“พ้อยท์ ชลวิทย์” ยอมรับท้อ โดน “มดดำ” ด่าจนไปไม่เป็น น้ำตาตกไม่คิดอยากทำอาชีพพิธีกรอีก แต่ก็ได้รับแรงกระตุ้นไปพร้อมๆ กัน เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงตนมาก บอกตอนนี้ใช้หนี้ครอบครัวจาก 10 ล้านเหลือ 5 ล้าน ลั่นอยากรวยเร็ว แต่ไม่คิดรวยทางลัด ดวงต้องทำงาน ลั่นซึ้งแล้วไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ ไม่มีหนี้มีความสุขที่สุด
เรียกว่าเป็นพระเอกเรียกเรตติ้งในช่วงละครเย็นของช่องวันเลยก็ว่าได้ สำหรับพระเอกหนุ่ม “พ้อยท์ ชลวิทย์ มีทองคำ” ที่ล่าสุดเตรียมโกยเรตติ้งให้ช่องอีกครั้งกับละครเรื่อง เทียนซ่อนแสง ซึ่งเจ้าตัวก็เผยว่าเป็นเพราะตนโชคดีที่ได้นักแสดงร่วมดีและเก่งกันทุกคน ดีใจที่ตอนนี้พ่อๆ แม่ๆ ที่ต่างจังหวัดก็จำตนได้มากขึ้นแล้วด้วย
“ที่มองว่าเป็นพระเอกละครเย็นที่เรตติ้งดีตลอด ผมว่ามันเป็นความบังเอิญครับ จริงๆ แล้วมีหลายคนที่ทำไว้ดีมากนะ พี่ตูมตาม (ยุทธนา เปื้องกลาง) ก็ทำไว้ดี ตงตง (กฤษกร กนกธร) ก็ทำไว้ดี ทุกคนทำไว้ดีหมดแหละครับ อยู่ที่ว่าทางผู้ชมจะชอบเรื่องไหนมากกว่ากัน ถามว่ากดดันไหม ผมว่าทางผู้บริหารเขารู้ทาร์เก็ตคนดูแหละครับ ว่าทำละครแนวไหนออกมาแล้วคนดูจะชอบและรักตัวละคร ส่วนตัวผมโชคดีตรงที่ได้อยู่รายล้อมนักแสดงที่ดี และทุกคนก็ตั้งใจทำงาน ทุกคนมีของของตัวเองอยู่แล้ว เลยทำให้ตัวพ้อยท์ไปอยู่ในเรื่องนั้นแล้วมันออกมาดีด้วย
ตอนทำงานไม่เคยกดดันเลยครับ แต่จะมารู้สึกตอนที่เรตติ้งเรื่องเก่าได้ 7 จุดนี้แล้วเราจะเอาเท่าไหร่ เราจะรู้สึกว่าถ้าน้อยกว่า 7 แล้วเราไป 6 กว่าเราจะรู้สึกแบบไหน แต่แค่ 6 เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าแค่นะ มันก็เยอะมากแล้วนะ รู้สึกดีมากแล้ว ก็คาดหวังสำหรับเรื่องนี้อยากให้คนดู โดยเฉพาะคนที่อยู่กรุงเทพฯ แล้วเป็นคนอีสาน จะได้เห็นวัฒนธรรมของบ้านเกิดตัวเอง อย่างเช่น การแห่เทียนพรรษา การรำ การแกะสลักเทียน การถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นบทเรียนให้กับคนทั่วไปผ่านทางการแกะสลักเทียนได้ยังไง”
ไม่ได้ซีเรียสว่าต้องได้เล่นละครเย็นหรือค่ำ
“ผมสนุกกับการเล่นละครเย็นมาก ผมไม่ได้แยกการแสดงระหว่างละครเย็นกับหลังข่าวครับ ผมรู้สึกว่าพล็อตละครเย็นจะเป็นวิถีการเล่าเรื่องอีกแบบนึงที่ทำให้ชาวบ้านเข้าถึง แต่การเล่าเรื่องของหลังข่าวก็จะเป็นอีกแบบนึงที่ทำให้น่าติดตาม น่าสนใจไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าทั้งสองแพลตฟอร์มมันมีคุณภาพหมดเลยครับ
ก็ดีใจที่ตอนนี้เวลาไปต่างจังหวัดแล้วคนรู้จักมากขึ้น แม่ๆ ก็มีที่ขายผลไม้ ขายปลากริมไข่เต่า หรือขายของต่างๆ เวลาเราเดินผ่านแม่ก็บอกขอถ่ายรูปหน่อย หลังๆ ก็มีบอกว่าเอาไปเลยลูก ก็รู้สึกเกรงใจเพราะแม่เขากว่าจะขายได้แต่ละบาท แต่ละสตางค์ แล้วเขาให้เยอะมากนะ ส่วนใหญ่พ้อยท์จะไม่ค่อยรับไว้ หรือถ้าจะรับก็จะเป็นการขอซื้อมากกว่า แต่แม่บางคนก็น่ารัก พยายามยัดเยียดบอกลูกเอาไปเถอะ คือเขาอยากให้ แต่ก่อนแม่ๆ จะมีจำผมเป็นพี่อ๋อม (อรรคพันธ์ นะมาตร์) บ้าง เป็นตูมตาม ยุทธนาบ้าง ผมก็บอกไปว่าใช่ครับ ผมตูมตามเองครับ (หัวเราะ) แต่หลังๆ คนเริ่มทักถูกขึ้นแล้วครับ”
เผยโดน “มดดำ คชาภา ตันเจริญ” ด่าจนท้อ
“ถามว่าดังเพราะการมูด้วยไหม พ้อยท์คิดว่าการมูมีผลต่อสมาธิ ตอนแรกที่พ้อยท์ยังไม่ได้ไปถ่ายรายการกับพี่มดดำ ตอนนั้นเรารู้สึกไม่มีสมาธิ ก็จะมีปัญหากับชีวิต เป็นคนเครียด จะคิดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น แต่พอไปมูกับพี่มดมา พี่มดบอกว่าให้ลองนั่งสมาธิดู ครั้ง 1-2 ผมก็ยังรู้สึกเฉยๆ นะ แต่พอได้ทำไปเรื่อยๆ และบางทีเราต้องการความสงบจริงๆ แล้วไปอยู่ในที่มันเหมาะเจาะจริงๆ เราจะได้อะไรกลับมาเยอะมาก และสิ่งนั้นมันทำให้พ้อยท์ทำงานอย่างมีสติและมีสมาธิมากขึ้นครับ
แต่ส่วนใหญ่พี่มดจะด่ามากกว่า ด่าแบบบ้านแตกสาแหรกขาดเลย เขาจะชอบบอกว่าพ้อยท์ไม่ค่อยเชื่อเรื่องศาสนา อย่าไปเอาพระมาเลย มันก็ไม่ไหว้หรอก แต่ก่อนเราก็อาจจะไม่เชื่อจริงๆ แหละ แต่พอพี่มดสอนว่าตามหลักพระพุทธศาสนาคืออะไร และการไปมูขอพร เราจะได้อะไรเกี่ยวกับการขอพร เหมือนเราได้กำลังใจกลับมา มีพลังในการทำงานต่อไป”
ยก “มดดำ” เป็นคนในครอบครัว และที่ด่าก็เพราะเป็นห่วงตนมากๆ
“แรกๆ ที่โดนพี่มดด่าก็มีแบบไม่อยากไปทำงานเหมือนกันนะ เพราะโดนด่าเยอะมาก คือตอนนั้นเราเป็นพิธีกรไม่ได้ เรายิงคำถามอะไรก็ใช้ไม่ได้ พี่มดเขาก็คงทนมานานแล้ว และเขาก็ระเบิดลง ด่าๆๆ (หัวเราะ) ด่าจนเรารู้สึกว่าเราเหมาะกับตรงนี้จริงๆ ไหมวะ แต่พอสุดท้ายเขาก็พยายามโทร.มาตลอด ทั้งๆ ที่เราไม่ไป เราก็รู้สึกว่าจริงๆ เขาเป็นห่วงเรามากๆ เขาอยากให้เราเก่งขึ้น อยากให้เรามีรายได้ และวันนึงถ้าไม่มีเขา เราจะทำเป็นด้วยตัวเอง
เอาจริงๆ ผมถือว่าพี่มดเป็นครอบครัวผมที่อยู่ในกรุงเทพฯ คือครอบครัวใหญ่เลย เพราะตั้งแต่ผมเล่นละครแค่เรื่องเดียว หรือไปเดินแบบมา ผมก็ไปกินข้าวบ้านเขาตลอดในเวลาที่ไม่มีเงิน หรือต้องเอาเงินไปใช้อย่างอื่น ก็มูตามแม่ ปังตามแม่ ถามว่ามูตามพี่มดแล้วจะเรียกว่างมงายไหม ต้องเข้าใจก่อนว่าพี่มดเป็นคนที่ถ่ายรายการตลอด เขาก็ต้องไปมูตลอดและบ่อยกว่าคนปกติทั่วไป เพราะเขาทำรายการเกี่ยวกับมู แต่ถ้าถามว่าพี่มดบ้าคลั่ง หมอดูทักอันนี้มาแล้วแกต้องเชื่อ 100% ไหม พ้อยท์ว่าแกเป็นคนที่ตัดสินใจได้เอง แค่ฟังเสียงรอบข้างมาซัปพอร์ตแค่นั้น”
เผยตอนนี้ใช้หนี้ครอบครัวจาก 10 ล้าน จนเหลือ 5 ล้านแล้ว
“เรื่องหนี้ตอนนี้ละครถ่ายเสร็จไป 2 เรื่องแล้วครับ สิ้นปีนี้น่าจะหายไปสัก 2-3 ล้านได้อยู่ครับ จาก 10 ล้าน แต่ก็ลดลงมาหน่อยแล้วครับ ถ้าสิ้นปีนี้ถึงต้นปีหน้าก็น่าจะเหลือ 5 ครับ ถามว่าท้อไหม ก็มีบางทีที่ไม่ได้กินขนม ไม่ได้กินได้ตามใจตัวเองขนาดนั้นมากกว่า จริงๆ ก็ไม่ท้อนะ เพราะเวลาเราทำงานมาแล้วเห็นเงินเข้าบัญชี เราก็ไม่อยากใช้มันนะ
ตอนเด็กๆ ได้ยินตลอดว่าการไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ เรารู้สึกว่าไม่เชื่อ เพราะหนี้มันสร้างเพื่อให้เราได้ไปกู้บ้าน ซื้อบ้าน ซื้อของเพื่อมาอยู่ แต่เอาเข้าจริงๆ มันคือสิ่งที่ต้องจ่ายในทุกๆ เดือน และเราไม่สามารถไปออกนอกกรอบได้เลย เราจะอยากไปทำอันโน้นอันนี้ก็ไม่ได้ เพราะเรามีหนี้ ถ้าเป็นไปได้ไม่มีหนี้คือมีความสุขที่สุดครับ”
บอกไม่เชื่อเรื่องรวยทางลัด และดวงตนคงต้องทำงานหาเงินด้วยตัวเอง
“ถามว่าอยากมีทางลัดไหม จริงๆ ก็อยากรวยเร็ว เพราะว่าซื้อลอตเตอรี่อยู่นะ แต่ไม่ถูก พี่มดก็บอกเลขอยู่นะ แต่แกมีหลายเลขเกิน ผมซื้อไม่ไหว ที่เขาตีมาบางทีเราต้องไปบิด ไปกลับอีก ลอตเตอรี่นะ แต่จริงๆ เรื่องการขายตรงมีคนมาชวนเยอะมากครับ ล่าสุดที่ลงทุนไปก็มี Forex 3d พ้อยท์รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรหรอกที่ได้มาง่ายๆ นอกจากการทำงาน ก็ยังเห็นทุกคนยังทำงานกันอยู่ ถ้าทุกคนรวยโดยการที่เป็นแบบนั้นได้ ก็น้อยนะ แต่ก็คงไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นแบบนั้นได้ และไม่ใช่เราด้วย ผมรู้ตัวเลยว่าผมเกิดมากับดวงที่ต้องเอาแรงแลกกับเงิน เงินมาก็ผ้าหลุด หยอกๆ (หัวเราะ)”
