xs
xsm
sm
md
lg

ทวีวัฒน์ วันทา ผกก.ธี่หยด : จากมืออาชีพด้านความผิดหวัง สู่ผู้กำกับหนัง(หลาย)ร้อยล้าน!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา



หนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์เมืองไทยที่ฮอตสุดในชั่วโมงนี้ ต้องมีชื่อของ “คุ้ย-ทวีวัฒน์ วันทา” ติดอยู่ในลิสต์อันดับต้น ๆ อย่างไม่อาจปฏิเสธ

เพราะนับตั้งแต่หนัง “ธี่หยด” ภาคแรกเข้าฉายเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว และกวาดได้รายไปกว่า 200 ล้านบาท ชื่อของ “คุ้ย-ทวีวัฒน์” ก็ได้รับการกล่าวถึงและเป็นที่จดจำของคนดูหนังวงกว้าง เป็นที่น่ายินดี

และในขณะที่บทความนี้กำลังถูกเขียน หนังภาคต่ออย่าง “ธี่หยด 2” ก็กำลังเข้าโรง มอบความบันเทิงให้กับคนดู พร้อมทั้งเก็บกวาดรายได้แบบรัว ๆ ซึ่งคาดเดาได้ไม่ยากว่า ตัวเลขน่าจะถึงร้อยล้านในวันสองวัน และรายได้รวมสุดท้ายคงเกินภาคแรกไปมากอย่างไม่ยากเย็น แต่จะไปจบที่กี่ร้อยล้านเท่านั้นเอง เพราะลำพังแค่การจองตั๋วก็การันตีรายได้ไประดับหนึ่ง ซึ่งเป็นการสร้างสถิติที่น่าจดจำด้วยการเป็นหนังไทยที่มียอดซื้อตั๋วล่วงหน้าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ไปเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ดี หลายคนคงรู้ว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ “คุ้ย-ทวีวัฒน์” ต้องใช้เวลาเดินทางในวงการนานกว่า 20 ปี ผ่านจุดที่มีคนเห็นน้อย หรือไม่ค่อยรู้จัก ก่อน “ธี่หยด” จะนำพาเขาให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จในระดับ “แมส” ในชั่วเวลาที่อาจจะพูดได้ว่าไม่กี่วันกี่คืน

ภาพประกอบจากช่องยูทูป Viewfinder
จากผู้กำกับที่ครั้งหนึ่งเคยถูกชาวเน็ตให้นิยามว่า “ผู้กำกับที่คนดูอยากกระโดดถีบที่สุด” อาจจะด้วยเหตุผลที่หนังของเขายุคแรก ๆ มักจะเต็มไปด้วยความเพี้ยน บ้า ๆ บอ ๆ ด้วยสไตล์ของหนังที่อาจจะดูแปลก ๆ สำหรับคนดูวงกว้าง แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีคนดูกลุ่มหนึ่งซึ่งชื่นชอบในความตลกความฮาแบบหลุดโลกและยกให้เป็นตำนาน หรือยกย่องให้เป็นหนัง “คัลต์” (Cult) โดยเฉพาะ “ขุนกระบี่ ผีระบาด” (2547) และ “อสุจ๊าก” (2550) ส่วนหนังที่พอจะเข้าถึงคนหมู่มาก ก็คือ “ทองสุก 13” (2556) ที่ทำรายได้ไป 37 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนังที่ทำเงินได้เยอะสุดแล้วของผู้กำกับคนนี้ในยุคนั้น

ทั้งนี้ เมื่อปี 2563 “คุ้ย-ทวีวัฒน์” ได้โพสต์ข้อความเชิงรีวิวชีวิตบนเฟซบุ๊ก บอกเล่าถึงประสบการณ์ที่พบเจอในยุคแรกของการก้าวเดินบนเส้นทางสายผู้กำกับภาพยนตร์ เขาบอกว่า...

“ช่วงแรก ๆ ที่ทำหนังเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มีเงินคงเหลือในบัญชี 200 บาท แถมตู้ ATM เออเร่อ ยึดบัตรอีก 20 บาทที่เหลือติดตัว เลยคิดว่าใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด เลยเดินไปซื้อแกงตลาดนัดมาหนึ่งถุง ดันทำหล่นแตกอีก เป็นภาพเหมือนหนังคาวบอย ที่กองฟางกลิ้งไปกลางถนน โดยที่ยังยืนมองถุงแกงอยู่ตรงนั้น


“เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังขุนกระบี่ ผีระบาด และอสุจ๊าก ปิดรอบฉาย สะใจ เจ็บปวด กระอักเลือด หลาย ๆ เฮาส์ปฏิเสธ เพราะว่าเพี้ยนเกิน ผู้กำกับที่คนดูอยากกระโดดถีบที่สุด

“หลังมองถุงแกงแตก เลยรู้สึกว่า ชีวิตตูช่างบันเทิงจริง ปีใหม่นี้ ใครที่ผ่านเรื่องทุกข์ก็ให้คิดว่าได้เพิ่มสกิล พร้อมเจอทุกข์หนักกว่า ใครที่เจอเรื่องดีก็เมมไว้ มันจะอยู่นานหรือไปไว ก็คิดเสียว่าจะมีสิ่งที่ดีกว่านี้รออยู่ เป็นกำลังใจให้ทุกท่าน สู้ ๆ กรุณาใช้โอกาสให้ดีที่สุด”

ชีวิตของเขาในบางคำพูดที่เขาเคยใช้กับตัวเอง คือ เป็น “มืออาชีพด้านความผิดหวัง” เพียงแต่เขาไม่ท้อแท้หรือท้อถอย และทำงานอะไรเขาก็ทำ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน ไปจนถึงละคร เลี้ยงชีพและเลี้ยงฝันของตัวเอง ก่อนจะมาจับหนังใหญ่อีกครั้งในเรื่อง “ธี่หยด”

จะว่าไปก็คล้ายหนังหรือนิยายชีวิตที่ให้กำลังใจได้ดีเรื่องหนึ่ง เพราะจากเด็กหนุ่มที่รุ่มรวยด้วยจินตนาการ ส่งผลงานหนังสั้นเข้าประกวดใน Fat Film จนได้รับการมาสานต่อในหนังใหญ่จอเงินอย่างเรื่องขุนกระบี่ฯ เรื่อยมาจนถึงอสุจ๊าก แม้หนังสองเรื่องไม่ทำเงิน แต่ก็ไม่คิดจะเดินไปจากเส้นทางสายนี้ เรียกว่าทำอะไรได้ก็ทำไปพลาง ๆ สั่งสมประสบการณ์เรื่อย ๆ มา


แต่ทั้งนี้ ในความโชคร้ายก็มีความโชคดี อย่างที่เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายสำนักว่า ถึงแม้หนังยุคแรกของเขาจะไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ แต่คนใกล้ตัวต่างก็บอกว่า เขาโชคดีกว่าคนอื่นอีกมากมายที่ไม่ได้ทำอย่างที่ตัวเองอยากทำจริง ๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ขุนกระบี่ ผีระบาด” และ “อสุจ๊าก” คือโอกาสทองที่ทำให้เขาได้ปล่อยของเต็มที่ตามความสนใจและได้สนุกกับงานอย่างเหลือล้น เพราะมันเป็นผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของเขาโดยแท้จริง แม้ว่าผลลัพธ์ด้านรายได้ จะไม่ทำให้เขามั่งคั่งขึ้น แต่ก็มีความอิ่มเอมทางใจเป็นผลลัพธ์ที่ไม่มีวันเลือนหาย ซึ่งหากย้อนเวลากลับไปได้ ถามว่าอยากจะเปลี่ยนไหม ไม่ทำสไตล์นั้นแล้ว เขาก็บอกได้อย่างไม่อ้อมค้อมว่า ไม่เปลี่ยน ก็คงจะบ้า ๆ บอ ๆ แบบเดิมนั้นแหละดีแล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือ มันเหมาะกับวัยและความสนใจในช่วงนั้นแล้ว


น่าสนใจมากว่า ภายหลังความสำเร็จของ “ธี่หยด” ภาคหนึ่ง จนมาถึงภาค 2 ที่น่าจะทำรายได้จากการฉายโรงมากกว่าภาคแรก ... หนังยุคแรกของ “คุ้ย ทวีวัฒน์” ทยอยรีเทิร์นกลับมาให้ได้รับชมอีกครั้งทางเน็ตฟลิกซ์ ที่เห็น ๆ ล่าสุดก็มี “อสุจ๊าก” หรือ The Sperms และ “อนุบาลเด็กโข่ง” รวมทั้งละคร The Legend of Nang Nak (นางนาคพระโขนง) และ 6th Sense Agency (บ้านผูกวิญญาณ)

พูดอย่างตรงไปตรงมา หนังยุคแรกของคุ้ย-ทวีวัฒน์ ที่ไม่ทำเงิน ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นหนังไม่ดี แต่อาจจะมีปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน และในทางตรงกันข้าม ผมสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ไม่ว่าจะเป็น “ขุนกระบี่ ผีระบาด” หรือ “อสุจ๊าก” ล้วนแต่เป็นหนังที่ดูสนุก แพรวพราวด้วยมุกตลกและเรื่องแต่งที่ออกมาจากจินตนาการอันหาญกล้าที่กล้าจะ “บ้า ๆ บอ ๆ” ตามสไตล์ของตนเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าบ้าบอแบบไม่มีใครเข้าใจหรือเข้าถึง ตรงกันข้ามคือดูง่าย ย่อยง่าย และหัวเราะสนุกสนานไปกับหนังได้อย่างสบายอารมณ์

สำหรับคนที่ยังไม่เคยดู หลังจากเพลิดเพลินเจริญใจกับ “ธี่หยด 2” แล้ว อยากเชียร์อยากชวนให้หวนไปดูหนังเก่าของคุ้ย-ทวีวัฒน์ กันครับ คุณอาจจะรู้สึกแบบเดียวกับผมก็ได้ว่า จริง ๆ แล้ว นี่คือผู้กำกับภาพยนตร์ที่เยี่ยมยุทธคนหนึ่งของเมืองไทยตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว









กำลังโหลดความคิดเห็น