันใช้เวลา 6-7 ชม.นะกว่าที่จะดูดซึมไปถึงลำไส้ใหญ่ กว่าที่จะปล่อยไปดูแลร่างกาย เพราะฉะนั้นมันก็จะมีของเสียวนอยู่ในเลือดเรา และเรากินวันละ 3 มื้อ พอย่อยไม่เสร็จ ของเสียก็วนอยู่ในเลือด พอเลือดมันมีของเสียเยอะ อะไรมันก็ไม่ดีทั้งนั้น มันรวนไปหมด แต่ตอนนี้เรื่องไตก็ดี ผลเลือดที่คุณหมอชมล่าสุดนี่แหละ เพราะคุณหมอบอกว่ามันไม่น่าเกิดกับคนที่มีปัญหาเรื่องไต แต่เราทำได้
ที่ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าท้อแท้จนไม่อยากทำอะไรแล้ว เพราะเราไม่รู้ว่าอาหารมันจะมีส่วนสำคัญขนาดนี้ ซึ่งตอนนั้นเรามีปัญหาคือน้ำท่วมปอดเฉียบพลัน พอรอบนั้นเราก็ไม่เอาแล้ว เสียดายเงิน แอดมิตแบบฉุกเฉินหมดเป็นแสนนะ เราก็คิดว่าเราทำงานมาเพื่ออะไร ทำไมเราถึงต้องมาจ่ายเรื่องไร้สาระแบบนี้ คือมันไม่ควรที่จะเกิดกับเรา ก็เลยตื่น ปฏิวัติตัวเองเลย หมดค่ารักษาไปเยอะมาก เพราะป่วยระหว่างนั้นก็หมดไปเป็นล้าน เพราะพอเวลาของเสียเยอะๆ สิ่งแรกที่จะเกิดคือปวดหัว เราก็คิดว่าเป็นไมเกรน แต่จริงๆ ไม่ใช่”
ไม่ได้อยากแข็งแรงเพื่ออยู่เลี้ยงหลาน เพราะลูกทำได้ดีอยู่แล้ว
“ที่สำคัญที่สุดคือลูกเป็นห่วง เขาไม่เป็นอันทำอะไรเลย โทร.หาตลอด จะกินอะไรก็เฝ้าดู แล้วเราชอบกินกล้วยบวชชี และในกะทิโพแทสเซียมมันสูง กล้วยก็มีฟอสเฟต ถึงขั้นว่าตอนจะตักกล้วยเข้าปาก ลูกมาคว้ามือไว้เลย เราโกรธลูกเลยนะ เหมือนคนมาขวางตอนจะกิน ฉุนมากเลยนะ อะไรจะมายุ่งกับฉันขนาดนี้ แต่พอตั้งสติได้ก็เข้าใจ คือเราจะมีหลักในการดำเนินชีวิตว่าไม่ชอบเป็นภาระใคร ไม่ชอบให้คนห่วง ก็เลยไม่เอา อย่ามาห่วงฉัน ก็เลยปรับ
ที่ตัดสินใจปรับตัวเองก็ไม่ใช่ว่ารอเลี้ยงหลานหรอก เพราะตอนนี้มีหลานแล้ว ไม่ได้เลี้ยงด้วย เพราะแม่เขาดูแลดีมาก เราก็แค่ไปเยี่ยมเฉยๆ อย่างพอเราเห็นหลานนอนคว่ำ เราก็เอาโทรศัพท์ไปไว้ตรงหน้าเขา อยากให้เขาดูการ์ตูน ลูกรีบบอกเลยว่าอย่าให้หลานดูแบบนั้น มันจะทำให้สมาธิสั้น เขาบอกว่าจะไม่ให้ลูกดูจอ ดูทีวี เขาก็มีแพลนการเลี้ยงของเขา เราก็ไม่ได้แอนตี้ลูกนะ ฟังแล้วก็มาคิดว่าเออว่ะ เราไม่เคยคิดแบบนี้ แต่สิ่งแรกที่เวลาลูกทักเราก็จะรู้สึกว่าฉันก็เลี้ยงเธอมาแบบนี้นะ ไม่เห็นเธอเป็นอะไรเลย แต่ด้วยความที่ลูกสาวเรานางเป็นคนสงบอยู่แล้ว นางไม่ได้เหมือนเรา เราก็เลยฟัง
เขาบอกว่าเวลาเด็กกินข้าว เราไม่ต้องไปปรบมือ บอกว่าเก่งๆ เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่เขาต้องทำ ไม่ได้เป็นเรื่องพิเศษอะไร ลูกบอกว่าอย่าทำแบบนั้น เด็กมันไม่รู้เรื่อง มันจะเข้าใจผิดว่านี่คือพิเศษเหรอ ทั้งๆ ที่นี่คือกิจวัตรประจำวันที่น้องควรจะทำ เราก็ไม่เคยน้อยใจหรอกที่ลูกคอยเบรก เพราะเราศรัทธาลูก ลูกก็ศรัทธาเรา คือเราชอบวิธีคิดของแต่ละคนอยู่แล้ว เพราะบางเรื่องเขาก็เป็นครูเรานะ เขาก็สอนเราได้หลายเรื่องเหมือนกัน เราก็เลยไม่ได้แนะนำอะไรเขา ให้เขาถามดีกว่า เพราะบางอย่างที่เราแนะนำมันไปขวางกับที่เขาคิดไว้ แรกๆ แนะนำแล้วเรารู้สึกว่าลูกๆ เขาก็อึดอัดเหมือนกัน เขาเกรงใจเรา ก็เลยเรียนรู้ว่าบางอย่างให้เขาถาม แล้วเราค่อยเอาอะไรออกมาให้เขาดีกว่า”
