“แม่หนู สรวงสุดา” เปิดใจถึง “ฉลอง ภักดีวิจิตร” เป็นคุณอาในสายเลือด ที่เหมือนพ่อ เหมือนครูอาจารย์ เผยได้มาทำละคร ก็เพราะประสบการณ์เป็นผู้ช่วยอาหลอง 6 ปี ภูมิใจอาชมตลอดว่าเป็นคนเก่ง เล่าเคยมาฝากหลาน อยากให้ไปทำที่ช่อง 3 ด้วย ตอนล้มป่วยมีโอกาสไปเยี่ยมอยู่หลายครั้ง ปล่อยโฮตอนรดน้ำศพ ขอให้ไปสู่สุคติ เหนื่อยมามากแล้ว
เรียกว่าได้รับวิชามาแบบเต็มๆ สำหรับหลานสาวแท้ๆ โดยสายเลือดของ “ฉลอง ภักดีวิจิตร”หรือ อาหลองอย่าง “หนู สรวงสุดา ชลลัมพี”หรือ “แม่หนู” ผู้จัดละครแห่งค่ายชลลัมพี โดยวันที่ 17 ก.ย. 67 ในงานสวดอภิธรรมคืนที่ 4 ของอาหลอง ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม ศาลา 10 แม่หนูก็ได้เปิดใจถึงคุณอาที่รัก ว่าเป็นเหมือนพ่อ และครูอาจารย์ ที่ช่วยสอนทุกอย่างมาตลอด 6 ปี จนได้มีละครเป็นของตัวเองในที่สุด
“ได้มาทำละครเพราะอาหลองนี่แหละค่ะ เป็นเหมือนอา เหมือนพ่อ เหมือนครูอาจารย์ ตอนนั้นได้ไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการตั้งแต่เรื่อง ทอง ภาค 1-4 แล้วก็ เพชรตัดเพชร ล่าข้ามโลก ไปถ่ายที่อเมริกา ก็ผูกพันเยอะค่ะ สมัยก่อนมันมีผู้ช่วยผู้กำกับคนเดียวไง ไม่เหมือนสมัยนี้ ตระกูลเราทำหนังมาตั้งแต่รุ่นปู่ ก็ประสบความสำเร็จหลายเรื่องน่าจะอยู่ในสายเลือดเลย ตอนนั้นคุณพ่อเป็นผู้กำกับ อาหลองเป็นตากล้อง เสาร์อาทิตย์เราก็จะไปอยู่กองแล้ว ก็ซึมซับมา เป็นหลานคนแรกที่มาทางนี้ ก็เป็นผู้ช่วยอาหลองมา จนกระทั่งแกบอกว่าเก่งขนาดนี้ ไปทำหนังเองได้แล้ว ก็เลยมาทำเองเป็นเรื่อง จำเลยรัก
การทำงานร่วมกับอา เวลาเขาโมโหมากๆ เขาก็จะมีคำผรุสวาท แต่กับเราเขาจะไม่นะ มีแค่เฮ้ย ทำอย่างนี้ได้ไง แต่ถ้าเป็นคนอื่นก็ไปเลย การเป็นผู้ช่วยตอนนั้นก็ทำทุกอย่าง จดทุกอย่าง เพราะมันไม่มีโทรศัพท์ที่จะถ่าย เช่นพร็อพบนโต๊ะ ซีนนี้มีอะไรก็ต้องวาดรูปไว้ เหนื่อยมาก ตอนตัดต่อก็ต้องไปอยู่กับเขาเมื่อวานนี้มีนักข่าวคนหนึ่งมา บอกว่าไปเยี่ยมอาหลอง แล้วแกพูดว่าหลานสาวคนนี้เก่งมาก อาสอนทุกอย่างเหมือนพ่อ มุมกล้อง การจัดแสง ทำงานกับคุณอามา 6 ปี ได้รับวิชาทุกอย่างมาทั้งหมด
สมองเขาเก่งมาก แต่ละฉากที่คิดมา เราก็ได้วิชามาเต็มๆ ตอนไปขอนักแสดงฮอลลีวูดมาเล่น ก็ไปเซ็นสัญญาที่อเมริกา เราก็ไปเป็นล่าม เรียกว่าทำทุกอย่าง บางวันไม่ได้กินข้าว วันที่เขาบอกให้เราไปทำเองได้แล้ว เขาก็บอกว่าอีหนู เก่งแล้วนะ ทำทุกอย่างเองได้ อาไม่เหนื่อยเลย ไปทำหนังเองได้แล้ว ตอนนั้นเราก็ภูมิใจ แต่อาเขาขี้โมโหเหมือนกัน ถ้าโมโหเมื่อไหร่ระเบิดเลย กำลังพูดๆ อยู่นี่เขวี้ยงเลยนะ แต่ก็เขาจบที่ตัวเขาเอง”
เอาประสบการณ์การทำงานกับ “อาหลอง” มาใช้ในละครของตัวเอง
“เอาประสบการณ์มาใช้ เรื่องแรก จำเลยรัก ก็ดังระเบิดเลย เข้าโรงเฉลิมกรุงด้วย ส่วนอุปสรรคในความเป็นผู้หญิง คืออาจะทำหนังเกี่ยวกับป่า ทั้งปีก็อยู่ป่า แล้วเราเป็นผู้หญิงการเข้าห้องน้ำมันลำบากมากค่ะ โดยเฉพาะเวลามีประจำเดือน ทุกวันนี้เราก็เอาวิชามาถ่ายทอดให้ลูกๆ ตอนนี้เขาก็ทำละครกัน”
ได้ไปเยี่ยมอยู่หลายหน “อาหลอง” จะชมตลอดว่าเป็นคนเก่ง
“ไปเยี่ยมหลายหนค่ะ จนกระทั่งแกแย่แล้ว เราก็บอกว่าอาออกกำลังนิดหน่อยนะ ยกแขน นี่คือครั้งสุดท้ายที่ได้ไปเยี่ยม ตอนนั้นอยู่โรงพยาบาล แต่ตอนอยู่บ้าน เวลาไปหาเขา ก็จะไปกอดเขาบนเตียง เขาก็จะถามว่าใคร เราก็บอกอีหนูค่ะ เขาก็จะลูบหัว เขาชอบไปพูดกับคนอื่นว่าเราเก่งมาก เอาจากเขามาเยอะ เพราะน้องๆ เขาไม่มีใครทำ มีแต่เราที่ทำ เขาชมเราบ่อย จะดีใจเวลาเราไปหา ครั้งสุดท้ายเขาก็ลูบหัว ถือว่าเขาปลื้มใจนะที่เราไปเยี่ยม จริงๆ อาเขาเป็นคนอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ขนาดตอนที่เราทำ จำเลยรัก เขาก็ยังไปกองเรา หลานสาวคนแรก”
ภูมิใจลูกหลานสืบทอดการทำละคร เผย “อาหลอง” เคยมาฝากหลาน อยากให้ไปอยู่ช่อง 3
“กู๊ด (เฉิดบุญ ภักดีวิจิตร) เขาก็ทำแล้วไง อยู่ช่อง 3 มีอยู่ทีหนึ่งอาเขาไปหาเราที่บ้าน ตอนที่ไม่ได้ทำช่อง 7 แล้ว เขาก็พูดตรงๆ บอกว่าให้หลานไปอยู่ช่อง 3 ได้ไหม อยากให้ไปทำช่อง 3 มากกว่า เราก็เลยพาไปหาคุณสมรักษ์ ณรงค์วิชัย ก็ภูมิใจที่เขาสืบสานกันมาเรื่อยๆ อย่าให้มันหายไปเลย”
เผยร้องไห้โฮตอนรดน้ำศพ ขอให้อาไปสู่สุคติ เพราะเหนื่อยมามากแล้ว
“เฮ้อ…ขาดอาไปคน มาวันแรกนี่ร้องไห้ รดน้ำเสร็จก็ไปกราบเท้า เรานึกถึงช่วงเวลาที่อยู่กับเขา แล้วมันอดที่จะร้องไห้โฮไม่ได้ บอกให้อาไปสู่สุคติ ขึ้นสวรรค์ไปเลย เพราะอาเหนื่อยมามากแล้ว เหนื่อยจริงๆ เขาทำงานทุกอย่างแบบต้องยิ่งใหญ่มาก ไม่กล้าถามเลยว่าได้กำไรไหม เขาทำด้วยใจ เราก็เลยไม่เคยถาม”
