xs
xsm
sm
md
lg

สัตว์สยองกยองซอง ซีซัน 2 : การปะทะกันของสองขั้วความคิดเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา



หลังจากปิดจบซีซัน 1 อย่างเศร้าสะเทือนใจกับโศกนาฏรรมความรักที่ไม่สมหวัง Gyeongseong Creature หรือ “สัตว์สยองกยองซอง” กลับมาสานต่อเรื่องราวอีกครั้งในซีซันที่ 2 โดยพาผู้ชมเดินทางข้ามผ่านกาลเวลามากว่า 80 ปี จาก “กยองซอง” ในปี 1945 กลายเป็น “กรุงโซล” เกาหลีใต้ ปี 2024 ณ ที่เรื่องราวความรักกำลังเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า ซีรีส์จะนำ “จางแทซัง” มาเจอกับ “ยุนแชอ๊ก” ได้อย่างไรโดยไม่ทำให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เพราะฝั่งแชอ๊กนั้นพอเข้าใจได้ในความที่จะมีอายุยืนยาวมาจนถึงปี 2024 แต่จางแทซังนี่สิเป็นมนุษย์ธรรมดา จะอายุยืนยาวมาอีก 8 ทศวรรษได้อย่างไรโดยที่ร่างกายยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวเหมือนเดิม

นอกจากนั้น ตัวเรื่องยังมีการเปิดปริศนาหลาย ๆ อย่างที่สร้างความกังขาสงสัยให้เกิดขึ้นในใจเรา และเราต้องการคำตอบที่ยอมรับได้ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ “นายท่านจาง” และ “จางโฮแจ” หรือแม้กระทั่งตัวละครใหม่อย่าง “ซึงโกคุง” และอื่น ๆ อีกหลายจุด คือต้องบอกว่า มันก่อให้เกิดความคลุมเครือเป็นปริศนาในใจเรามากมายไปหมดในระหว่างการติดตามเรื่องราว แต่สุดท้ายแล้ว ซีรีส์ก็ทำให้ความสงสัยเหล่านั้นมลายหายไป ด้วยตรรกะความเป็นไปเป็นมาที่ยอมรับได้ โดยไม่รู้สึกว่า “ติด” หรือ “ข้องใจ” อีกต่อไป

แต่ถึงอย่างนั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังมีบางจุดที่เป็นความเคลือบแคลงรอคลี่คลาย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง “โจแฮ” กับ “ซึงโกคุง” เริ่มมาจากจุดไหนอย่างไร ทำไมถึงดูแน่นแฟ้นกันเพียงนั้น หรือแม้แต่ “คุโรโกะ” ที่ถ้าขยายให้เรามองเห็นและเข้าใจความเป็นมาของเขากว่านี้ก็คงจะ นอกจากนั้น เหล่ามนุษย์ที่มีพลังพิเศษ (ภายใต้การควบคุมได้) มีที่มาอย่างไร

อย่างไรก็ดี ความน่าสงสัยเหล่านี้เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับโครงเรื่องหลักซึ่งแข็งแรงอยู่แล้ว และหากมีซีซั่นต่อไป ก็อาจจะมีการมาขยายความเพิ่มเติมในจุดเหล่านี้ก็เป็นได้


ว่ากันที่ตัวเนื้อหาเรื่องราว Gyeongseong Creature 2 พาเราเข้าไปสู่การต่อสู้ระหว่างตัวละครสองฝั่งเป็นอย่างน้อย คือฝั่งของ “ซอนจึง ไบโอติก อินดัสตรี” ที่มี “คุโรโกะ” และ “ซึงโจคุง” เป็นกำลังหลัก ส่วนอีกฝั่งคือ “ยุนแชอ๊ก” และ “จางโฮแจ” ที่ถูกอีกฝ่ายบีบต้อนจนต้องสู้กลับ แม้จะมีแต้มต่อค่อนข้างน้อย แต่เกมนี้ก็ถอยไม่ได้ เพราะมีความเป็นความตายของคนรักเป็นเดิมพัน

แต่ถึงกระนั้น ปฏิเสธอีกไม่ได้เช่นกันว่า ในระหว่างคู่ขัดแย้งทั้งสองฝั่งนี้ ก็ยังมีความขัดแย้งภายในที่เพิ่มความซับซ้อนให้กับเรื่องราวเข้าไปอีก ยกตัวอย่างเช่น “ซึงโจคุง” ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยลงรอยนักกับผู้บังคับบัญชาและคนใหญ่คนโตที่อยู่เบื้องหลังองค์กรอันดำมืดแห่งนี้ ยิ่งกว่านั้น ตัวละครนี้ยังดูจะมีความสัมพันธ์อันดีกับ “จางโฮแจ” ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งตัวแปรซึ่งทำให้สถานการณ์ที่ควรจะเรียบง่าย กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด การตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งของซึงโจ สามารถส่งผลให้เกิดการพลิกเปลี่ยนของสถานการณ์ได้

ว่ากันที่ฉากการต่อสู้ “สัตว์สยองกยองซอง” ภาคนี้ เน้นความบู๊ค่อนข้างสูง หนังใช้สอยพลังความเก่งกาจของตัวละครที่เพิ่มขึ้นด้วยฤทธานุภาพของ “นาจิน” จัดฉากแอ็กชั่นให้ตัวละครสู้กันได้ตื่นตาพอสมควร แม้จะมีบางช่วงที่รู้สึกว่าการจัดแสงดูมืดมองเห็นยากไปสักหน่อย ขณะที่ฉากใหญ่ท้ายเรื่องซึ่งต้องต่อกรกับสัตว์ประหลาดตัวบิ๊กเบิ้ม ก็ถือว่าทำได้ออกมาได้ดี

อย่างไรก็ตาม นอกจากการต่อสู้กันทางกายภาพ ในระดับที่ลึกลงไป เราจะเห็นการต่อสู้ของคู่ขัดแย้งทางแนวความคิด ซึ่งถ้าจะสรุปว่าเป็นบ่อเกิดที่มาของการวิจัยภายในองค์กรจอนซึง ไบโอติก ก็คงจะพอได้ โดยเบื้องหลังที่มาขององค์กรนี้ที่นำคนมาทดลองและทำวิจัยเกี่ยวกับสารชนิดหนึ่งซึ่งชื่อว่า “นาจิน” แม้จะมีความปรารถนาดีในการที่จะทำให้มนุษย์ดีขึ้น แต่ก็เป็นความปรารถนาดีที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงที่ว่า มนุษย์นั้นมีธรรมชาติธรรมดาคือความไม่สมบูรณ์ ไม่เพอร์เฟคต์ และมีความผิดพลาดบกพร่องเป็นเรื่องปกติ ความไม่สมบูรณ์แบบ คือ สัจจะของความเป็นมนุษย์


ถ้อยสนทนาระหว่างประธานบริษัทจอนซึงคนล่าสุด กับมาดามผู้เฒ่ามาเอดะ ดูจะตอบคำถามเกี่ยวกับแนวความคิดนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ลองดูบางส่วนของบทสนทนานี้กัน

มาดามผู้เฒ่า : “สิ่งที่ควบคุมคนไว้คือสติที่รู้สำนึกหรือจิตใต้สำนึกกันแน่? สิ่งที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตา คือธรรมเนียมที่เพียรปฏิบัติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหรือไม่ หรือความบังเอิญที่คาดไม่ถึงและการฝ่าฟันกันแน่ สิ่งที่กำหนดคนเราว่าเป็นคนที่มีลักษณะอย่างไร คือนิสัยใจคอของคน หรือกำหนดจากความสามารถกันแน่”

ประธานจอนซึง : “เรื่องนี้น่ะมันก็แล้วแต่ตัวบุคคลไม่ใช่เหรอครับ”

มาดามผู้เฒ่า : ทำไมแต่ละคนถึงแตกต่างกันล่ะ

ประธานจอนซึง : ก็แต่ละปัจเจกนั้นหลากหลายแตกต่างกันไป แถมยังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่คาดเดาไม่ได้ด้วย

มาดามผู้เฒ่า : ไม่ใช่เพราะว่าแตกต่างหลากหลายกันหรอก เพราะไม่สมบูรณ์ต่างหากล่ะ โดยส่วนใหญ่แล้วมนุษย์เราไม่ได้ถูกแบ่งให้อยู่ฝั่งโน้นหรืออยู่ฝั่งนี้หรอกนะ เป็นเพียงตัวตนอันไม่สมบูรณ์แบบที่วางคาบเส้นอยู่ก็เท่านั้นเอง อาจดูเหมือนว่ามนุษย์ต่างตามหาคำตอบที่แท้จริงของชีวิตอย่างไม่ลดละ ทว่าที่จริงแล้ว มนุษย์กำลังพยายามปลดเปลื้องความกังวลใจของตัวเองก็เท่านั้นแหละ

เพราะฉะนั้น มนุษย์เราน่ะ จึงไม่มีความตั้งใจและเจตนาอันดีตั้งแต่แรกแล้ว มนุษย์เราล้วนแต่ทำเพื่อตัวเอง เลือกเส้นทางเดินของตนเองอย่างเห็นแก่ตัว ตั้งแต่แรกเริ่มจวบจนวินาทีสุดท้ายเลยนั่นแหละ และด้วยเหตุนี้ที่ทำให้งานของพวกเรานั้น มีความหมายเป็นอย่างยิ่ง นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเราต้องก้าวไปข้างหน้าและพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง”


ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ที่มีพลังพิเศษเหมือนซูเปอร์ฮีโร่หลังจากใส่นาจินเข้าไปในร่างกาย หรือสัตว์ประหลาดที่เกิดจากการนำคนมาทดลอง ก็เพื่อจะตอบสนองต่อเป้าหมายทางความคิดนี้ที่เชื่อว่า มนุษย์สามารถสมบูรณ์แบบได้กว่าที่เป็นอยู่ กระทั่งนำไปสู่การวิจัยทดลองเพื่อออกแบบ “พิมพ์เขียว” ซึ่งจะเป็นแม่พิมพ์ให้กับมนุษย์ในอุดมคติของตนที่เปี่ยมล้นด้วยความสามารถและสมบูรณ์

อย่างไรก็ดี ในแนวคิดฝั่งตรงข้าม ยังคงมองมนุษย์ในแบบที่เป็นจริง ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งแนวคิดนี้ส่งออกมาอย่างชัดเจนผ่านตัวละคร “จางโฮแจ” ที่มองมนุษย์อย่างไม่สิ้นหวัง เขาคือคนที่ปลุก “ซึงโจ” ซึ่งกำลังลังเลสงสัยในความเป็นมนุษย์ของตนเองให้กลับมาตื่นรู้อีกครั้ง และยังคงเชื่อมั่นเชื่อใจในตัวซึงโจ แม้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเพียงใดก็ตามที

“ก็มีแค่คนนี่แหละที่มีโอกาสเรียนรู้เมื่อทำผิด และทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง ถ้าไม่พยายามแม้แต่จะทำแบบนั้น โลกนี้น่ะจะยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมอีก” คำกล่าวนี้ของจางโฮแจที่กล่าวกับซึงโจ คงเพียงพอที่จะต่อกรกับอีกแนวความคิดหนึ่งได้อย่างทรงพลังแล้ว











กำลังโหลดความคิดเห็น