กรรมทำงานแล้ว ภรรยา “คริสโตเฟอร์ เบญจกุล” เผยหมดตัว เพราะเอาเงินเก็บทั้งชีวิตมาลงทุนกับ THE iCON เผยกลยุทธ์ทำให้หลงเชื่อ ทุกวันนี้เป็นหนี้ เห็นหน้าพรีเซ็นเตอร์แล้วรู้สึกแย่ ไม่ติดตามผลงานอีก ของขายไม่ค่อยได้ทั้งกินเองทั้งแจก บางรายเอาไปผสมรดน้ำต้นไม้
เมื่อหลายปีก่อน “คริสโตเฟอร์ เบญจกุล” อดีตดาราที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนเป็นเหตุให้ตนเองถูกรถชน ต้องผ่าตัดสมอง 8 ครั้ง จนกลายเป็นผู้พิการจนถึงทุกวันนี้ เคยให้สัมภาษณ์ว่า ได้ใช้เงินก้อนสุดท้ายที่มีในชีวิตลงทุนไปกับอาหารเสริม สุดท้ายหมดตัวต้องเป็นหนี้เป็นสิน มาตอนนี้ “คุณเชอรี่ ฐิติมา หมวกเพ็ชร เบญจกุล”ภรรยาคริส ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วว่า สินค้าดังกล่าวก็คือ THE iCON ที่กำลังเป็นข่าวใหญ่โตขณะนี้
“เมื่อโควิดปีแรกเราก็เพิ่งออกจากงานได้ไม่นาน และมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่งก็มาลงทุนเปิดร้านค้าขาย พอโควิดเข้าก็ไปขายตลาดไม่ค่อยได้ ก็มองหาว่าอะไรจะมาช่วยเรา ก็เลยไปเจอโฆษณาในเฟซบุ๊กบอกว่า เปิดการสอนทำธุรกิจออนไลน์ราคา 97 บาท เขาไม่ได้ว่าจะให้ขายสินค้า มีการเรียนในซูม 5 วัน และก็มีให้เข้าไปบริษัทดูเพื่อความมั่นใจ”
“พอวันที่ 5 เขาเริ่มเอาสินค้ามาขาย มีสินค้าให้เปิดบิล 3 ระดับ เป็นซื้อกินซื้อใช้ในราคา 2-3 พัน แล้วก็มีซูเปอร์ไวเซอร์หลักหมื่น 25,000 และดีลเลอร์ 250,000 เขาพยายามพูดว่า ถ้าจะประสบความสำเร็จมันต้องเรตสุดท้ายคือ 250,000 สิ่งที่มันคลิกกับเราก็คือ มันมีเคสที่ประสบความสำเร็จที่ทำให้เราประทับใจคือ แม่ค้าในตลาดนัดเหมือนเราที่ประสบความสำเร็จ เราก็เลยสนใจก็เลยคุยกับแฟน (คริสโตเฟอร์) ว่า เรามาลองดูไหม เขาทำได้เราก็ทำได้ แต่เงินของเราหมดแล้วก็เลยเอาเงินเก็บของแฟนมาเปิดบิล”
เอาเงินเก็บก้อนสุดท้ายในชีวิต คริสโตเฟอร์ มาลงทุน ไม่พอก็ไปกดบัตรเครดิตเพิ่ม
“เขาก็เอาเงินเก็บของเขาที่เขาเก็บเล็กผสมน้อยมา เป็นเงินก้อนเดียวของเขาที่มีในชีวิตมาให้เรา พอมันเป็นแบบนี้ มันเป็นแบบแผลคุณคริสเขาผ่าตัดสมอง 8 ครั้ง เขาจะมีปัญหาเรื่องความทรงจำ พูดหยาบๆ เลย เราโคตรอยากให้เขาลืมเหตุการณ์นี้เลย เราก็เหมือนกัน เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่แย่มาก เราเอาเงินที่เขามีทั้งหมดไป แต่เหตุการณ์นี้เขากลับไม่เคยลืม บางทีก็มีพูดว่า เอาไปให้......หมดเลย พูดหลายๆ ครั้งเราเริ่มไม่ไหว ก่อนที่ข่าวนี้จะออก เรายกมือกราบเลยว่า พี่กราบเลยขออย่าพูดแบบนี้เลยมันเจ็บปวด สองมือสองสมองของเราจะสร้างขึ้นใหม่ จะหาเงินมาคืนเขา”
“คุณคริสมีเงิน 200,000 ซึ่งก็ไม่พอ เราก็ไปกดเงินบัตรเครดิตมา 50,000 เพื่อที่จะเปิดบิล เราก็ได้สินค้ามา 1 อย่าง คือแต่ละดีลเลอร์จะได้สินค้าอย่างเดียว และแต่ละแม่ทีมก็จะเอาสินค้ามาแลกกัน เพื่อให้ 1 ดีลเลอร์มีสินค้าหลากหลาย พอทำไปก็ต้องมาใช้เงินยิงแอด ค่ายิงแอดต่อสัปดาห์ 3,000 -5,000 บาท แล้วเขาก็จะส่งลูกค้าให้ตามคิว ตอนหลังคนมันเริ่มเยอะขึ้นค่าแอดแพงขึ้นกลายเป็นสองสามวันต้องโอนแล้ว”
เปิดบิลดีลเลอร์ 250,000 ไม่พอ ยังต้องหาเงินมายิงแอดให้ทีม รวมๆ แล้วหมดเงินทั้งค่าดีลเลอร์และยิงแอดไปเกือบล้าน
“เราก็ได้ลูกค้าจากการยิงแอด แล้วเราก็มีหน้าที่โทร.ไปหาลูกค้า แต่ลูกค้าก็เปิดบิลบ้างไม่เปิดบ้าง เวลาที่มีคนมาเปิดบิล เงินจะโอนเข้าบริษัทหมดไม่ผ่านมือเราเลย แต่มันจะขึ้นโชว์ว่า วันนี้มีสมาชิกกี่คน เหมือนเป็นแต้ม พอวันที่ 5 ก็จะคำนวณเงินมาให้เรา คือถ้าเราหาลูกทีมได้เขาก็จะปันผลให้ เคยได้เงินสูงสุดเดือนละ 90,000 แต่เดือนละหลักร้อยหลักสิบก็มี”
“ถามว่าคุ้มไหม มันไม่คุ้ม เพราะเราต้องเปิดดีลเลอร์ 250,000 และก็ต้องมาจ่ายค่ายิงแอดอาทิตย์ละ 3,000 ไปๆ มาๆ 2-3 วันจ่ายครั้งละ 3,000 ค่ายิงแอดตรงนี้ไม่ใช่เรายิงเองนะ เราต้องเสียเงินไปแม่ทีมเขายิง จะเป็นการยิงแอดรวมแล้วเอาลูกค้ามาแบ่งกัน”
“เราพอเราทำๆ ไปมันก็จะมีขาดยอดอีกนิดนึงเราจะได้ตำแหน่งอัปขึ้น เราก็เลยตัดสินใจลงทุนเพิ่มไปอีก 1 แสนกว่าบาท ก็ไม่มีเงินก็ไปกดเงินจากบัตรเครดิตมาอีก เพราะถ้าตำแหน่งมันอัปขึ้น เวลาปันผลเราจะได้เปอร์เซ็นต์สูงขึ้น เลยตัดสินใจลงทุนไปอีก สรุปแล้วที่ลงทุนเป็นก้อนก็เกือบ 5 แสนแต่ที่สาหัสคือจ่ายค่ายิงแอดโฆษณา เงินที่ได้มาเท่าไหร่ก็ต้องเอาไปยิงแอดหมดเลย เงินมันก็เลยไม่เหลือ เราทำที่นี่เกือบปีหรือปีกว่าๆ ไม่แน่ใจ หมดเงินทั้งหมดน่าจะเกือบล้าน”
“เขาจะมีโปรแบบ ถ้าซื้อตอนนี้จะได้เปอร์เซ็นต์ยอดขายหลอดละ 10 บาทไปตลอดชีวิต ต้องโอนเดี๋ยวนั้นโอนทันที เราก็จะต้องรีบโอน ขับรถอยู่ก็ต้องจอดข้างทางเพื่อโอน เราะเชื่อเขามาก แล้วก็ต้องให้เราฟังเขาทุกวันเพื่อให้ฮึกเหิม พอฟังมากๆ เหมือนแบบลัทธิ เราเชื่อเขามาก แต่ของก็ขายไม่ค่อยได้ค่ะ ก็ทั้งกินเองและแจก บางกล่องก็หมดอายุ บางคนก็เอาไปผสมน้ำรดน้ำต้นไม้”
สอนให้ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ซื้อสินค้า ไม่มีเงินก็ให้ไปขายทรัพย์สินมาเปิดบิล
"ตอนหลังเรารู้สึกไม่ใช่แล้ว เพราะสิ่งที่แม่ทีมสอนคือ อยากได้เท่ากับแลก อยากได้ชีวิตใหม่ก็ต้องเอาชีวิตเก่ามาแลก ต้องทำให้ลูกค้า ทำอย่างก็ได้ ไม่ได้ไม่ได้ อันนี้คือเรารับไม่ได้ คือต้องทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน เพื่อให้คนมาซื้อของ เช่น เขาไม่มีเงินเลย แต่อยากมีอนาคตแบบนี้ อยากมีรถแบบนี้ ถ้าอยาก อยากจริงไหม ถ้าอยากต้องแลก ก็แบบที่เขาสอนเราเลย อยากได้ชีวิตใหม่ ต้องเอาชีวิตเก่ามาแลก คือ ถ้าไม่มีเงิน ก็ต้องไปขายทรัพย์ขายอะไรมาก็ได้ เพื่อมาเปิดบิล พวกแม่ทีมเขาจะสอนกันแบบนี้”
“เรารู้สึกไม่ดีเลย เราไม่เคยพูดแบบนี้กับลูกทีมเลย หน้าที่เราคือ พอได้ลูกค้าจากการยิงแอดมา ก็จะนัดเวลาให้เขามาฟังอบรม จบแล้วโทร.ถามเป็นไงบ้าง จะเปิดบิลไม่เปิดบิลแล้วแต่เขา เอาที่สบายใจ เราทำไม่ได้ เพราะเรารู้สึกว่า มันไปสร้างกรรม พอเราทำไปนานๆ คุณธรรมจริยธรรมในใจมันเริ่มรู้ว่า ไม่ได้แล้ว และเราก็ค่อยๆ เฟดตัวเองออกมา”
ทุกวันนี้เห็นหน้าดาราคนที่เป็นพรีเซ็นเตอร์แล้วรู้สึกแย่ ไม่อยากจะดูผลงานของดาราเหล่านั้นอีก
“ตอนที่ทำมีดาราเป็นพรีเซ็นเตอร์ 1 ท่าน ทางบริษัทก็ให้ข้อมูลว่า ดาราคนนี้ไม่เคยรับเป็นพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์ไหน จบเภสัช คือเขาบอกเพื่อให้มั่นใจสินค้า ทุกวันนี้ขับรถขึ้นทางด่วนเห็นป้ายโฆษณาพรีเซ็นเตอร์ของเขาแล้วรู้สึกไม่ดีเมื่อก่อนเราดูผลงานเขานะ แต่ตอนนี้คือไม่ดูแล้ว มันเป็นแผลในใจมาก”
แบกรับหนี้สิน เริ่มต้นชีวิตใหม่
“เราออกมาพร้อมกับหนี้สิน มันล้มตั้งแต่วันนั้นเลย แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เราก็มองหาของมาขาย แล้วก็ไปเจอสินค้าเป็นน้ำผึ้งซึ่งลงทุนไม่เยอะ แล้วก็มาโชคดีที่เจ้าของแบรนด์เขาให้โอกาสเราพอเห็นว่าเป็นคุณคริสเขาก็เลยอยากจะช่วย เขาก็ลงทุนให้เรา เขามีน้ำใจกับเรามากๆ ตอนนั้นคือมันทุกข์มาก แต่มีคนมาหยิบยื่นโอกาสให้เรา แล้วก็มาเจออาจารย์นิติกฤตย์ เขาก็มาช่วย เอาโน่นไหม เอานี่ไหม มีแต่ให้กับให้ ในขณะที่ฝั่งนั้นเขามีแต่ให้เราเสีย เราร้องไห้เลยนะ ตอนนั้นมันทุกข์มากๆ พอวันนี้ที่เห็นข่าว ก็รู้สึกว่า กรรมทำงานแล้ว”