“กบ พิมลรัตน์” เล่าทั้งน้ำตาเลิกสามีนักธุรกิจพันล้าน รวยจริงแต่ประหยัดทัศนคติไม่ตรงกัน ไม่ยอมจดทะเบียนกับตน แต่กลับไปคืนดีกับภรรยาเก่า วันนี้ไม่ไหวแล้ว ยื่นฟ้องสามีให้สินสอดไม่ครบ
ออกมาเคลียร์ชัดๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีข่าวลือครอบครัว เจ้าหญิง ก.ไก่ สามีมี 2 บ้าน ทำหลายๆคนทายว่า คือสาว “กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร“ กับกับสามีนักธุรกิจพันล้าน “ประสพ พลากรกิตติ” ซึ่ง กบ ได้เปิดใจกับนักข่าว หลังเปิดเผยในรายการ คุยแซ่บshow เล่าชีวิตครอบครัว 8-9 ปีที่แต่งงานว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับเธอ
“ได้มีการแยกทางกัน เป็นการตัดสินใจของเรา หลักๆ เลยคือเรื่องที่เขาเองก็ตัดสินใจเดินในเส้นทางของเขา ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อตัดสินใจแล้วเราก็สนับสนุนเสมอ 8-9 ปีอยู่กันมาเราก็ทำดีที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรติดใจ แต่หลังจากยุติเขาเองจะเป็นฝ่ายต่อรอง ยื้อสถานะไว้เสียมากกว่า"
"เราไม่ได้จับได้ แต่เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาเขาเปิดเผยสถานะของเขาเอง โดยการให้เพื่อนเขาส่งมาให้เราดูว่า เขาได้พาครอบครัวของเขาไปเจอสังคมของเขา ที่ผ่านมาเราทราบมาตลอดตั้งแต่ก่อนคบกันแล้วว่า เขาเองก็มีครอบครัว เขาตามจีบเรามาเกือบ 3 ปี เราคุยกันมาตลอดในฐานะเพื่อนผู้ใหญ่ที่เคารพ แกพยายามที่จะจีบเรา เราก็อยากจะเก็บแกไว้เป็นผู้ใหญ่ที่เคารพมากกว่า"
"สุดท้ายแกมาปลดทุกข์ เล่าเรื่องส่วนตัวว่าแกอยากจะมีครอบครัวดีๆ ชีวิตแกผิดพลาดมาเยอะ เราก็รอดูเหตุการณ์หลายๆ อย่างประกอบการตัดสินใจ ก็มีความเป็นไปได้ เขาเรียนเก่งมากและประสบความสำเร็จในชีวิจมาตั้งแต่อายุ 30 เราก็คิดว่ามันก็คงจะมีเรื่องผิดพลาดในชีวิตครอบครัวมาบ้าง ผิดมาเรื่อยๆ จากสังคมที่เขาอยู่ ที่เขาต้องเจอแขกต่างประเทศ เวลาจะพาแขกไปเอนเตอร์เทนก็ต้องไปที่เหล่านั้น เขาก็อยากจะเริ่มต้นใหม่ เราก็มองว่าเรามีคุณสมบัตินั้นให้เขาได้ไหม เราก็เป็นคนที่ดีพอและซื่อสัตย์ ก็คิดแล้วคิดอีก จนตัดสินใจ แต่สุดท้ายเราดูคนผิด เราเชื่อเขาอย่างสนิทใจ“
เผยสามีกลับไปคบกับครอบครัวเดิม จากนี้นก็เลิกและมาคบกับตน
”ต่างคนก็เป็นตัวของตัวเองกันเต็มที่ แต่การที่เราเป็นตัวของตัวเองแล้วเรามีปัญหาในสายตาเขา เราก็ต้องปรับให้เขาพอใจ พยายามเข้าใจว่า เราและเขาคนละเจนเนอร์เรชั่น ต่างพื้นเพต่างครอบครัว เขาคนจีนโบราณ เราคนไทยโบราณ มันก็มีความคิดที่แตกต่างกัน เราก็พยายามทำความเข้าใจในธรรมชาติของเขา คือในสิ่งที่เขาห้ามเรารู้สึกว่ามันไม่ค่อยเมคเซ็นเท่าไหร่"
"ครอบครัวที่เขาเลิกก่อนมาคบเรา กับครอบครัวที่เพื่อนส่งมาให้เป็นครอบครัวเดียวกันค่ะ ตอนนั้นเขาจบกันไปแล้ว แล้วก็มาคบกับเรา เราก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลา เราตัวติดกันเสมอตลอด 8-9 ปี ตอนช่วงโควิดนี่แหละที่เริ่มห่างกัน แกก็ให้เหตุผลว่า แกอายุมากแล้วอยากจะมีเวลาของตัวเองมากขึ้น แกเหนื่อยกับการทำธุรกิจ อยากจะโฟกัสธุรกิจมากขึ้นเลยไม่มีเวลามาเจ๊าะแจ๊ะกับเรามาก ในมุมเขามองว่ามันไร้สาระ พอเราเห็นภาพนั้นเราก็ไม่ได้ถามอะไร เพราะมันคือคำตอบของทุกอย่าง (ช้ำขนาดไหนโดนหลอกมาตลอด?) มันก็ได้เห็นคน“
ยอมออกจากวงการ ไม่ทำงานที่รัก เลิกคบเพื่อนเพื่อครอบครัว
”เราต้องยอมเปลี่ยนทุกอย่างเพื่อเขา งานในวงการเขาไม่ชอบ เขาไม่อยากให้ทำ เวลาไปทำงานแล้วกลับมาจะมีปัญหาถกเถียงกับเขา แกรู้สึกว่าเราแตกต่าง โอเคงั้นตัดออกไหม เราก็จะดีเหรอ แต่พอมันมากๆ เข้าเราก็งั้นก็ได้เพื่อที่เราจะไปต่อกันได้แบบไม่มีปัญหา"
"เรื่องเพื่อนไม่ให้คบ บอกไม่มีใครหวังดี ให้คบเพื่อนเขา แล้วก็ไม่ค่อยชอบคนในสังคมวงการบันเทิง ไม่ชอบให้เราไปสังคมด้วย ไม่ชอบให้เราไปออกสังคม ไม่ชอบอะไรเลย เราก็คิดไปว่าเขาคงจะชอบอยู่กับเรา เราก็เลยหายจากวงการไปเลย จริงๆ กบต้องถ่ายขุนพันธ์ 2 ด้วยนะ เสียดายมากๆ ที่ไม่ได้ไปต่อ เพราะเขาขอไว้“
สามีแม้จะมีธุรกิจพันล้าน แต่เป็นคนสมถะ จึงมักมีปัญหาเรื่องของการใช้ชีวิตมาตลอด
“คือเขาเป็นคนสมถะ เราเองก็ชื่นชมนะ ไม่ได้ติดอะไรตรงนี้ แต่มันก็จะมีเรื่องขัดแย้งและขัดใจบ้าง เราโตมาไม่เหมือนกันทุกอย่างเลย อย่างเช่น เรื่องทานข้าว เลือกพักโรงแรม ซื้อของ บางสิ่งบางอย่างแกต้องอยู่ตรงกลางบ้าง ด้วยเราไม่ได้เติบโตมาแบบแก เราโตมาอีกรูปแบบนึง มีทัศนคติ มีมุมมองอีกมุมนึง จริงๆ ถ้ามันอยู่ตรงกลางได้มันจะดี แต่ที่มันอยู่ตรงกลางไม่ได้เพราะเราเป็นแม่บ้าน เขาเป็นพ่อบ้าน เราต้องพึ่งพาเขา มันก็ค่อนข้างอึดอัด"
"ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ต่างคนก็ต่างความคิด ครอบครัวเราโตมากับพ่อที่มีอาชีพวิศวกรไฟฟ้าที่โตเกียว เขาจะถ่ายทอดความรู้ในการเลือกใช้เครื่องไฟฟ้าให้ เราก็จะพอรู้ตามที่พ่อเราสอนว่า เราควรจะเลือกซื้อแบบไหน ยังไง แต่ในมุมมองของเขาจะคิดว่า ทำไมต้องซื้อแพง ทำไมต้องแพง ซื้อถูกๆ พังก็ค่อยซื้อใหม่ สำหรับความคิดเรามันคือการซื้อของดี มีคุณภาพแล้วจบ มันเป็นความคิดที่ต้องผ่านการตัดสินใจของเขา (แต่เขามีธุรกิจระดับ พันล้านเลยนะ?) มันคือความคิดที่ต่างกันจริงๆ จะไปว่าเขาก็ไม่ผิด เราแค่รู้สึกว่าถ้ามันอยู่ตรงกลางได้ก็คงจะดี“
มีการทำร้ายร่างกายและความรู้สึกจนเป็นธรรมดา
”มันก็เป็นธรรมดาแหละที่มีการกระทบกระทั่งกันบ้างทั้งทางร่างกายและจิตใจ ที่ทนไม่ได้คือเขาชอบบอกเลิก วัย 60 แล้วก็พยายามจะเข้าใจว่าแต่ละคนก็คงจะมีปมในชีวิตไม่เหมือนกัน เราพยายามจะเข้าใจเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้"
"หลังๆ จะเป็นการบอกเลิกรายเดือนแบบไม่มีสาเหตุ ไม่พอใจในสิ่งที่เราเป็นอย่างมาก อย่าง ช็อปปิ้ง การแต่งตัว ทานร้านอาหาร อยู่โรงแรมดีๆ เขาจะไม่สบอารมณ์ เขาก็จะบอกเลิกกันไหม ให้เรายกของออกจากบ้านเลย ก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับเรา เราต้องทนกับอะไรแบบนี้มา 8-9 ปี หลังจากออกมาก็บอกให้แกคุยกับครอบครัวเราแต่แกก็ไม่มา ส่งแต่เลขามาต่อรอง”
กลั้นน้ำตาที่ยอมทุกอย่างเพราะรัก อยากให้ชีวิตคู่ไปต่อได้
“มันน่ากลัวนะ ความรักมันน่ากลัว (กลั้นน้ำตา) ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะรักและทำได้ถึงขนาดนี้ เรายอมแลก ไม่ใช่ว่าการอยู่กับเขามันไม่ดี เราเองก็ได้รับความอบอุ่น ความเอาใจใส่ เขาก็มีมุมที่น่ารัก มีเคมีที่ดึงดูดกัน แม้เราจะอายุห่างกัน 19 ปี (กับครอบครัวเก่าเขาจดทะเบียนสมรสกัน?) กับคนแรกใช่คะ ตอนนี้ไม่มีแล้ว ในมุมทางกฎหมายเขาคือคนโสด“
ยื่นฟ้องอดีตสามี 2 ข้อหา ผิดคำสัญญาหมั้น และส่งสินสอดให้ครอบครัวไม่ครบ
”ยื่นฟ้องแล้วค่ะ ข้อหาผิดคำสัญญาหมั้น เราก็เรียกร้องสิทธิ์ของเรา อีกกรณีคือส่งสินสอดให้คุณแม่ไม่ครบ มีการให้มาครึ่งหนึ่ง ให้ในช่วงระหว่างที่คบกับช่วงแรกๆ ที่แยกกันแล้วที่ผ่านมาเราปล่อยผ่านได้ เพราะเรารักเขาใช่ไหม ที่เราไม่ได้เอะใจกับพฤติกรรมของเขาเลย แม้กระทั่ง… (กระทั่งการให้สินสอดไม่ครบ?) รักด้วย จริงๆ ไม่ใช่ไม่รู้สึก ก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยถูกต้องรู้สึกถูกเอาเปรียบรู้สึก แต่ก็เชื่อ เชื่อในตัวเขา”
ถามเรื่องจดทะเบียนกับสามีมาตลอด จนรู้สึกตัวเองกลายเป็นคนผิด
“มันก็มีหลายสเต็ป สเต็ปแรกคือพอผ่านไป 5 ปี ก็มีการคุยกัน หลังจากแต่งงานกันไปแล้วอีก 5 ปีนะ พี่จะจด เนื่องด้วยเหตุผลทางธุรกิจ พอ 5 ปีผ่านไปก็มีการถาม แกก็บอกว่ามันยังไม่ดีเลย ผ่านไปอีกถามอีก แกก็เริ่มบ่ายเบี่ยง พอถามอีกถามมากๆ เราก็เริ่มเป็นคนไม่ดี เริ่มเป็นคนเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว เป็นคนอยากได้ เราถามในสิ่งที่เราควรได้แต่มันกลับกลายว่าเราเป็นคนผิด มันตลกมากที่เรารู้สึกว่า เราอาจจะผิดก็ได้นะ มันตลก คือเหตุผลของเขามันฟังขึ้น แล้วสถานะที่เราอยู่มันเป็นแม่บ้าน หัวหน้าครอบครัวพูดยังไงเราก็ต้องเชื่อฟัง”
ร้องไห้เล่าครอบครัวไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกให้แต่งงานกับคนนี้
“(สะอื้น) จริงๆ คุณแม่ไม่ได้เห็นด้วยตั้งแต่แรกกับการแต่งงาน แต่เราดื้อเอง แล้วด้วยความที่เราโตแล้ว แกก็ปล่อย แล้วก็ความรักมันหอมหวาน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่แม่ไม่ได้สัมผัสอยู่แล้ว แม่ต้องปล่อย แล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแกก็ไม่ได้พูดอะไร คุณแม่ดูจากสิ่งที่ผิดพลาดในการใช้ชีวิตมันน่ากลัวมันเสี่ยงแต่ว่าเรามองโลกในแง่ดี เรามองว่าคนเรามีโอกาสผิดพลาดได้ และเราก็มองว่ามันเป็นเหตุเป็นผล หลังจากที่ได้คบกัน ก็ไปเจอกลุ่มเพื่อนเขา ซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อนในวัยเด็กเขาเลย เขาก็ดูเป็นเด็กรักดี เด็กดี ทุกคนก็จะเคารพสามีและเขาเป็นหัวหน้าเรียนเก่งเราก็มองว่า สงสัยนางเป็นเด็กเรียนแน่ๆเลย และนางก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุ 30 ต้นๆ นางก็คงอาจจะผิดพลาดในการใช้ชีวิตในครอบครัว"
"แล้วหลังจากนั้นนางก็คงใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในสถานบันเทิง ด้วยเหตุผลงานของเขาที่จะต้องทำแล้วต้องพาลูกค้าไป แล้วอาจจะผิดพลาดในการตัดสินใจอะไรก็แล้วแต่ นั่นอาจจะเป็นเหตุเป็นผลที่เราพอจะเข้าใจ และในส่วนตัวเรา ในทุกๆครอบครัวเราจะเห็นข้อผิดพลาดของผู้ใหญ่ มันทำให้เราเห็นและเรามอง แล้วพอเรามองเห็นเราก็คิดว่าทุกอย่างมันเป็นเหตุเป็นผล ถ้าสมมุติว่าเขาเลือกผิด คือนึกออกใช่ไหมคะว่าถ้าหลังบ้านไม่ซัพพอร์ต แล้วเราก็คิดว่า ถ้าเราเป็นหลังบ้านที่ดีให้เขาได้ เขาก็คงจะมีชีวิตที่ดี”
"ในวันที่เราจบกันคุณแม่ไม่เชื่อนะ ต้องให้พี่ชายเป็นคนพูด บางทีคนแก่อาจจะยังไม่อยากฟังความจริง แต่จริงๆ มันเป็นความจริงที่เขาทราบอยู่แล้วแหละว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น แล้วเขาก็เตือนอยู่เสมอ แต่เป็นเราเองที่ไม่ได้ฟัง เป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วเราก็มองโลกสวยไป”
ได้บทเรียนชีวิต รักตัวเองให้มาก อย่ารักคนอื่นมากกว่าตัวเอง และต้องรักให้ถูกคน
“คือสำหรับเขาคงจบแล้วไม่ว่าจะกังวลในเรื่องที่ส่งเลขามาต่อรองต่างๆ นานา คงจบไปแล้ว แต่สิ่งที่กังวลตอนนี้เป็นเรื่องคดี ส่วนเรื่องความปลอดภัย ก่อนหน้าหน้านั้นมีกังวลค่ะ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีแล้วไม่กลัวแล้ว เพราะว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อปกป้องตัวเอง เพราะที่ผ่านมาเราให้เกียรติในการตัดสินใจของเขา เราไม่ปกป้องตัวเอง"
"เราพูดกันมาเยอะมากในความสัมพันธ์ แต่พอถึงจุดหนึ่งตั้งแต่ให้เขาออกไปไม่มีคำพูดอะไรอีกแล้ว ยิ่งเห็นรูปนั้นที่เพื่อนของเขาส่งมาก็หมดคำถาม ไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว(สะอื้น) 9 ปีที่ผ่านมา เราได้เติบโตขึ้น เหมือนเป็นครูจริงๆ ไม่ได้อยากสงสารอะไรตัวเองมากหรอก มันยังมีคนหลายคนที่แย่กว่าเราเยอะ มันก็เป็นแค่เรื่องหนึ่งที่เข้ามาแล้วมันก็ผ่านไป เป็นสิ่งที่สอนเราในวันข้างหน้าว่าจะต้องรักตัวเองมากกว่ารักคนอื่น ถ้าจะรักก็รักให้ถูกคน นี่ขนาดเป็นคนที่คิดเยอะแล้ว ไตร่ตรองแล้ว ไม่ใช่คนที่คิดอะไรสั้นๆ มันก็ยังผิดพลาดอยู่ ตอนนี้เราได้ชีวิตเรากลับคืนมาไหม หมดพันธนาการจากทุกๆอย่าง“
เป็นซึมเศร้า อดีตสามีพาไปพบจิตแพทย์จนรู้สึกสงสัยในตัวเอง แต่ก็เลิกไปรักษาเพราะอดีตสามีบอกเปลืองเงิน จะรักษาให้เอง
”เพราะว่าในระหว่างที่คบกันสิ่งที่เราเป็น เราก็เป็นคนรุ่นใหม่เราก็จะมีความมั่นใจในตัวเอง ชอบทำงาน เป็นคนที่รักในตัวเอง ชอบตัวเองชอบหาเงินได้ด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่เราเป็นมันผิดหมดเลยไม่น่ารักมันไม่ดีซักอย่างสำหรับเขา เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ดีสักอย่าง มันก็ทำให้เราสงสัยในตัวเอง แล้วทุกครั้งที่มันมีการคุยกันที่ไม่เข้าใจ ถึงเวลาที่ต้องมีคำตอบแล้วเขาไม่ได้ให้คำตอบ เขาก็จะผลักไสให้ไปพบจิตแพทย์ ให้เราไปหาคำตอบจากตรงนั้น เขาบอกว่าเราไม่ปกติ พอมันมากๆ เข้าเราก็สงสัย"
"จริงๆ ตอนแรกเราก็คิดว่าเราปกติ คนไม่ปกติคือเขาหรือเปล่า อะไรมันจะไม่ชอบขนาดนี้อะไรมันจะผิดไปทุกอย่าง ก็แค่ยอมรับในสิ่งที่เราเป็นรักในสิ่งที่เราเป็น แต่พอเขาพูดบ่อยๆเราสงสัยในตัวเอง เราก็ไปพบจิตแพทย์ ตอนแรกเขาก็ไปด้วยนะคะ แต่พอคุยกับคุณหมอ คุณหมอเขาทราบปัญหา พอทราบปัญหาเขาก็หาทางออก เพราะเขาเป็นหมอ แต่ปรากฏว่าทางออกขัดแย้งกับสามี คราวนี้สามีบอกว่าไม่ต้องไปเดี๋ยวเขาเป็นคนรักษาเอง เปลืองเงิน เราก็ช่วยสามีประหยัด เพราะว่าเขาชอบประหยัด เราก็ชอบที่จะประหยัดให้เขา“
ตอนนี้ชีวิตดีขึ้น ได้เป็นตัวเองเต็มที่ ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่ชอบ
”ถ้าในส่วนตัวดีขึ้น การใช้ชีวิตการดำเนินชีวิตดีขึ้นเพราะว่าเรามีอิสระมากขึ้นไม่ได้อยู่ในพัฒนาการใดใด แล้วตัดสินใจได้ด้วยตัวเราเอง และรู้สึกว่าสิ่งที่เราเป็นมาตลอด ที่เป็นเรามันก็ไม่ใช่เรื่องผิด แล้ววันนี้ก็ไม่มีใครมาตัดสินเราว่าเราผิด ทุกวันนี้มานั่งแต่งหน้า มันก็เหมือนได้เจอตัวเอง ในพาร์ทหนึ่งฉันเคยแต่งได้ ตอนเด็กๆ ฉันแต่งหน้าเก่งหนิ แล้วเพื่อนที่เป็นช่างแต่งหน้าเขาบอกว่าเรามีพรสวรรค์ทางด้านนี้ ลองแต่งดูสิ"
"คือช่วงโควิดตอนที่ทำก็กังวลกว่าจะมีปัญหา เพราะว่าเขาจะมาคอยกำกับอยู่ว่า เขาไม่ชอบอะไร ทำอะไรไม่ได้ ในส่วนนี้ก็มีอิสระมากขึ้นทำเต็มที่มากขึ้น เพราะว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ผิด แต่ก็เข้าใจในมุมมองเขา ด้วยความที่เค้าเป็นผู้ใหญ่ เขาไม่เข้าใจโลกโซเชียลหรือโลกใบใหม่ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนึงจะต้องมานั่งแต่งหน้าแต่งหน้าตายักคิ้วหลิ่วตาชายหน้าชายตา ก็เข้าใจเขาว่าเขาไม่เข้าใจเพราะอะไร แต่สำหรับเรา เราเข้าใจว่ามันเป็นความรักและมันผิดด้วยหรอ แล้วทุกวันนี้ก็ทำได้เต็มที่ไม่ต้องมาโดนติเตียนอะไร ทุกวันนี้ก็ปลดล็อคได้รับอิสรภาพกลับมา“
ด้าน “ทนายรดาศา จันทร์อุดม“ ทนายส่วนตัว กบ พิมลรัตน์ ได้ให้ข้อมูลความรู้ถึงกรณี สามีภรรยาแต่งงานกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส
ทยายรดาศา : ”ต้องสู้คดี คือในส่วนของกฎหมายมันก็มีบัญญัติไว้แหละค่ะในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ว่ามันมีการหมั้น เพราะว่าในพิธีแต่งงานจะมี การส่งมอบของหมั้น เพราะฉะนั้นสัญญาหมั้นเกิดขึ้นแล้ว สัญญาหมั้นคืออะไร มันคือสัญญาที่จะไปสมรสกัน คำว่าสมรสจะชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อจดทะเบียน เพราะฉะนั้นเมื่อมีการผิดสัญญาเกิดขึ้นตามกฏหมายที่คุณให้ไว้ คือฝ่ายหนึ่งสามารถเรียกค่าทดแทนได้
เราไม่เสียเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทางทรัพย์สิน แม้จะไม่มีทะเบียนสมรส ในเรื่องของกรรมสิทธิ์รวมมันก็มีอยู่ ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างที่อยู่กินฉันสามีภรรยาก็มี อันนี้จะเป็นการฟ้องศาลเยาวชนและครอบครัว ซึ่งเรายื่นฟ้องไปเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา เดี๋ยวมันจะมีการนัดไกล่เกลี่ย แต่นัดแรกยังไม่ทราบเดี๋ยวจะมีการแจ้งรายละเอียดต่อไป
การไกล่เกลี่ย มันจะเริ่มด้วยกระบวนการของศาล ที่มันจะต้องมีผู้ประนอม 2ฝ่ายก็จะมาคุยกัน แต่ท้ายสุดแล้ว มันก็จะขึ้นกับแนวนโยบายและข้อเสนอว่าสองฝ่ายจะรับกันได้แค่ไหน ถ้าลงตัวก็ตามที่ตกลงได้เลย ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของศาลค่ะ และกฎหมายก็ค่อนข้างกำหนดไว้ชัดเจน ในสิทธิ์พี่กบเขามี สิ่งที่เขาเรียกร้องมันก็เป็นสิทธิ์ตามกฎหมายของเขาอยู่แล้ว“