หุ้นบริษัท K-Pop ในเกาหลีต่างตกอย่างหนัก แม้กระแสความนิยมในตัวศิลปินยังสูงอย่างต่อเนื่อง โดยนักวิเคราะห์ในเกาหลีมองหลายบริษัทยังคงพึ่งการขาย "แผ่น CD" มากเกินไป ทั้ง ๆ ที่สินค้าชนิดนี้ได้หมดยุคไปเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว
พฤศจิกายนปีที่แล้ว พัคจินยอง หัวหน้าผู้อำนวยการสร้างและผู้ถือหุ้นใหญ่ของ JYP Entertainment ได้แนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้น JYP โดยกล่าวว่า “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดี หากผมมีเงิน ผมจะซื้อหุ้น JYP แน่นอน” ในขณะนั้น ราคาหุ้นของ JYP Entertainment อยู่ที่ราว ๆ 92,000 วอน และพัคเองก็ได้ลงทุนในหุ้นของ JYP จำนวน 5 พันล้านวอน (ประมาณ 3.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งการมองโลกในแง่ดีของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้แฟน ๆ หลายคนตามซื้อตามเขาไปด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังผ่านไปเพียงสิบเดือน นักลงทุนเหล่านั้นอาจรู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนั้น เนื่องจากราคาหุ้นของ JYP Entertainment ลดลงไปครึ่งหนึ่ง เหลือประมาณ 43,000 วอน
ขณะที่หุ้นของบริษัทบันเทิง K-pop อื่น ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเกาหลีก็เผชิญกับปัญหาเช่นกัน ราคาหุ้นของ HYBE ลดลง 31% ในปีนี้ ขณะที่ SM Entertainment และ YG Entertainment ก็เห็นราคาหุ้นลดลง 40% และ 36% ตามลำดับ
แม้ความนิยมของ K-pop จะยังไม่ลดลง ตรงกันข้าม ความแพร่หลายของ K-pop ทั่วโลกกลับขยายตัวขึ้น โดยข้อมูลจาก Spotify ที่ส่งให้ CNBC เผยว่า การสตรีมเพลง K-pop ในสหรัฐเพิ่มขึ้น 180% ในขณะที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นกว่า 420% และทั่วโลกเพิ่มขึ้น 360% แต่ทว่าความนิยมเหล่านี้กลับไม่สะท้อนในราคาหุ้นของค่ายเพลงเหล่านี้
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทบันเทิงในเกาหลี “Big Four” เป็นเหตุผลที่สร้างช่องว่างนี้ โดยผลกำไรจากการดำเนินงานของ JYP Entertainment ในไตรมาสสองของปีนี้อยู่ที่ 9.3 พันล้านวอน ลดลงเกือบ 80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนผลกำไรจากการดำเนินงานของ HYBE และ SM Entertainment ก็ลดลงมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนเช่นกัน
หลายปัจจัยที่ส่งผลให้ธุรกิจบันเทิงเหล่านี้ประสบกับปัญหา ได้แก่ การที่ศิลปินคนสำคัญต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ปัญหาความเสี่ยงจากการถือหุ้นของค่ายบันเทิงใหญ่ ๆ การเกิดขึ้นของค่ายเพลงที่มีหลายกลุ่มเกินไป และตลาดจีนที่ยังไม่เปิดอย่างเต็มที่
นักวิเคราะห์ชี้ว่า โมเดลรายได้แบบดั้งเดิมของ K-pop ที่พึ่งพาการขายอัลบั้มมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ค่ายเพลง K-pop ได้ใช้กลยุทธ์ออกอัลบั้มหลากหลายเวอร์ชั่นที่มีรูปภาพปกและการ์ดสะสมที่ต่างกัน เพื่อกระตุ้นให้แฟน ๆ ซื้อหลายชุด บางศิลปินถึงขั้นจับคู่ตั๋วเข้าร่วมงานแฟนมีตติ้งกับอัลบั้ม ทำให้แฟน ๆ ต้องซื้อหลายชุดเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าร่วมงาน ซึ่งสิ่งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์
Billboard ยังระบุว่า แฟนเพลง K-pop หลายคนในเกาหลีไม่มีเครื่องเล่นซีดีด้วยซ้ำ แต่ค่ายเพลงยังคงมุ่งเน้นการขายซีดีและสินค้าอื่น ๆ พฤติกรรมของแฟน ๆ ที่อยากให้ศิลปินของพวกเขามียอดขายที่เหนือกว่าคู่แข่งหรือทำยอดขายอัลบั้มใหม่ได้สูงกว่าผลงานก่อน ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับค่ายเพลง
แม้แฟน ๆ ส่วนใหญ่จะฟังเพลง K-pop ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเช่น Spotify แต่ยอดขายอัลบั้มของ HYBE เมื่อปีที่แล้วทำรายได้สูงกว่าการสตรีมถึง 2.3 เท่า ส่วนของ JYP ทำรายได้สูงกว่าสี่เท่า “บริษัทบันเทิงชอบยอดขายอัลบั้มเพราะมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่ารายได้จากช่องทางอื่น เช่น การแสดงสด” คิม กยูยอน นักวิเคราะห์จาก Mirae Asset Securities กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยอดขายอัลบั้มกำลังชะลอตัวในปีนี้ โดยยอดขายอัลบั้มของ HYBE ในครึ่งแรกของปีนี้อยู่ที่ 234.8 พันล้านวอน ลดลง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน JYP มียอดขายอัลบั้มลดลงมากถึง 60% เหลือเพียง 44.4 พันล้านวอน “นี่เป็นสัญญาณว่า การแข่งขันในการขายอัลบั้มที่รุนแรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กำลังกลับสู่สภาวะปกติ” แหล่งข่าววงการดนตรีเผย
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหุ้นของบริษัทบันเทิง Big Four จะฟื้นตัวในไตรมาสที่สี่ “ราคาหุ้นคาดว่าจะฟื้นตัวเมื่อศิลปิน K-pop ชื่อดังหลายคนกลับมาในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้” อัน โดยอง นักวิเคราะห์จาก Korea Investment & Securities กล่าว