xs
xsm
sm
md
lg

ดรามาหนังพระ! “โน้ต-เท่ง” โดนด่าหากินกับผ้าเหลือง ระวังจนระแวง “หลวงพี่เท่ง come back” หนังสะอาด ไร้ลามก คำหยาบไม่ถึง 10%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“โน้ต เชิญยิ้ม - เท่ง เถิดเทิง” ยอมรับ หลวงพี่เท่ง come back ในรอบ 19 ปี ทำยากมาก ระวังจนระแวงไปหมด เพราะยุคนี้ดรามาเยอะ สะอึกตั้งแต่โปรโมต ถูกด่าหาแดxกับพระ ยันปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนา คำหยาบไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เรียกว่าเป็นหนังสะอาด ไร้ลามก เป็นหนังครอบครัวที่ฟีลกู๊ด ชื่นใจคนบอกพ่อแม่เคยพาไปดูภาคแรก ภาคนี้จะพาพ่อแม่และลูกไปดูด้วยกัน

กลับมาอีกครั้งในรอบ 19 ปี สำหรับหลวงพี่เท่งฉบับออริจินัล นำแสดงโดย “เท่ง เถิดเทิง” พงษ์ศักดิ์ พงษ์สุวรรณ ในภาพยนตร์เรื่อง หลวงพี่เท่ง come back ที่งานนี้ กำกับโดยตลกชั้นครู “โน้ต เชิญยิ้ม” บำเรอ ผ่องอินทรีย์ ซึ่งล่าสุดวันนี้ได้มีการแถลงข่าวรอบปฐมทัศน์ไปเรียบร้อย ณ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ และทั้งคู่ก็ได้เปิดใจถึงที่มาที่ไปในการหวนกลับมาครั้งนี้ บอกเพราะความคิดถึง และจังหวะเวลาที่เหมาะสม

โน้ต : “ถามว่าอะไรที่ทำให้โปรเจกต์นี้กลับมา ความอยากเลยครับ (หัวเราะ) และความคิดที่มันตกผลึกอยู่ในความคิดตลอดเวลา ว่าสักวันนึงเราต้องทำ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำ บังเอิญตอนที่อยู่เวิร์คพ้อยท์เราก็เจอกันบ่อยๆ เวลาอัดรายการ ก็พูดคุยกันเรื่อยๆ จากนั้นก็เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา จากความคิดมันก็เริ่มใช่ขึ้น เริ่มเห็นภาพว่ามันน่าจะทำแล้วนะ ตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้เช็กเลยนะว่า 19 ปีแล้ว พอหลังจากเราได้คุยกันจนตกผลึกแล้วถึงมาเช็กดู โอ้โห 19 ปีจริงๆ จากภาคแรกนะ แต่ภาคล่าสุดผมจำพ.ศ.ไม่ได้

คือภาคล่าสุดมันไม่ใช่หลวงพี่เท่งเล่น แต่เป็นโจอี้ บอย เล่น อีกภาคนึงก็เป็นน้อย วงพรู ตอนนั้นผมคิดว่าก็เจมส์ บอนด์ไง มันก็จะเป็นโลโก้ของเจมส์ บอนด์ แต่พระเอกก็เปลี่ยนไปเรื่อย ผมก็เลยคิดว่าหลวงพี่เท่งก็ลองเปลี่ยนเป็นพระรูปอื่น แต่มันยังมีคำว่าหลวงพี่เท่งอยู่เท่านั้นเอง แต่พอดูแล้วทำไมหลวงพี่เท่งจริงๆ ไม่มาวะ บังเอิญภาค 2 เราพูดไว้ว่าหลวงพี่เท่งไปทิเบต แล้วจะเอาหลวงพี่เท่งกลับจากทิเบตยังไง และกลับมาเพราะอะไร ทำไมถึงกลับมา กลับมาแล้วทำอะไร อันนี้คือโจทย์หนักเลย ก็ได้แต่คุยกับเท่ง”

เท่ง : “สำหรับผมคิดว่าผมคิดถึงนะ สมัยนี้ผมว่าความคิดถึงมันไม่ขลังเท่าคนยุคก่อน เพราะยุคก่อนเครื่องมือสื่อสารมันไม่มี จะคุยกันได้ก็ต้องเขียนจดหมาย พอเขียนคำว่าคิดถึง คนอ่านก็จะรู้สึกว่าคิดถึงจริงๆ แล้วพอเจอกันแล้วมองตากัน กอดกันมันคิดถึงจริงๆ หลวงพี่เท่งก็เหมือนกัน ผมคิดถึงตั้งแต่หลวงพี่เท่งออริจินัลเลย วันนี้มันผ่านไป 19 ปีแล้ว และเราคิดถึงคนดู คิดถึงรอยยิ้มของคนที่ไปดู เขามีความสุข หลวงพี่เท่งออริจินัลมันเป็นภาพยนตร์ชาวบ้านๆ สื่อสารง่าย เหมาะกับยุคนั้น แต่ผ่านไป 19 ปีแล้วการคัมแบ็กกลับมา คนไทยคนนึงไปอยู่ทิเบต 19 ปี ยุคนั้นมันไม่มีโลกโซเชียล แต่วันนึงเดินทางกลับมา ทุกอย่างมันแปลกหูแปลกตาไปหมด เครื่องมือสื่อสาร โซเชียลทุกอย่าง

เมื่อก่อนมีการทรงเจ้ากัน แต่มายุคนี้มันเยอะมากเลย เมื่อก่อนเจ้าจะเข้าต้องจุดธูป แต่เดี๋ยวนี้นึกจะเข้าก็เข้าเลย แล้วพระองค์เดียวมันจะแก้ปัญหาสิ่งนี้ได้ไหม ซึ่งในความจริงมันไม่ได้หรอก แต่มันก็ยังดีที่มีพระอย่างนี้มา คือหลวงพี่เท่งเป็นพระสอน ไม่ใช่พระเสพ ต้องการบอกกับชาวบ้านว่าทางศาสนามันเป็นทางนี้นะ ไม่ใช่อีกทางนะ การคัมแบ็กกลับมาก็เอาสิ่งพวกนี้แหละมาร้อยเป็นเรื่อง และให้หลวงพี่เท่งไปแก้ปัญหา และเราก็พยายามใส่มุขเข้าไป ซึ่งพระเองจะมาเล่นมุกแบบฆราวาสมันไม่ได้ เราเป็นพระต้องสำรวม ซึ่งผมเล่นยากมาก แต่ถ้าพูดถึงภาคแรกยังเล่นง่ายอยู่ เพราะมันเป็นสังคมยุคนั้น แต่สังคมยุคนี้มันค่อนข้างที่จะละเอียดอ่อนกับพระ พระบางรูปบางองค์ก็มีข่าวเห็นกันอยู่

นี่คือเส้นเรื่องที่เราพยายามทำกันมา แต่ความสนุกสนาน ความจะเรียกรอยยิ้ม เรียกเสียงหัวเราะ เป็นอะไรที่เราสองคนต้องคุยกัน แต่ทุกวันนี้มันจบไปแล้ว ถ่ายทำเสร็จแล้ว จะฉายวันที่ 26 ก.ย. นี้แล้ว องค์รวมแล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนังอารมณ์ดี เหมาะสำหรับครอบครัว ลูกเด็กเล็กแดง ยุคก่อนหลวงพี่เท่งเนี่ย คุณพ่อคุณแม่พาเด็กๆ ไปดูหนัง แต่ ณ วันนี้เด็กคนนั้นโตเป็นหนุ่มมีครอบครัวแล้ว เขาก็จะพาลูกเขามาดู และถ้ามีโอกาสเขาก็จะพาคุณพ่อคุณแม่มาดูด้วย ซึ่งตรงนี้เราฟังแล้วชื่นใจ การทำงานเราก็ทำเต็มที่”

โดนคอมเมนต์หากินกับพระ, ตลกทำลายพระ แต่สิ่งที่ทำผ่านการกรองมาหมดแล้ว
เท่ง : “ผมไม่ได้ตั้งหวังเลยนะ แต่มวลในหนังมันสนุก มันชาวบ้านดี เข้าโรงวันแรกโทรศัพท์ผมแทบไหม้เลยนะ มีคนโทร.มาบอกตลอดว่าโรงนั้นโรงนี้ล้นทะลักเลย และรายได้มันก็ชัดเจนในยุคนั้น”

โน้ต : “141 ล้าน แต่ตอนนั้นค่าดูมัน 100 บาทเมื่อ 19 ปีที่แล้ว ตอนนี้ค่าดูมันต่างไปเยอะ และคาแรกเตอร์หลวงพี่เท่งยังคงอยู่ ก็คือเรื่องพุทธพาณิชย์ หลวงพี่เท่งพยายามจะสื่อให้รู้ว่าหลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีเหมือนวิทยาศาสตร์ทุกอย่างเลย คือทุกอย่างต้องจับต้องได้ อย่าเชื่อที่หูได้ยิน อย่าเชื่อที่ตาได้เห็น ทุกอย่างต้องพิสูจน์ได้ และที่สำคัญที่สุดในตัวหลวงพี่เท่งจะต้องเป็นพระที่ไม่โลกวัชชะ คือไม่เป็นพระที่โลภติเตียน และต้องอยู่ในศีลในธรรม และวิธีการเล่นมุก ถึงแม้มันจะเป็นมุกนะ แต่มันจะมีสอดแทรกหลักธรรมอยู่ในนั้น คือหลวงพี่เท่งภาคแรกเป็นนักเลงเก่า ติดคุก ขี้เหล้าเมายา นักเลง”

เท่ง : “ซึ่งตัวตนเก่าของหลวงพี่เท่งเขาไม่มีพุทธคุณ ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น แต่ทำไมเป็นพระแล้วถึงทำ มันต้องมีแต่ มันถึงทำ มันถึงมีเส้นเรื่องการที่ฆราวาสจะมารบกับพระ ซึ่งฆราวาสเขาก็มีอิทธิพลของเขา”

โน้ต : “ในยุคนี้ทุกอย่างละเอียดอ่อน ดรามาไปหมด เราก็โคตรระวังเลย แม้แต่การห่มผ้า แม้แต่การเดินของพระ การพูด แม้แต่บทโยมส่งที่ผมเล่น คือเป็นคนแก่คนนึงที่อยู่กับวัด สังคมคนไทยถ้าหลับตานึกถึงวัดมันจะต้องมีคนแก่ๆ คนนึง ที่มันเหมือนจะเป็นคนดี เหมือนจะสร้างความรำคาญ เหมือนจะสร้างประโยชน์ เหมือนจะสร้างทุกข์ให้กับทางวัด และสิ่งที่เราระวังที่สุดคือตอนนี้มันเปราะบางมากสำหรับการที่จะมีดรามากับหนังพระ ซึ่งตอนทำใหม่ๆ ผมสะอึกเหมือนกันนะ อย่างเวลาผมโปรโมตไปว่ากำลังถ่ายหลวงพี่เท่งคัมแบ็กอยู่ ก็จะมีคนเข้ามาคอมเมนต์ว่า มาอีกแล้วพวกหาแดxกับพระ , มาอีกแล้วพวกมึงเนี่ย ไม่รู้จักทำเรื่องอื่นกันเหรอ , มาอีกแล้วพวกมึงไอ้พวกตลก , พวกตลกก็จะมาแต่ตลกโปกฮา มาทำลายพระ แต่ผมบล็อกและลบทิ้ง ผมไม่ได้ตอบโต้

แต่ลึกๆ เราบอกว่าเรากรองแล้ว เราสกรีนแล้ว เราไม่ใช่ร่อนธรรมดานะ เราเอากระชอนร่อนๆ ทุกอย่างที่มันหยาบคาย และเราปรึกษาผู้ที่รู้ในเรื่องศาสนาแล้ว และผลพิสูจน์ตอนคนยังไม่เห็นหนังเลยนะ คือคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ หรือ กองเซ็นเซอร์ ท่านไม่ติอะไรเราเลย ท่านบอกว่าดีมาก ทำได้กลมกล่อม ดังนั้นท่านบอกว่าเด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ต้องขอบคุณทางผู้อำนวยการที่ดูแล วันนั้นผมไปกองเซ็นเซอร์ แต่เท่งไม่ได้ไป ผมไปนั่งตั้งแต่เช้ายันเย็น นั่งรอข้างนอกให้ท่านดูกัน พอท่านออกมาเราก็ลุ้นว่าคำพูดประโยคแรกจะคืออะไร เพราะในเรื่องนี้จะมีภาพเห็นปืน มีภาพงานเลี้ยงที่เห็นเหล้า มันเหมาะกับหนังพระไหม แต่ด้วยเหตุและผลของมัน ท่านให้อภัยครับ

ผมก็ลุ้นว่าฉากไหนท่านจะเอาออก ฉากไหนท่านจะติ ก็มีตินิดเดียวว่ามันเห็นเหล้านะคุณโน้ต มันเห็นปืนนะ ผมบอกเลยว่าท่านลองดูให้หมด ดูให้จบ ด้วยเหตุและผลของมันที่เราใส่ในหนังว่ามันคืออะไร และที่เราอยากจะให้ครอบครัวมาดู เพราะมันเป็นหนังอารมณ์ดีจริงๆ ผมมั่นใจว่ามันเป็นหนังฟีลกู๊ด และอย่างที่เท่งพูดไว้ตอนต้นว่าเด็กเมื่อก่อนเขาดูภาคแรกอายุ 9 - 10 ขวบ พ่อแม่พาไปดู แล้ววันนี้เขามาเจอผม เขาบอกว่าเขาจะพาพ่อแม่เมียและลูกไปดู โอ้โห ได้ยินประโยคนี้แล้วน้ำตาจะไหล

ผมภูมิใจมากที่เท่ง เถิดเทิงและโน้ต เชิญยิ้มได้มาทำงานร่วมกัน และยังมึคนกลุ่มนี้ ไม่ใช่แค่คนธรรมดานะ คนที่ทำงานในวงการ เป็นนักร้องนักแสดงเขาดูตั้งแต่เขายังไม่ได้เข้าวงการ ดูตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่พาไปดูตอนแรกเขาก็ไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้เขาบอกว่าจะพาพ่อแม่ปู่ย่าตายายไปดู เขาอยากให้ทุกคนไปรำลึกอดีต ดังนั้นเราต้องกรอง เราจะไม่ทำให้เขาผิดหวังในความตั้งใจที่เขาจะดูเท่ง เถิดเทิงและโน้ต เชิญยิ้มกำกับและแสดงเรื่องนี้ครับ”

เผยทำทุกอย่างด้วยความระวังขั้นสุด ศรัทธากับงมงายแค่เส้นบางๆ
เท่ง : “ถามว่าการเป็นพระต้องระวังอะไรบ้าง คืออย่างน้อยคนเห็นผม เขาก็คาดหวังว่าจะต้องขำ แต่มันถูกตีกรอบด้วยความเป็นพระ ฉะนั้นแล้วมุกที่พระจะเล่น ผมกับพี่โน้ตมองก่อนว่ามันสมควรไหม ถ้าเขียนบทให้คนอื่นเล่นเนี่ยสบายเลย เขียนมุกอะไรก็ได้ แต่พอเป็นหลวงพี่เท่งเล่น มุกนี้มันต้องมีเหตุและผล ทำไมพระถึงต้องลงไปทำด้วย เราก็ต้องหาเหตุและผลมาให้เพียงพอ แต่มาสรุปกับพี่โน้ตว่าพอเอาหนังไปให้เซ็นเซอร์ดูมันผ่านหมด แล้วถ้าผมทำเป็นเล่น เป็นพระก็จริง แต่ไปโหวกเหวกโวยวาย มันเรียกเสียงฮาได้ก็จริง แต่ความเป็นพระมันจะไม่เหลือเลย และมันจะแตกต่างจากภาคแรกด้วย เพราะภาคแรกก็สำรวม ทำไมเล่นสำรวมแล้วมันฮาได้ล่ะ เราก็เกาะเส้นนั้นมาสิ ดูแล้วนี่คือพระจริง”

โน้ต : “จริงๆ แล้วเจตนาการทำหนังเรื่องนี้คือสิ่งที่ท่านทำกันอยู่ สิ่งที่ท่านศรัทธากันอยู่ ไม่ใช่ว่าท่านผิดนะ ศรัทธากับงมงายมันเป็นเส้นบางๆ กีดกั้นกัน มันเป็นความศรัทธาในมุมของท่าน เพียงแต่ผมทำหลวงพี่เท่งคัมแบ็กมา อยากให้ท่านรู้ว่าศาสนาพุทธมันต้องพิสูจน์ได้ จับต้องได้ ตาหูจมูกกายใจ ใจต้องใช่ ศาสนาพุทธเหมือนวิทยาศาสตร์เลยนะ ศาสนาพุทธจะแปลกกว่าศาสนาอื่น คือจะต้องจับต้องได้ พิสูจน์ได้ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะอะไร และต้องพิสูจน์ได้ว่าบุญทำแทนกันไม่ได้ และวิธีการว่าเราล้างบาปแทนกันได้ไหม คนที่มีบาปสามารถทำบุญเยอะๆ แล้วจะล้างบาปที่ทำได้ไหม มันคนละส่วนกันนะ หนังเรื่องนี้มันจะมีจุดตรงนี้สอดแทรกเข้าไป ดังนั้นอยากให้มาดู เพราะเป็นหนังอารมณ์ดีที่ตั้งใจ”

เท่ง : ”พอเราทำหนังเนี่ย เราก็ต้องขอบคุณสิ่งที่มันเกิดขึ้นมานะ นั่นมันคือของเล่นของหลวงพี่เท่งที่จะต้องลงไปปาดทุกอย่าง เราไม่ได้ไปดูถูกความคิดของคน ทุกคนมีสิทธิที่จะเชื่อได้ ไม่เชื่อก็ได้ แต่ด้วยความเป็นพระมันถูกครอบแล้วว่าเป็นพระ จะไม่เชื่อเรื่องงมงาย เดินทางสายตรงของพุทธศาสนาเลย“

โน้ต : ”แต่เล่นเป็นพระเล่นยากนะครับ ผมก็โตกับวัด เป็นเด็กวัด เรียนหนังสือวัด เมื่อก่อนพระเนี่ยเดินไวยังไม่งามเลย หรือเดินสวนผู้หญิงแล้วมองหันหลังก็ไม่ได้ มันเป็นอาบัติเล็ก สามารถกลับมาปลงอาบัติได้ หรือพระลื่นล้มทำฝาบาตรร่วงระหว่างบิณฑบาต ก็ถือว่าอาบัตินะ แต่กลับวัดแล้วต้องมาปลง ก็คือการเข้าหาพระผู้ใหญ่และบอกว่าวันนี้ไปบิณฑบาต ผมโน่นนั่นนี่ก็ว่าไป และในเรื่องนี้มีบทที่หลวงพี่เท่งต้องวิ่งด้วย เราก็มีความคิดว่ามันจะได้ไหม จะผ่านไหม ก็โทร.ไปถามผู้รู้ เขาก็บอกว่าถ้ามันมีเหตุจำเป็น ไม่ได้เจาะจงที่จะวิ่ง ถือว่าไม่เป็นไร ไม่ผิดในกฎของสงฆ์ เราก็สบายใจ และพอไปกองเซ็นเซอร์เราก็ลุ้นช็อตนี้ว่าจะเป็นไปได้ไหม ท่านก็ไม่ได้ติอะไร แต่ผมก็ปรึกษาเท่งว่าเรากันไว้ดีกว่า ถ่ายเผื่อไว้ ก็ให้เป็นภาพนึกซะ ว่าแบบนี้มันไม่งาม พระไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ และทุกคนในกองก็บอกกันหมดว่าป๋าไม่ได้ใช้หรอกช็อตนี้ ก็บอกว่าถึงไม่ได้ใช้แต่กูจะเอา”

บอกทำหนังพระสมัยนี้ยากจนระแวง ระวังมากก็จะกลายเป็นสารคดีพระ
โน้ต : “ยากจนระแวง (หัวเราะ)”

เท่ง : “ผมอยากจะเล่นแบบเป็นพระโวยวายมากเลยนะ ถ้าคาแรกเตอร์มาตั้งแต่ภาคแรกนะ มันก็คงจะเป็นอย่างนี้ อย่างที่ว่าทุกวันนี้มันละเอียดอ่อนมาก เหมือนเราถูกมองตลอดเวลา ถูกจับผิดตลอดเวลา เพราะมันมีมือถือ มีทุกอย่าง อย่างพระเจ็บขาเดินกะเผลก แล้วคนดันไปถ่าย เอาจังหวะใส่เข้าไป มันก็กลายเป็นดูไม่ดีอีก แล้วมาเป็นหนังด้วย”

โน้ต : “ผมกลัวคำว่า ‘ก็ไอ้พวกตลกคาเฟ่ ทำหนังไม่รู้เรื่องพระจริงก็อย่าไปทำเลย’ อันนี้กลัวมาก เราจึงป้องกันอะไรหลายๆ อย่าง บางทีระวังมาก ป้องกันมากเดี๋ยวมันจะกลายเป็นสารคดีพระไปนะ เราจะทำยังไงให้มันมีอรรถรสของความเป็นหนัง แต่พอออกมาแล้วกองเซ็นเซอร์เขาชอบที่เราทำถูกต้อง เขาบอกว่ามันสนุก น่าดูจังเลย เพลินจังเลย เขายังบอกว่าเดี๋ยวจะพาพ่อแม่พาลูกเมียไปดู ฟังแล้วมันเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจยังไงก็ไม่รู้วันนั้น”

ยืนยันคำหยาบมีไม่ถึง 10% ไม่สกปรก ไม่ลามก
เท่ง : “เรื่องคำหยาบนี้เปลี่ยนไปเยอะมากเลย ตรงนี้พระไม่มีอยู่แล้ว แต่องค์ประกอบก็แทบไม่มีนะ อาจจะมีแต่เล็กน้อยมาก มันเกิดขึ้นจากสังคมเด็กวัด มันเป็นคำอุทาน อารมณ์เด็กวัด เพื่อนฝูง จะมาคุณผม เราไม่เคยเจอหรอก ก็มึงกูทั้งนั้น ผมว่าปกติ คนดูจะรู้สึกว่ามึงเป็นเด็กวัดจริงๆ แต่ถ้าเด็กวัดมาพูดกันว่า คุณครับ ผมขอโทษนะอะไรแบบนั้น คนจะคิดว่าคุณเด็กวัดสังคมอังกฤษหรือเปล่า”

โน้ต : “ถ้าไม่มีสัตว์เลื้อยคลานเลยนะ ไม่มีพูดด่ากันเลย มันจะมีอยู่หน่อยนึงตอนตกใจ ก็อุทานออกมา แต่มันจะเห็นภาพว่าทำไมถึงอุทานคำนั้น เรียกว่าน้อยกว่า 10% อีก (หัวเราะ) แทบไม่มีเลย”

เท่ง : “สังคมบ้านเราเป็นสังคมที่อ่อนแอมากกับคำพูดพวกนี้ ไม่รับความเป็นจริง แต่พวกหนังฝรั่งต่างชาติเขามีคำพูดที่มันดาร์กจริงๆ นะ แต่เขาถ่ายทอดความเป็นตัวตนของสังคมนั้นนะ แต่บ้านเรามันไม่ได้ บ้านเราดูแล้วหยาบ แต่บางเรื่องเราก็หยาบจนเกินไป เยอะเกินไป เราก็ต้องยอมรับ แต่ในบางอิริยาบถเพื่อนมาทำอะไรไม่ดีกับเรา เราก็ต้องด่า ด้วยอารมณ์ตัวละครมันต้องมีบ้าง แต่เราก็อย่ามีเยอะเกินไป แต่พอเป็นหนังพระมันชัดเจน มันจะบอกเราเองว่าตรงนี้ไม่พูดได้ไหม ตรงนี้พูดได้ มันมีเหตุและผล เราจะคุยกัน สิ่งหนึ่งที่คัมแบ็ก เราไม่ได้ทำเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นกลุ่มครอบครัว ซึ่งเป็นกลุ่มที่อบอุ่นมาก เราก็เอาความยินดี ความสุขและรอยยิ้มกลับไปให้เขา”

โน้ต : “ย้ำอีกทีหนังเรื่องนี้ไม่สกปรกและไม่ลามกด้วย ผมมั่นใจ ผมพูดได้เต็มปากเลยครับ เพราะเรากลั่นกรองแล้วกลั่นกรองอีก บางทีเท่งอยากได้แบบนี้ก็ถ่ายแบบเท่ง หรือบางทีผมอยากได้แบบผมก็ถ่ายแบบผม ผมยอมเสียเวลานะ ในเรื่องราวเดียวกันถ่าย 2 อย่าง”

ไม่เคยกดดันกับรายได้ แต่อยากได้รอยยิ้มจากคนดูมากกว่า
เท่ง : “ถ้าถามเรื่องรายได้ สิ่งแรกที่ผมอยากได้คือรอยยิ้มจากท่านผู้ดู ถ้าท่านผู้ดูเขามีรอยยิ้ม มีความสุข ผมพอแล้ว แต่สิ่งที่จะตามมาถ้าหนังมันดี มันทำเงินเอง ก็จะเป็นเรื่องผลประโยชน์แล้วล่ะ เพราะใครก็อยากได้เงิน แต่สิ่งแรกที่ผมตั้งหวังก็คือให้ผู้ดูมีรอยยิ้ม ให้มีความสุข แค่นั้นผมพอแล้ว อย่างน้อยๆ คนลงทุนไม่ขาดทุน ก็พอใจแล้ว เราจะได้มีผลงานต่อไปเรื่อยๆ”

โน้ต : “และสิ่งที่เราปรุงกันและลองชิมกันดู เราว่าอร่อยนะ แต่ทีนี้มันจะถูกปากหรือเปล่า วันที่ 26 ก.ย. นี้ทุกโรงภาพยนตร์ลองมาชิมดู ถ้าอร่อยแล้วบอกต่อ เป็นร้านข้าวแกงอารมณ์ดีของผมกับเท่ง เถิดเทิงที่ทำขึ้นมา ผมยังคุยกับเท่งว่าถ้าภาคนี้ไม่มีเข้าส้วม ไม่มีขี้ ไม่มีตด ไม่มีฉี่ ไม่มีกางเกงหลุดเห็นตูด เห็นก้น ต้องไม่มีเด็ดขาดนะ และคุยกันว่าจะออกกองวันที่เท่านั้นเท่านี้ ผมก็ยังย้ำเรื่องนี้อีก เพราะผมอยากให้เป็นหนังสะอาด หลวงพี่เท่งคัมแบ็กมาจากทิเบตมันต้องเป็นหนังสะอาด แต่ไม่ได้ไปว่าคนอื่นที่เขาทำนะ แต่เราไม่อยากทำตรงนี้ อีกอย่างนึงเรามีความคิดว่าให้มันเป็นหนังครอบครัว

รายได้เราก็อยากได้แหละ จะรายได้น้อยหรือมาก แต่เราไม่อยากได้ยินเสียงสาปแช่งเมื่อคนออกจากโรง เราอยากเห็นหน้าท่านเปื้อนยิ้ม แล้วพูดคุยพยักหน้ากัน เพราะเราป้องกันเยอะมาก ป้องกันจนไว้คำว่าระแวง ใช้คำว่าวิตกจริตได้เลย ผมกลับไปบ้านนอนก่ายหน้าผากเลยนะ ถ่ายวันนี้เป็นยังไงวะ ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ออกกองอีก เดี๋ยวซ่อมดีกว่า”

ดีใจได้กลับมาในวันและโอกาสที่เหมาะสม
เท่ง : “ถามว่ารู้สึกยังไงที่ชื่อเราอยู่ในหลวงพี่เท่งทุกภาค อันนี้ก็ต้องยกผลประโยชน์ให้กับพี่โน้ตนะ ถ้าเขาทำภาคแรกแล้วหยุด ก็คือหยุดเลยนะ เพราะถ้ามันทิ้งห่างมา 19 ปี มันก็คงไม่มีกระแสหรอก แต่กระแสมันถูกเรียงกันมาตั้งแต่ภาค 1 2 3 ผมมองว่าเท่ากับไปทรมานผู้ดูนะ เมื่อไหร่หลวงพี่เท่งตัวจริงจะมาวะ รอตั้ง 19 ปี ถามว่าคิดว่าจะได้กลับมาไหม คือพอมันมีโอกาสลงตัวกัน มันดีใจก่อนแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นมันไม่ได้ ผมก็งานเยอะ และผมก็ทำหนังอีก เขาก็งานเยอะ มันก็ไม่ลงตัวกัน แต่พอมันลงตัวกันแล้วมันรู้สึกคิดถึง เราก็พูดกันตลอดว่ากลับมาเหอะ อยากเจอ อยากเห็น”

โน้ต : “และสิ่งที่ขอบคุณมากๆ ขอบคุณทางเฮียจุ้ย ธนพล ธนารุ่งโรจน์ (ผู้บริหารค่ายพระนครฟิลม์) ที่เราคิดกันจนตกผลึกว่าจะเป็นบทหนัง จะทำหนังแล้ว และประโยคต่อไปเราคิดเหมือนกันเลย เอาเงินที่ไหนวะ เอาใครวะ ผมก็บอกเท่งว่ายังมีค่ายไหม ก็กลับไปหาวัดเดิม แล้วเฮียแกหยุดทำหนังมานานหลายปี พอมาเรื่องนี้ทำให้แกมีไฟขึ้น ผมดีใจนะ ตอนนี้ทำใหม่ แม้แต่องค์พระพิฆเนศหน้าออฟฟิศก็ทำใหม่ ทุกอย่างรีโนเวตหมดเลย อันนี้ก็สร้างความภูมิใจ พอบอกว่าหลวงพี่เท่งคัมแบ็ก พระนครฟิลม์ก็คัมแบ็กด้วย ก็ฝากทุกคนด้วย ผมปรุงแล้วมั่นใจว่าอร่อยแน่ ถ้าอร่อยแล้วก็บอกต่อ และต่อกันไปได้เรื่อยๆ 26 ก.ย. ทุกโรงภาพยนตร์ครับ”





















กำลังโหลดความคิดเห็น