เล่นจนอิน! “มิน พีชญา” เล่าเหตุการณ์ฝีกลางหน้าอก สาเหตุมาจากความเครียดและอินจัดในคาแรกเตอร์ จนบางทีเป็นตัวละคร ไม่เป็นตัวเอง ยอมรับมีปรึกษาแพทย์ เพราะหวั่นใจเสี่ยงเป็น “ซึมเศร้า” เผยดีใจได้เจอวิธีการแสดงแบบใหม่ แบบสับ ที่บางทีไม่ต้องอินมากเหมือนที่ผ่านมา
เส้นทางการแสดงของ “มิน พีชญา วัฒนามนตรี” จากนางเอกในสังกัดดัง สู่เส้นทาง “นักแสดงอิสระ” จากนั้นก็ถูกจับตามองมาโดยตลอดว่าสรุปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะในโปรเจกต์เปิดตัวกับละครฟอร์มยักษ์ “เกมรักปาฏิหาริย์” คู่กับ “ฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ” ทางช่องวัน31 เป็นการรวมตัวของเหล่า “ท็อปสตาร์” ตั้งแต่นักแสดงยันผู้กำกับและผู้จัด ที่เรียกได้ว่าเป็น “ดรีมทีม” พร้อมบทใหม่ที่ผสมผสานระหว่างซีรีส์กับละคร รวมไปถึงมายด์เซ็ตในการแสดงที่เปลี่ยนวิธีแสดงของมินตลอดไป
“จริงๆ คุยกับพี่ป้อน (นิพนธ์ ผิวเณร) ไว้เรื่องนึงแล้ว และพอดีเรื่องนั้นมันยังไม่ลงตัว พอมาเรื่องนี้พี่ป้อนก็เลยบอกว่าบทเรื่องนี้น่าสนใจ มินลองดูไหม พอไปฟังพล็อตก็เลยรู้สึกว่ามันใหม่ดี เพราะเราก็ถือว่าเล่นมาค่อนข้างหลากหลายแล้วในเรื่องของบทบาท ก็เลยอยากเล่นอะไรที่ยังไม่เคยเล่น และเรื่องนี้มันมีความซีรีส์ แต่ยังมีความละครด้วย เรื่องนี้ ถ้าใครเล่นเบาก็คือโดนกลืนไปเลย เพราะนักแสดงต้องตีโจทย์เอง และเล่นลึกเอง ถ้าเก็บไม่หมดเรื่องมันก็จะเบาไปเลย แต่ถ้าเราเก็บหมดเรื่องมันจะสนุกมากๆ น่าติดตามตลอดเวลา
ในเรื่องการแสดง มินปรับเยอะเลยค่ะ เพราะมินจะมาจากผู้ใหญ่สอนว่า เข้ามาในกองถ่ายจะต้องเป็นตัวละครตัวนั้น พูดง่ายๆ ลงจากรถมาต้องเป็นตัวนั้น หรือในภาษาการแสดงจะเรียกว่า Method Acting ซึ่งมันค่อนข้างจะกลืนพลังงานเราไปพอสมควร และหลายคนก็ป่วยเป็นซึมเศร้าเพราะแบบนี้เหมือนกัน เวลาเรากลับบ้านเราก็เป็นตัวนั้นโดยที่เราไม่รู้ตัว
ซึ่งจริงๆ แล้วในการแสดงมันไม่จำเป็นจะต้องเล่นตลอดเวลาแบบนั้น อย่างที่เราเห็นดาราฮอลลีวูดบางคนกลายเป็นตัวนั้นแล้วก็ดิ่งไปเลย ซึ่งปัจจุบัน Method Acting มันไม่จำเป็นต้องเล่นขนาดนั้น และครั้งแรกที่มินถ่ายทีเซอร์ และมินหยุดร้องไห้ไม่ได้ ตอนนั้นดิ่งมากเลยค่ะ พอสั่งคัต กว่ามินจะหยุดร้องไห้ได้ก็เกือบ 1 นาที พี่เหมี่ยว (ปวันรัตน์ นาคสุริยะ) ก็เดินมาจับมือมินแล้วบอกว่าหยุดร้อง เป็นอย่างนี้ไม่ดีนะ ไม่ดีทั้งกับการแสดงและชีวิตส่วนตัวด้วย ซึ่งการแสดงแบบนี้ เราเป็นมาโดยตลอด
ซึ่งการที่เราเอาคาแรกเตอร์ตัวนั้นไม่ออก เพราะมันอิน คือเคยไหมเวลาที่เราร้องไห้แล้วไปอยู่ในอารมณ์นั้นนานๆ แล้วเรากลับออกมาไม่ได้ มันเหมือนเวลาเราร้องไห้หนักมากๆ แล้วมันหยุดไม่ได้ มันก็จะมีโชกๆ สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น เราจะรู้สึกหายใจไม่ทัน พอเจอพี่เหมี่ยวก็บอกว่ามันไม่ดีนะ ต้องเอาตัวเองกลับมา ตั้งแต่เริ่มเรื่องนี้ เป็นเรื่องแรกที่มินเล่นแบบเก็บพลังแล้วปล่อย มินรู้สึกว่าพลังงานข้างในมันอัดแน่นกว่ามากๆ จากที่ตัวเองรู้สึกว่าตอนเล่นอินเนอร์มันแรง แต่มินรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแรงกว่า”
เมื่ออินมาเกินไป จนกระทบข้างใน ร่างกายเกิดการอักเสบ!
“พอมันเอาไม่ออก มันทำร่างกายเราอักเสบ พูดง่ายๆ มันก็กักความเครียดไว้จนอักเสบ เป็นฝีอยู่ตรงกลางหน้าอก ใหญ่เหมือนกัน มินขยับตัวไม่ได้เลย มันเจ็บ มันเกิดจากความเครียดค่ะ เราเครียดตลอดเวลา ก่อนนอนเราก็ยังเป็นตัวนั้น เราไม่รู้ตัว และมันก็ไม่ออกไป ก็มีผลกระทบกับความสัมพันธ์คนในครอบครัว บรรยากาศก็จะดูอึมครึม ไม่สดใสเหมือนตัวเรา คือถ้าเราไม่ได้อยู่ในบทบาทหรือเป็นตัวละคร เราจะเป็นคนที่ร่าเริงมาก เป็นคนค่อนข้างตลกอย่างที่เห็นในติ๊กต๊อกเลย แต่ถ้าช่วงนั้น เดือนนั้นเราถ่ายละคร คนรอบๆ จะสังเกตว่าเราจะนิ่งๆ เงียบๆ เหมือนไม่ใช่ตัวเรา หรือไปออกงานอีเวนต์ช่วงนั้นคนที่เจอก็จะเห็นว่าทำไมเรานิ่งๆ อาจจะเพราะเราอินอยู่ในการแสดงมากๆ เราอาจจะไม่ได้แสดงอาการที่เราเครียดรุนแรงกับคนอื่น แต่มันจะกลายเป็นความเย็นชาบางอย่าง ซึ่งจริงๆ มันไม่ได้เฮลท์ตี้เลย
อย่างเรื่อง สองนรี กับตัวละครชื่อหนึ่ง คาแรกเตอร์เป็นตัวที่ป่วยแหละ ที่เป็นโรคฮิสทีเรีย คือตอนเล่นมันมีความบ้า มีความหิวความรักแบบรุนแรง หนึ่งเขาเป็นเด็กที่ขาดความรักแบบรุนแรง แล้วเขาก็ต้องการจากทุกคน มันกลายเป็นว่าตัวนี้เป็นตัวที่ขาดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันต่างจากชีวิตเราที่พ่อแม่รัก มีเพื่อนเยอะ แต่ช่วงนั้นที่เล่นเป็นหนึ่ง เราจะรู้สึกเหมือนคนตาขวางตลอดเวลา เห็นอะไรก็โหยหา อิจฉา อยากได้ มันจะเป็นความขาด ซึ่งตอนนั้นมันก็จะมีความคิดเชิงลบอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่ได้คุยกับใครนะ เพราะรู้ว่าอันนี้ไม่ใช่เรา และช่วงเวลาที่เป็นมินน้อยกว่าเป็นหนึ่ง เพราะช่วงเวลาที่เป็นมินคืออาบน้ำ ล้างหน้าแล้วก็หลับ ไม่มีสติด้วย ตอนนั้นเรารู้เลยว่าผิดปกติ เรารู้เลยว่าเรา กำลังอินอยู่มากๆ แต่เรากลับชอบช่วงนั้น เพราะพอกลับเข้ากองแล้วมันอินมาก มันได้เลย มันไม่ต้องคิดเลย เล่นได้แบบเข้าปุ๊บก็เป็นตัวนั้นเลย”
อินจัด เครียดจัด จนเกิด “ฝี” กลางหน้าอก
“ถามว่าเอาออกยังไง จริงๆ เรื่องนั้นก็ได้รางวัลการแสดงเยอะอยู่นะ แต่มันก็ต้องแลกกับการที่ชีวิตส่วนตัวของเรา ส่วนนึงต้องแยกทางกันไป เรื่องฝีที่กลางอกก็เกิดจากความเครียด นอนน้อย เกิดในช่วงนั้นเลย จำได้เลยตอนถ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ได้เลย คือตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเครียดค่ะ ถ้าไม่ได้ถ่ายก็พยายามฟังเพลงให้มันหาย แต่ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่ามันมีวิธีเล่นอีกแบบนึงที่ไม่ใช่ Method Acting ซึ่งพอมาเรื่องนี้ก็เล่นอีกแบบนึงเลย ทำให้บรรยากาศกองดีมาก ทุกคนในกองน่ารักมาก และสนิทกันทุกคนเลยค่ะ
ซึ่งการแสดงแบบ Method Acting พี่เหมี่ยวไม่ได้บอกว่าผิด แต่แค่มันไม่ดี มันไม่ดีกับหลายหลายอย่าง มันไม่ดีกับความสัมพันธ์ มินรู้สึกว่าเล่นแบบใหม่มันดีกว่าเล่นแบบเดิม แต่คนที่ชอบเล่นแบบเดิมก็ไม่ติดนะ แต่มันก็อาจจะเหนื่อยมากๆ และความสัมพันธ์ในครอบครัวก็อาจจะไม่ดี ก็อาจจะเป็นซึมเศร้าได้เลย มันเป็นการเหมือนฝึกถอดโหมด เหมือนตอนนี้เราใส่โหมดนี้ และตอนนี้เราใส่โหมดนี้ มันก็คือเราต้องมีสติมากขึ้น เหมือนฝึกจิตให้มีความไวในการถอดมากขึ้น แล้วก็ลืมในสิ่งนั้น แล้วก็ให้หายใจลึกๆ และหยุดตัวเรา”
เสี่ยง “ซึมเศร้า” เพราะสลัดคาแรกเตอร์ไม่ออก!
“การแสดงแบบ Method Acting สำหรับมิน บางทีมันก็อาจจะเป็นถึงซึมเศร้า แต่มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกว่า ฉันไม่ปกติ เมื่อก่อนเราเป็นคนที่นั่งสมาธิเราก็จะจับได้ว่าไม่ใช่เรา และเมื่อจับได้ เราก็พยายามจะหยุด เลยถึงขนาดที่ต้องไปพบแพทย์ให้ช่วย แต่การแสดงแบบนี่ที่เหมียวแนะนำ พอเราแสดงเสร็จ เราก็ถามคนรอบข้าง ว่าเป็นอย่างไร มินก็เห็นเขาปรบมือนะ เราได้ดูตัวเองในมอนิเตอร์แล้ว ก็ชอบนะ มันชอบด้วยวิธีเล่า ด้วยวิธีตัดต่อ ด้วยวิธีการการแสดงด้วย มินชอบหมดเลยค่ะ มินรู้สึกว่าพี่เขาตัดมากเลย นักแสดงทุกคนไม่มีใครเล่นฆ่ากันเลย เล่นส่งกันหมดเลยค่ะ
และการแสดงแบบใหม่แบบนี้ มันเป็นการเปิดโลกการแสดงอีกด้านของมินเลยค่ะ เพราะปกติมินก็มากับการเอาตัวรอดได้ค่อนข้างดี แต่งหน้าเองก็ได้ ทำอะไรก็ได้ อดทน แก้ปัญหาหน้างานได้ ถ้าหน้างานมีอะไรเกิดขึ้นก็เหมือนเป็นไหวพริบตลอดเวลา แต่พอเรามาเจออะไรที่มีให้เราเตรียมการบ้านด้วย งานมันออกมาละเอียดกว่าเดิมอีกเยอะมากเลยค่ะ ในส่วนของตัวมินเองมินก็รู้สึกว่าเราทำการบ้านได้อีกเยอะมากๆ แล้วก็ดีมาก”
“นักแสดงอิสระ” เน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ...
“มันคุ้มค่าการรอคอย ตั้งแต่มินได้เจอเรื่องนี้แล้ว ทั้งผู้กำกับและนักแสดงทุกคน มันคุ้มตั้งแต่เราได้เจอกันแล้ว ที่เหลือก็เป็นกำไร อย่างหลายคนจะคาดกหวังกับการเป็นนักแสดงอิสระของเรา แต่สำหรับมิน มันว่ามันไม่ได้ท้าทายกับชื่อเสียงที่เรามีมาหรอก และมินก็ไม่ได้ยึดติดกับชื่อเสียง มินว่ามันท้าทายกับเราที่เล่นมาเยอะแล้ว แล้วกลัวเราจะเบื่อ เวลาเราเล่นละครเรื่องหนึ่งมันนมนานมัน 6 เดือน ถึง 1 ปี ถ้าเราต้องอยู่กับบทนั้นแล้วเราเบื่อ เราไม่ชอบ มันจะทำให้เราหมดพลังงานไปเลย มินก็เลยพยายามจะหาอะไรที่นอกจากรู้สึกว่าบทมันดีแล้ว เราต้องเอ็นจอยมันด้วย แล้วเรื่องนี้ก็สนุกจริงๆ คิดดูสิวันปิดกล้องมินแอบขึ้นรถมาร้องไห้เลย มันผูกพัน คือมินอยากเล่นแล้ว อยากให้แฟนคลับได้เห็นคุณภาพในสิ่งที่มินอยากเล่น มากกว่าการที่เล่นไปเรื่อยๆ แล้วเล่นตลอดเวลา”