“แมน การิน” สะท้อนมุมมองดาราพัวพันกับคดี THE iCON ในฐานะเป็นพ่อคน เลิกคิดถึงการรวยเร็ว ลั่นหากเป็นตนลูกเมียจะอยู่ยังไง รับเคยเป็นคนหนึ่งที่เสพรสนิยมอวดความร่ำรวย อวดความสำเร็จของคนดังจนคล้อยตาม แอบคิดตนทำงานสุจริตทำไมไม่รวยเหมือนอย่างเขาเสียที แต่ก็ดึงสติกลับมาได้
ในฐานะหัวหน้าครอบครัว “แมน การิน ภัทราภัสร์” รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ กับกรณีคนดังในวงการบันเทิงที่ต้องมาเกี่ยวพันกับคดี THE iCON ต้องเข้าไปติดอยู่ในคุก ไม่ได้อยู่กับครอบครัว ทั้งๆ ที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินว่ามีความผิด ทำให้ตนเองหยุดคิดโลภ ซึ่ง แมน การิน เอ่ยในฐานะของการเป็นอินฟูลเอนเซอร์ว่าปัจจุบันเรื่องการรับงานของคนในวงการบันเทิง เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ควรตรวจเช็กให้ละเอียดถี่ถ้วน
“เรื่องนี้สำคัญมาก ด้วยความเป็นศิลปินดารายิ่งต้องดูให้เยอะ ถ้ายิ่งใครไม่มีผู้จัดการหรือสังกัดสกรีนงานให้ ไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย จะต้องปรึกษาคนที่เขามีความรู้จริงๆ ดาราจะอยู่กันยากมากขึ้น บางทีเราไม่รู้หรอกว่าคนที่เขามาดีลกับเรา เขาอาจจะจริงใจหรือไม่จริงใจ อย่าแค่รู้สึกอยากจะทำธุรกิจด้วยในมุมของการร่วมลงทุนด้วยกัน ตื้นลึกหนาบางมันจะมีอะไรบางอย่างที่ส่งผลกระทบกับเรา
ผมเองอยากจะสะท้อนในมุมของความเป็นพ่อคน ผมมองข้ามเรื่องผิดถูก แต่ถ้ามันเป็นผม เขาจะอยู่กันยังไง ลูกจะอยู่กันยังไง จุดนี้มันเป็นจุดให้เราหยุดชะงัก เราควรทำในสิ่งที่มันดี สิ่งที่มันไม่ถูกต้อง สิ่งเราควรละเว้นไว้ เราควรต้องนึกถึงคนข้างๆ กายมากๆ เลิกนึกถึงว่าวันนี้จะต้องรวยนะ ต้องประสบความสำเร็จ แต่บางทีคนที่อยู่ข้างๆเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด อย่าไปมองในเรื่องของเงินมาก ผมว่าประเทศไทยเราคนกระทบเรื่องเงินหมด”
เวลาที่รู้สึกแย่ เริ่มเอาตัวเองไปเปรียบเทียบคนอื่น จะดึงสติตัวเองกลับด้วยการหันไปมองคนที่แย่กว่าตน คนที่ต้องกินข้าวคลุกดิน บอกบางสิ่งที่สำเร็จอาจเป็นแค่ภาพลวงตาหลอกเรา
“เวลาที่ผมรู้สึกแย่ผมจะมองคนที่เขาแย่กว่าเรา มองประเทศที่ลำบาก ต้องยืนต่อแถวเพื่อขออาหาร กินข้าวคลุกกับดิน แต่เราอยู่สุขสบายมากกว่าคนอื่นตั้งมากมาย ทำไมเราไม่เอาพลังมาเยียวยาความรู้สึกตัวเองและคนรอบข้างหรือวันไหนที่เรารู้สึกเหนื่อยมากๆ อย่าไปมองคนที่เขาสำเร็จมากๆ
วันนี้มันทำให้เราเห็นแล้วว่าบางสิ่งบางอย่างมันเป็นแค่ภาพ โซเชียลมีเดียมันไม่มีใครนำเสนอเรื่องแย่ๆ หรอก เขานำเสนอเรื่องดีๆทั้งนั้นแหละ ฉันอยู่ดี มีความสุข แต่เราไม่รู้หรอกว่าเบื้องลึกเบื้องหลังมันเป็นยังไง โซเชียลมีเดียเราเสพได้ครับ แต่เสพแบบที่ต้องมีวิจารณญาณ มีความรู้ด้วย อย่ามองแค่ว่าคนนี้มีรถรุ่นนี้ แต่ตัวเรากำลังไม่ถึง เราก็ไม่จำเป็นต้องไปมีแบบเขา เราก็มีความสุขได้ในแบบเรา
เชื่อไหมว่าทุกวันนี้แค่ผมอยู่กับลูก มองไปเห็นภรรยาผมก็มีความสุข ผมไม่ได้มองอะไรเลย ถ้าผมทำผิดผมต้องไปอยู่ในที่ๆ ไม่ควรอยู่ มันจะเสียใจมากๆ เราก็ค่อยๆ ทำไปมีความสุขในแต่ละวันให้มากที่สุด ทำแต่สิ่งที่มันดีและถูกต้อง”
รับเคยเป็นคนหนึ่งที่เสพรสนิยมอวดความร่ำรวย อวดความสำเร็จของคนดังจนคล้อยตาม แต่ก็ดึงตัวออกมาได้
“มันเป็นเรื่องปกติที่คนอวดความร่ำรวย อวดความสำเร็จ ไม่มีใครเอาเรื่องแย่ๆ ของตัวเองมาพูดอยู่แล้ว สิ่งพวกนี้ที่ถามผมเคยเป็นนะครับ ผมยอมรับจากใจเลยว่ามีช่วงนึงเราเสพโซเชียลมากๆ เรามีความรู้สึกว่า คนอย่างเราทำอะไรสุจริตอย่างเต็มที่ทำไมเราไม่เป็นเหมือนอย่างเขาเสียที ทำมันมันช้าจังเลยชีวิตสุดท้ายแล้วก็มาคิดได้ว่าก็ไม่เป็นไรหรอก เราก็ทำแบบนี้ของเราไปแหละ
ผมเลิกดูโซเชียลไปเลย 2 อาทิตย์ ไม่เสพเลย ผมอยู่กับคนข้างๆ กายผม ไปเที่ยวธรรมชาติ ไปใช้ชีวิตที่ได้เห็นคนจริงๆ พูดคุยกับคนจริงๆ ที่ไม่ได้คุยผ่านแอปต่างๆ ผมรอด ผมเลิกเป็นแบบนั้น บางทีการที่เราได้หลุดไปอยู่กับความเป็นจริงได้ ชีวิตเรามีความสุขกว่าเยอะ การไม่เห็นเลยมันก็เป็นการรักษา ผมเชื่อว่ามีหลายคนเป็น เป็นเยอะมาก และพยายามเลยทำให้คนไทยในยุคนี้เป็นหนี้เยอะ เพราะความอยากได้ อยากมีเหมือนคนอื่น ไม่ได้มีกำลังทรัพย์จะซื้อของแบรนด์เนมเลย แต่เราก็พยายามจะเป็นแบบนั้นให้ได้”
ทำจิตใจให้เข้มแข็ง รู้จักตัวเองให้มากพอ
“ผมมองว่าเราต้องรู้จักตัวเองให้มากก่อน พยายามลดการเสพสื่อถ้ารู้สึกว่าเราเริ่มป่วย เริ่มมีปัญหาอะไรแบบนั้น สมัยก่อนในยุคที่เรามีความสุขกันเราไม่ได้มีโซเชียลเยอะ เราจะไม่ค่อยป่วยกันมาก พอเราเห็นคนนั้นมี คนนี้มี มันทำให้เรารู้สึกอยากจะมีบ้าง เราจะมีความรู้สึกในใจว่าเราต้องมีความโลภมันส่งผลกระทบกับความรู้สึกตัวเองเยอะ ฉะนั้นถ้ารู้สึกไม่สบายใจก็เลิกเสพก่อน ไปอยู่กับธรรมชาติซะ
จากนั้นก็หายเลย พอกลับมาเล่น จากที่แต่ก่อนเราโพสต์อะไร เราจะตามอ่านทุกคอมเมนต์ ไปตามตอบในทุกโพสต์ ตอนนี้เราโพสต์เสร็จเราก็ไปทำอย่างอื่น บางทีการที่เราไปนั่งส่องนั่งดู คนกดไลก์ฉันเป็นยังไง ยอดไลก์ดีไหม ใครจะพูดไม่ดีกับฉันบ้างมันก็นอยด์ เรามีความสุขที่เราจะโพสต์เราก็โพสต์ไป แล้วเราก็ไปทำอย่างอื่น อย่าไปใส่ใจอะไรมาก”