xs
xsm
sm
md
lg

“ไมกี้” เขินเลิฟซีน “แมท” เสียน้ำตาโดนว่าตัวละครจม ดีขึ้นมาได้เพราะคำพูดผู้กำกับ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ไมกี้” ชื่นใจฟีดแบ็ก “หวานรักต้องห้าม” หลังตอนอ่านบทกังวล กลัวคนไม่ดู ตื่นเต้นได้เล่นอะไรแปลกใหม่ ถือเป็นการเรียนรู้ที่ดีมาก มีโทร.ปรึกษา “ป้าแจ๋ว” เรื่องการปรับตัว แต่ฟังผู้กำกับของเรื่องมากที่สุด รับมีเฟลและน้อยใจจนเสียน้ำตา ตั้งใจแล้วแต่โดนว่าตัวละครจม เผยเรื่องนี้เลิฟซีนหนัก จนต้องมีฟิตติ้ง ตอนเล่นเขินมาก แต่ต้องพยายามไม่เขิน

เรียกว่าความสามารถก้าวกระโดดแบบสุดๆ สำหรับหนุ่ม “ไมกี้ ปณิธาน บุตรแก้ว” เพราะละครเรื่องที่ 2 ในชีวิต อย่าง “หวานรักต้องห้าม” ที่ได้มาประกบคู่กับนางเอกรุ่นพี่ “แมท ภีรนีย์ คงไทย” กำลังได้รับฟีดแบ็กดีอย่างล้นหลาม งานนี้หนุ่มไมกี้ ที่มาร่วมโปรโมตละคร ก็เลยเปิดใจถึงการทำงานว่ามันต้องทำการบ้านหนัก เพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว ว่าผลงานการกำกับของ “นุชี่ อนุชา บุญยวรรธนะ” นั้น จะเน้นความเรียลและเลิฟซีนสมจริง แถมยังใช้เทคนิคการถ่ายทำแบบภาพยนตร์ไม่ใช่ละคร

“สำหรับฟีดแบ็กแล้วผมดีใจมากๆ เพราะมันเป็นละคนเรื่องที่ 2 ของผม ตอนเล่นละครเรื่องนี้ผมรู้สึกว่าเป็นละครที่ผมจะได้พัฒนาฝีมือการแสดง แล้วพอได้ยินฟีดแบ็กผมก็ชื่นใจครับ ตอนแรกกังวลว่าจะไม่มีคนดู เพราะอาจจะด้วยบทที่แปลกใหม่มากๆ แล้วก็การถ่ายทำแบบหนัง เลยคิดว่าจะมีคนชอบละครสไตล์นี้หรือเปล่า เพราะมันละครไทยมากๆ ก็เป็นความคิดตอนอ่านบทครั้งแรกครับ แต่พอรู้ว่าพี่นุชี่กำกับ ก็ได้ไปศึกษาผลงานของพี่เขา เขากำกับและถ่ายทำแบบหนัง ก็รู้สึกว่ายังไม่เคยเห็นเลย”

ไม่กังวลกับสไตล์ของผู้กำกับ ที่ทั้งอินดี้ และเลิฟซีนหนักหน่วง แต่กลับตื่นเต้นมากกว่า
“มันไม่ได้กังวล มันแค่ตื่นเต้นมากกว่า เพราะผมเป็นคนที่เปิดกว้างอยู่แล้ว ผมความรู้เกี่ยวกับแอคติ้งน้อยมากๆ ก็ไปเพื่อเรียนรู้ พอพี่ๆ เขาสอนอะไรมา ผมก็ยอมรับอยู่แล้ว มันเป็นการเรียนรู้ที่ดีมากๆ ขอบคุณโอกาสตรงนี้มากๆ ที่เลือกผมมาเล่น เพราะเป็นบทที่ดีมากๆ ตอนอยู่ในกองพี่เขาก็ไม่กดดันมากนะ อย่างผมผ่านป้าแจ๋ว (ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์) มา เขาก็ดุ แต่เขาน่ารักมากๆ แล้วเขาก็เจตนาดี เราก็เลยรู้ว่าในกระบวนการทำงาน ทุกคนอยากให้งานมันออกมาดีทั้งนั้น ไม่มีใครอยากกดดันใคร มีแค่อยากให้ผลงานมันออกมาดี

พี่นุชี่ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันครับ แต่วิธีการไม่เหมือนกัน ถามว่าชอบแบบไหนมากว่า โอ้โห…ยากครับ คนละสไตล์ ผมไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลย เพราะตอนเล่นหวานรักต้องห้าม ผมก็มีแอบโทร.ปรึกษาป้าแจ๋วเหมือนกัน สำหรับผมมันคือการปรับตัว ทั้งการถ่ายทำ ทั้งบทที่เป็นสมัยใหม่ แต่สุดท้ายผมก็ต้องฟังพี่นุชี่นะครับ คือปรึกษาป้าแจ๋วเรื่องสภาวะการทำงาน ว่าควรจะทำยังไงดี เลยลองถามคนที่มีประสบการณ์”

เป็นผู้กำกับที่เข้าหายากมาก ไปนวดให้เหมือน “ป้าแจ๋ว” ไม่ได้
“ยากมาก พี่นุชี่ไม่มีทางให้เข้าเลยครับ เขามีความเป็นอาร์ติสต์สูงมาก วิธีที่จะเข้าได้คือต้องทำการบ้านมาให้เยอะ เอาเรฟเฟอร์เรนซ์ไปคุยกับเขา รู้ว่าเขาเป็นคนดูหนัง ก็จะไปคุยเรื่องหนังกับเขา พอเขาแนะนำว่าให้ไปดูอันนี้สิ เพราะถ่ายประมาณนี้ เราก็เลยไปศึกษา แล้วก็เลยรู้ว่าสไตล์เขาเป็นยังไง ถ้าเขาพูดว่า ฉันชอบแล้วนะ ฉันว่าพอได้อยู่ อันนี้คือโอเคแล้วสำหรับพี่นุชี่ หรือแบบฉันน่าจะให้ประมาณ 6 เต็ม 10 อันนี้คือดีแล้ว เพราะปกติคือแบบ อืม…จะได้ออนไหมนะ (หัวเราะ) แต่แกเป็นคนน่ารัก”

เรื่องนี้มีเสียน้ำตา 1 ครั้ง น้อยใจยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ต้องการ
เสียน้ำตา 1 ครั้งสำหรับเรื่องนี้ มันกดดันมากๆ แล้วอัดถ่ายทำเยอะมากๆ พอมันกดดันแล้วยังทำได้ไม่ดีเท่าที่เขาต้องการสักที มันก็มีแอบน้อยใจกับตัวเองบ้าง ว่าถ่ายมาครึ่งเรื่องแล้วยังไม่ดีพออีกเหรอ คือผมถามพี่นุชี่ หลังมีฟีดแบ็กมาจากข้างนอก บอกรู้สึกว่าพอตัดต่อแล้วตัวละครผมจมไปนิดหนึ่ง ผมก็รู้สึกว่าหรือผมทำได้ไม่ดีพอเหรอ เลยถามพี่นุชี่ว่าผมควรทำยังไงดี แล้วคำตอบเขาอเมซิ่งมาก เขาบอกว่าบางมีมันอาจจะไม่ใช่ความผิดของเธอก็ได้ ฉันอาจจะกำกับเธอไม่ดีพอก็ได้ ตอนไปถามผมเตรียมใจแล้ว ว่าผมต้องกลับไปทำการบ้าน แต่พี่นุชี่ตอบอย่างนี้ผมไปไม่ถูกเลย

ถามว่าตอนนั้นเฟลไหม ที่เขาบอกว่าเราจม ผมว่าทุกคนที่ทำงานน่าจะรู้สึก เวลามีคนมาบอกว่างานเราไม่ดี มันก็เฟลกันทั้งนั้น คือเราตั้งใจทำมัน มันไม่มีวันไหนที่ผมไม่ตั้งใจทำงาน แล้วพอตั้งใจไปขนาดนั้น ยังมีคนไม่ชอบ มันก็มีพาร์ตที่ยอมรับได้ แต่ก็แอบน้อยใจ ซึ่งพี่นุชี่เขาก็ตอบให้ ว่าบางทีผมอาจจะแบกรับเกินไป ถามว่าทำไมผมถึงกล้าไปคุยกับพี่นุชี่ อาจจะมาจากคาแรกเตอร์ ก่อนหน้านี้ผมไม่ใช่คนกล้าขนาดนี้ แต่ด้วยตัวละคร คธา เป็นคนที่กล้าพูด กล้าทำ ถ้าผมไม่ถามเขา ก็ไม่รู้สักทีว่าผมทำผิดตรงไหน ถ้ามัวแต่จมอยู่กับตัวเอง ก็ไม่รู้คำตอบ สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าตัวเองเล่นไม่ดีตามที่คนอื่นบอก

(ไม่กังวลเหรอเพราะละคร 2 เรื่องยังไม่ได้ออนแอร์เลย?) ผมไม่ได้กังวลตรงนั้น เพราะผมไม่ได้คาดหวังว่าละครมันจะต้องเปรี้ยง ผมแค่รู้สึกว่าผมได้เล่นละครเรื่องที่ 2 แล้วมีโอกาสได้มาเล่นบทขนาดนี้ แค่ทำเต็มที่ให้ได้ในทุกวันก็ดีพอแล้วสำหรับผม แล้วพอพี่นุชี่บอกว่าอาจจะเป็นเพราะเขา ผมสะอึกเลย เปรียบเทียบเหมือนมีครูคนหนึ่งที่เราไม่ชอบ แล้วอยู่ๆ เราใจสู้ขึ้นไปคุยกับครูคนนี้ แล้วครูบอกว่าครูอาจจะสอนเธอไม่ดีก็ได้ เรายิ่งรักเขามากขึ้น มันไม่ใช่เราที่แบกรักคนเดียว”

เลิฟซีนหนักหน่วง จนต้องฟิตติ้งและคุยกันก่อน ว่าใครได้ถึงขนาดไหน
“คือด้วยความที่ละครเรื่องนี้มันนำเสนอมุมมองทั้งเรื่องความรัก ความโรแมนซ์ มันก็คุยกันก่อนว่าใครโอเคเท่าไหร่ แบบไหน จะล้ำเส้นเข้ามาในเรื่องส่วนตัวมากขึ้น มันเป็นมุมที่เซนซิทีฟพอสมควรสำหรับนักแสดง แต่สุดท้ายแล้วทุกคนอยากให้งานมันออกมาดูดี แล้วด้วยเนื้อเรื่องมันนำเสนอมุมมองทางด้านนี้ ก็ถือว่าเป็นพาร์ตหลักเหมือนกันในละครเรื่องนี้ ถ้ามันทำพาร์ตนี้ออกมาไม่ดี ละครก็ไม่ดี มันต้องเข้าใจด้วยกัน”

เกือบตายตอน “แมท” กระซิบบอก ‘เลิฟซีนพี่ฝากด้วย’
ตายเลย (หัวเราะ) ประสบการณ์เลิฟซีนของผมคือดูคนอื่นมา ต้องไปดูหนังที่เขามีเลิฟซีนที่ความยั่วยวน มีคาแรกเตอร์ที่ใกล้เคียงเรา หรือมวลรวมที่พี่นุชี่ต้องการ เราก็พยายามเลียนแบบ อันนี้คือวิธีของผม ก็ไปดูหนังต่างประเทศหลายเรื่องมากๆ ดูว่าแต่ละนักแสดงเขาทำยังไง ไม่ได้ไปเจาะจงเป็นเรื่องๆ เอาจริงๆ แค่พิมพ์ไปว่า Top 10 เลิฟซีนก็อาจจะขึ้นมาให้เห็นแล้ว อย่างผมชอบ ทิโมธี ชาลาเมต์ ผมก็ไปดูว่าเขาเล่นแบบไหน ตอนเล่นมันเขินมากครับ แต่ผมต้องพยายามตัดความเขินให้ได้ เพราะตัวละครเขาไม่เขิน ตอนนั้นมันจะไม่มีคำว่าไมกี้ เรื่องนี้ผมปลดล็อกอะไรเยอะมากๆ เหมือนกัน”

















กำลังโหลดความคิดเห็น