จัดงานฉลองก้าวเข้าสู่ 35 ปีสุดยิ่งใหญ่ไปแล้ว สำหรับบริษัท นารายณ์อินเตอร์เทรด จำกัด แบรนด์กระเป๋าฝีมือคนไทยอย่าง NaRaYa กับงาน “NaRaYa 35th Year Anniversary” ณ เจริญนคร ฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม และพิเศษสุดกับการเปิดตัวสินค้าคอลเล็กชันใหม่ “Beyond Sight Collection” เป็นที่แรก ซึ่งเป็นคอลเล็กชั่นพิเศษที่ร่วมกับกลุ่มคนตาบอดจัดทำขึ้นภายใต้โครงการ Beyond Sight และครั้งนี้สาว “แอนโทเนีย โพซิ้ว” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2023 และ รองอันดับ 1 Miss Universe 2023 ก็ได้มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
โดยทั้งนี้ “คุณพศิน ลาทูรัส”รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท นารายณ์อินเตอร์เทรด จำกัด (NaRaYa) ทายาทของ “วาสนา ลาทูรัส”ประธานกรรมการบริหาร เผยถึงการจัดงานในครั้งนี้ พร้อมกับแพลนในอนาคตของแบรนด์นารายาด้วย
“สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้ จริงๆ วันที่ 6 ต.ค. เป็นวันครบรอบ 35 ปีของบริษัทครับ ก็เลยอยากจะเฉลิมฉลองปีนี้จากที่รอดโควิดมาได้ เราก็เลยอยากฉายแสงให้กับกลุ่มผู้ผลิตที่เป็นกลุ่มคนตาบอด คือผมไปเจอตอนที่ไปบริจาคไม้เท้าที่มูลนิธิคนตาบอด และผมก็เพิ่งได้ทราบว่าเขาสามารถเย็บลวดลายบนผ้าได้ ผมก็เลยคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีในฐานะที่เรามีแพลตฟอร์มที่มีคนรู้จักแบรนด์เราทั่วโลก ก็เลยอยากจะชวนเขามาเป็นพาร์ทเนอร์กัน ผลิตด้วยกัน เพื่อที่จะทำคอลเลคชั่นพิเศษตัวนี้ เพื่อให้คนเห็นถึงความสามารถของเขา
ก็ถือว่าเป็นไฮไลท์ของงานนี้เลยครับ คือสินค้าเรามีจำนวนจำกัดด้วย เพราะเขาก็นั่งทำที่บ้านได้ เราก็ช่วยเขาเซ็ททุกอย่าง เราดูแลส่งพวกสินค้า ชิ้นส่วนต่างๆ ไปให้เขา ผมอยากจะให้มันเป็นคอลเลคชั่นพิเศษอีกคอลเลคชั่นหนึ่ง และก็ถือเป็นการปูทางในอนาคตที่เราจะไปคอลแลปกับแบรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้พิการหรือทาเลนจ์อื่นๆ ก็สามารถใช้แพลตฟอร์มของเราโชว์ฝีมือได้
คอลเลคชั่นนี้เราวางไว้ประมาณ 1 ปีครับ คือเขาทำได้อยู่แล้ว แต่เราอยากให้เขามาอยู่ในแบรนด์นารายา ซึ่งตอนนี้สินค้าที่ออกมาก็มีประมาณ 2,000 - 3,000 ชิ้นครับ แต่เขาก็ทยอยผลิตออกมาเรื่อยๆ เพราะจำนวนคนทำแค่ 22 คน จุดจัดจำหน่ายของเราก็จะมีจุดเอ็กคลูซีฟที่งานนี้ก่อนครับ และเราจะมีช่องทางออนไลน์ในเว็บไซด์นารายาด้วย ตามสาขาก็มีครับ แต่เนื่องจากจำนวนมันน้อย เราก็พยายามจะโชว์เคสในร้านใหญ่ๆ ของเราก่อน“
วางแพลนคอลแลปกับแบรนด์ต่างๆ และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทางออนไลน์มากขึ้น
”ความคาดหวังสำหรับฝั่งนารายาก็หวังว่าทุกคนจะได้เห็นแผนงานของเราว่าจะมีอะไรบ้าง เพราะมีอยู่ช่วงนึงที่นักท่องเที่ยวหรือคนจีนไม่ค่อยได้มาไทย ก็อยากให้รู้ว่าเรายังอยู่ และจะมีคอลเลคชั่นใหม่ๆ ออกมาอีกเรื่อยๆ จะมีการไปคอลแลปใหม่ๆ ที่ค่อนข้างจะติดกระแสอยู่ในช่วงนี้ด้วย เรียกว่าเราจะเปลี่ยนลุคไปเลย ลวดลายกระเป๋าแต่ละอย่างที่เราทำจะเจาะกลุ่มลูกค้าเดิมและกลุ่มคนรุ่นใหม่ด้วย เพราะ ณ วันนี้ทุกคนจะเห็นว่ากระเป๋าของเราเป็นกลุ่มลูกค้าผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ แต่ช่วงโควิดที่ผ่านมาเราก็พยายามออกแบบให้หลากหลายมากขึ้น ต่อไปก็จะมีกระเป๋าของผู้ชายด้วยครับ
ปีนี้ยอดขายจากลูกค้าชาวจีนดีขึ้นนะครับ กำไรต่อปีเราก็โตขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็มีปัจจัยหลายๆ อย่างของโลก และเราก็คงไม่ใช่แบรนด์เดียวที่มีผลกระทบ ก็พยายามจะปรับในเรื่องของออนไลน์ให้ดีขึ้น ให้เว็บไซด์เราใช้ง่ายขึ้น เพื่อให้คนที่อยู่ต่างประเทศที่ไม่ได้มีโอกาสมาเมืองไทย ก็ยังซื้อจากประเทศเขาได้อยู่ ตลาดออนไลน์ของเราก็ดีขึ้นนะครับ และจะมีแผนภายในต้นปีหน้าจะเริ่มแอคทีฟต่างประเทศมากขึ้นด้วยในเชิงของการโฆษณาหรือคอลแลปต่างๆ
ตอนนี้ยอดขายเราถ้าแยกเป็นเปอร์เซ็นก็คือ 70-80% เป็นชาวต่างชาติครับ ที่เหลือก็จะเป็นคนไทย แต่เมื่อก่อนโควิดจะอยู่ที่ 80-90% เลยที่เป็นชาวต่างชาติ ทุกคนจะคิดว่าเป็นคนจีน แต่จริงๆ แล้วเพื่อนบ้านเราที่เป็นตลาดใหญ่ๆ ก็มีสิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งภายใน 3-5 ปีนี้เราคาดว่าจะขยายไปเปิดสาขาที่สิงคโปร์ ฮ่องกงด้วย คือที่ฮ่องกงเราก็มีพาร์ทเนอร์กับทางบิ๊กซีอยู่ เป็นคอนเซ็ปที่เราไม่ได้ทำในประเทศไทย ก็จะเป็นช็อปบายช็อปไป และพาร์ทเนอร์ใหญ่ของเราอีกที่คือร้านไดโซะที่ญี่ปุ่นครับ ภายในปีนี้ก็จะมีสินค้านารายาเข้า ก็จะเป็นของที่พรีเมี่ยมขึ้นมาหน่อย
ซึ่งตอนนี้เรามีอยู่ 18 สาขาทั่วประเทศไทยครับ และแพลนในปีหน้าเราดูไว้อาจจะเพิ่มประมาณ 5-8 สาขา แต่ไม่ได้เปิดใหญ่มาก เราจะไม่ได้เน้นที่กลุ่มมีนักท่องเที่ยวอย่างเดียวแล้ว แต่เราจะลงไปในกลุ่มชุมชน ไปรอบนอกกรุงเทพฯ ด้วย”
เตรียมจัดโปรโมชั่นปลายปีแบบจัดหนัก
“ช่วงท้ายปีนี้ก็จะมีกิจกรรมคือลด 35% ที่ถือว่าเยอะสำหรับเรานะครับ แล้วก็จะมีช่วงธันวาคมที่มีเป็นแฟคตอรี่เซลล์ของเราที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งเรามีเกือบทุกปีอยู่แล้ว อันนั้นก็จะลดแบบจุกๆ เลย เพราะสินค้าบางตัวอาจจะไม่ได้เป็นเกรดเอทั้งหมด แต่จะมีสินค้าที่เริ่มต้นจาก 10 บาท ซึ่งผมว่าทุกวันนี้แบรนด์ที่สามารถขายสินค้าหลัก 10 บาทได้ ที่ยังเป็นพวกงานแฮนเมดอยู่ก็หายาก
เผยผลกำไรปีนี้ยอดโตขึ้น 30%
“สำหรับยอดขายถ้านับจากต้นปีจนถึงตอนนี้เราโตขึ้นประมาณ 30% จากที่เรามีสาขามากขึ้น และมีคอลเลคชั่นใหม่ๆ มากขึ้น จากที่เมื่อก่อนเรามีสินค้าประมาณหมื่นกว่าแบบ จากที่โควิดเรามีประมาณ 4 หมื่น แต่จากนั้นเราก็ดร็อปลงมาเหลือหมื่นกว่า แต่ตั้งแต่ปีที่แล้วจนมาปีนี้เราขึ้นมาเกือบ 2.5 หมื่นแล้วครับ คือมีวาไรตี้มากขึ้น ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น เรามีการทำแคมเปญต่างๆ ทำออนไลน์พวกโซเชียลมีเดีย พวกโซเชียลคอมเมิร์ซด้วยครับ
ปีนี้จริงๆ เราก็เกินเป้าไปแล้ว ยอดขายเราขึ้นมา 30% ก็ถือว่าเกินเป้าที่วางไว้ เพราะจริงๆ เราปูทางไว้ปีหน้าและปีถัดไป เรื่องยอดขายเราได้แล้ว และกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ก็ได้ตามที่วางไว้ จากที่เมื่อก่อนกลุ่มลูกค้าเราจะอยู่ที่อายุ 35-50 ปี แต่ตอนนี้เราดร็อปลงมาอยู่ที่กลุ่มอายุ 25 แล้วภายในปีนี้ และปีหน้าเราก็อยากจะดร็อปลงไปเริ่มต้นช่วงกลุ่มมหาวิทยาลัย ช่วงอายุ 18-19 ปีเลย เราก็จะไปคอลแลปกับแบรนด์ต่างๆ อย่างปีนี้ก็มีกับทางเกมเมอร์ bacon time ก็มีการคอลแลปเป็นสปอนเซอร์กัน ส่วนปีหน้าเรามีสปอนเซอร์กับทีมฟุตบอลครับ ก็ตื่นเต้นเหมือนกัน เราไปในแนวทางที่เราไม่เคยเข้าไป มันเป็นกีฬาที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นกีฬาผู้ชาย แต่เราไปศึกษาแล้วมันมีกลุ่มผู้หญิงค่อนข้างเยอะเหมือนกัน ตอนนี้เซ็นสัญญาไปแล้ว ก็จะมีการแถลงข่าวกันอีกทีครับ
ต่อไปก็จะเป็นการคอลแลปกับแบรนด์ที่ติดเทรนด์ต่างๆ ก็ยอมรับว่ายากสำหรับเรามากๆ แต่กระเป๋าของเราผลิตเอง มีโรงงานของเราเอง และมีกลุ่มชาวบ้านมาผลิตให้เราด้วย และสินค้ามันยังใช้ปั้มไม่ได้ ของเรายังเป็นแฮนเมด ยังต้องใช้คนประกอบอยู่ ซึ่งมันก็เลยไม่สามารถเพิ่งจำนวนจากเดิมขึ้นเป็น 10 เท่าได้แบบนั้น มันมีการลงทุนค่อนข้างเยอะ แต่ก็เป็นเสน่ห์ของมันที่เป็นแฮนเมดที่ราคาจับต้องได้ ก็เลยทำให้หลายๆ ครั้งพวกคอลเลคชั่นใหม่หมดไปค่อนข้างเร็วเหมือนกัน”
ตั้งเป้าภายใน 2 ปียอดโตขึ้น 40% แตะหลัก 1,000 ล้าน
“ยอดรายได้กำไรต่างๆ ตอนนี้มันยังไม่ได้เท่าตอนที่ก่อนโควิดครับ แต่ก็ใกล้แล้ว ปีนี้ก็ขึ้นมา 30% ผมว่าภายใน 2 ปีนี้น่าจะขึ้นได้อีก และผมคิดว่ามันเป็นไปได้ที่จะกลับไปเหมือนก่อนช่วงโควิด เพราะวันนี้เรามีการรีแบรนด์เป็นผลิตภัณฑ์สกินแคร์ของเรา ซึ่งก็จะเปิดตัวในปีหน้า เราจะเข้าไปในตลาดสกินแคร์ด้วย จริงๆ แบรนด์เรามีผลิตภัณฑ์หลากหลายมาก เรียกว่าตั้งแต่ตื่นนอนมาเราก็มีพวกหมอน สลิปเปอร์ ของใช้ในบ้าน ของใช้ระหว่างวัน เรามีสินค้าที่ตอบโจทย์ตรงนั้น และในขณะเดียวกันเราก็มีสินค้าตั้งแต่แรกเกิดจนถึงเสียชีวิตเลยด้วยซ้ำ ก็คือเรามีการดีลกับโรงพยาบาล จะเป็นกระเป๋าแม่และเด็ก เด็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนแพมเพิทบนกระเป๋าของเราได้ จนกระทั่งช่วงโควิดมาเราก็ได้ไปทำพวกโลงศพด้วย ก็เอาผ้าไหมเราไปบุโลงศพ เพราะเราก็มีผ้าไหมเหมือนกัน ก็คือเรามีเช้ายันเย็น เกิดยันเสียเลย เราพยายามจะจัดให้มันเป็นสัดส่วนและทำให้ลูกค้าเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ปีหน้าเราตั้งเป้าไว้ที่ 40% - 50% ถ้า 50% คือสวยสุดๆ เลย แต่ผมคิดว่าเซฟๆ 40% ก็น่าจะพันกว่าล้านน่าจะได้ เพราะเราจะมีทั้งเปิดร้านที่ต่างประเทศด้วย คอลแลปกับแบรนด์ทั้งไทยและต่างประเทศด้วย คิดว่าน่าจะมีโอกาสไปได้และน่าทะลุเป้าหมายด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องรอดูครับ เราจะมีโปรเจ็คอะไรอีกค่อนข้างเยอะครับ ที่เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะงงว่าเกิดอะไรขึัน แต่อยากให้ลองติดตามดู เพราะผมเชื่อว่ายังมีเรื่องราวอีกมากให้แชร์อีกในปีนี้และปีหน้าครับ”