จากกรณีข่าว “โน๊ต ชาคริยา สมุทรคีรี” อดีตผู้จัดการดาราดัง อาทิ ลีเดีย ศรัณย์รัชต์ ดีน , พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ , แอริน สิริภรณ์ ยุกตะทัต, แพรวา ณิชาภัทร ฉัตรชัยพลรัตน์, พลัสเตอร์ พรพิพัฒน์ พัฒนเศรษฐานนท์ และอีกมากมาย รวมๆ แล้วกว่า 20 คน ที่ตอนนี้ได้ถูกสังคมตีตราว่า “โกงเงินดารา” หลังจากเรื่องราวผ่านมา 3 เดือน วานนี้ (4 ก.ย.) “โน๊ต ชาคริยา” ได้เปิดใจไปแล้วเกี่ยวกับกรณีของ “ลีเดีย” หลังอีกฝ่ายออกมาให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่ได้รับการติดต่อ
ล่าสุดวันนี้เจ้าตัวได้อธิบายถึงการทำงานของตัวเองคร่าวๆ ว่าดาราในสังกัดของตนเองที่ผ่านมา ไม่ได้มีการเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร เน้นดูแลแบบสัญญาใจ โดยหัก 15% จากค่าตัวของดารา ตามที่ดาราเสนอมาตั้งแต่แรก แต่จะมีการบวก “ค่าเมเนจเมนต์” ซึ่งบางทีอาจจะไม่ถึง 10% ของค่าตัวดารา ซึ่งทั้งการหักเปอร์เซ็นต์ และค่าเมเนจเมนต์ทนั้น เจ้าตัวได้นำเข้าในระบบบริษัท เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย อาทิเงินเดือนทีมงานที่จ้างให้ออกไปดูแลนักแสดงแต่ละคน
การโดนตีตราว่า “โกงเงินดารา” นั้น เจ้าตัวยืนยัน ว่าไม่ใช่ความจริง มีเอกสารที่มาที่ไปของเงิน ส่วนสาเหตุที่ปิดบริษัทนั้น ไม่ใช่หนีปัญหา เพียงแต่ลดขนาดลง และสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้ จนเป็นปัญหาใหญ่โต เพียงเพราะขาดการสื่อสารที่ชัดเจนเท่านั้น
“ตอนนี้ได้เลือกที่จะยุบบริษัท มายซิทซ์ ที่เปิดมาเป็นระยะเวลา 8 ปีแล้ว ตอนแรกก็เปิดเป็นบริษัทรับงานเต้น แล้วเปลี่ยนมาเป็นเอเจนซี่ ก็เลยตัดสินใจยุบตั้งแต่เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเราก็จ่ายค่าชดเชยให้ทุกคน ยืนยันว่าที่ปิดไม่ได้หนีปัญหา เพราะเอกสารทุกอย่างยืนยันได้ว่าเราไม่ได้โกง เราพร้อมจะอธิบายให้ฟัง และที่ตัดสินใจยุบ เพราะเราไม่สามารถจะดูแลทีมงานทุกคนตรงนี้ได้อีกแล้ว เราต้องปล่อยทุกคนให้เดินไปทางของเขา ซึ่งยอมรับว่าน้องๆ ทีมงานไม่มีใครเข้าใจหรอก”
“ซึ่งเราไม่ได้ยุบบริษัทเพื่อจะหนีปัญหา ตามที่ทุกคนบอก เรายังอยู่ตรงนี้ เราไม่ได้หายไปไหน เราไม่ได้ปิดช่องทางการสื่อสารไหนเลย แค่เราเลือกไม่เดินออกมา ซึ่งก็มีทีมงานที่ไม่เข้าใจ เพราะบางส่วนก็เข้าใจเหมือนดารา ซึ่งเขาไม่เคยรู้เลยว่ามันมีค่าเมเนจเมนต์ ซึ่งตรงนี้มีเรารู้คนเดียว เพราะน้องคนอื่นเขามีหน้าที่ ที่เรามอบหมายให้เขาทำ เราเมเนจฯ คนเดียวว่าเงินต้องเอาไปใช้ในส่วนไหน อย่างบัญชีจะรู้แค่รายรับ แต่คนทำการเงินจะเห็นรายจ่ายด้วย”
ฟ้องอาญาทีมงานบางคน นำเอกสารความลับบริษัทให้คนภายนอกดู ทำให้บริษัทเสียหาย พร้อมฝากถึงน้องดารา ที่ไม่ได้รับผลกระทบ อย่าพูดไปเรื่อย
“และตอนนี้เราได้ฟ้องเป็นอาญาไปแล้ว กับอดีตทีมงานของเราบางคน ที่เอาเอกสารบางอย่างส่งให้คนนอกดู ซึ่งตามกฎหมายแล้วมันไม่สามารถทำได้ เพราะมันเป็นความลับของบริษัท จุดนี้ทำให้บริษัทเสียหาย แต่เราไม่ได้ออกมาอธิบายด้วยซ้ำ จนหลายคนคิดไปต่างๆ นานา เลยต้องฟ้องเป็นคดีอยู่ตอนนี้ อีกอันก็ฝากถึงน้องดาราที่ไม่ได้รับผลที่เกี่ยวข้องตรงนี้เลย คือพูดไปเรื่อย และที่เรารู้ว่าน้องเขาพูดไปเรื่อย เพราะมันมีอยู่งานนึงที่เราค้างงานลูกค้าไว้ และเราไม่ได้มีเด็กในสังกัดแล้ว เราก็ต้องติดต่อดาราคนอื่น แต่น้องดาราคนนี้ ดันไดเรกต์ไปหาดาราคนที่เราจ้างว่า ทำไมถึงได้งานนี้มา ผู้จัดการของดาราที่เราจ้าง ก็โทร.มาถามเราว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เราก็ยังไม่ได้คุยกับดาราคนที่ไดเรกต์ไป และตอนนี้เราก็ทำงานคนเดียว แต่ก็มีผู้ช่วย 2-3 คน ช่วยกัน”
ทุกข์ตลอด 3 เดือน แต่ต้องอยู่กับความจริง
“กับระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา เราต้องเผชิญกับสิ่งที่เจอ ทุกข์ไหม คือทุกข์ แต่ทุกอย่างต้องอยู่บนความจริง อะไรที่มันเกิดขึ้นไปแล้ว อะไรที่เราทำพลาดไป ต้องยอมรับความจริง และต้องเซ็ตตัวเองยังไงให้ได้เดินต่อไป มันเป็นเรื่องที่สำคัญกับเรามากๆ เราต้องกลับมาโฟกัสที่การทำงานของเรา การสื่อสารสำคัญที่สุด สื่อสารไปเลยว่าสิ่งไหนได้ สิ่งไหนไม่ได้ ไม่ใช่จะมารับจบครบที่เราคนเดียวเหมือนแต่ก่อน และการที่เรารับมาตั้งแต่แรก ความรับผิดชอบมันก็จะตกลงมาที่เรา คำว่าไม่ได้ จะไม่ออกมาจากปากเรา นั่นคือเมื่อก่อน ซึ่งมันไม่ดีเลย มันควรจะคิดให้ดีก่อน คิดให้รอบคอบก่อน
เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าการสื่อสารสำคัญที่สุด การทำอะไรต้องชัดเจน สติต้องสำคัญ อนาคตของเรา เราก็ยังอยากยืนอยู่ตรงนี้ เรายังอยากทำงานตรงนี้ และเราก็จะบอกน้องที่เราดูแลอยู่ตอนนี้ว่า เราจะรักษาน้ำใจ ถนอมความรู้สึกเขา”
ยังดูแลดาราอีก 2 คน เข้าใจหากไม่อยากอยู่กับตน
“ในส่วนของดาราที่เราดูแลอยู่ตอนนี้ เราก็ถามน้อง 2 คนที่เราได้ดูแลอยู่ตอนนี้ เราถามเลย และเราเข้าใจเลยว่าถ้าเขาไม่อยากอยู่กับเรา เพราะอะไร ถามเขาเลย เพราะจากที่ผ่านมาเราดูคนเยอะ อย่างคนที่เป็นข่าว แล้วเขาไม่เข้าใจเรา เราเข้าใจเลยว่าทำไมเขาไม่เข้าใจเรา อันนี้เราเคารพในการตัดสินใจของเขา แต่บางคนยิบย่อย ที่ไม่เกี่ยว แต่ทำไมต้องเอาไปพูดแบบนั้น”
“ส่วนลูกค้าที่เราจะเรียกความน่าเชื่อถือกลับมา เราต้องให้เวลาเป็นเรื่องตัดสิน เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าที่ผ่านมา เราทำอะไรให้เขาเห็นมาบ้าง เราต้องใช้เวลา เราเข้าใจ ว่ามันปากต่อปาก อีกอย่างเราเป็นผู้จัดการตัวเล็กๆ ซึ่งกับน้องที่เหลือ เราเปิดใจกับน้องๆ ที่อยู่กับเรา ให้เขาเลือกเลยว่าจะอยู่กับเราต่อไหม อยากให้เราทำงานด้วยกันไหม เขาตอบกลับมาว่า ทุกคนมีการพลาด ทุกคนคือมนุษย์ และหลังจากนี้เดินต่อไป อย่าพลาดอีก เขาให้กำลังใจเรา มันเริ่มต้นใหม่ได้ พลาดครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าจะตายไปเลย เรายังสามารถพัฒนา แก้ไขตัวเองได้”
“และการเริ่มต้นดูแลน้องสองคนนี้ เราไม่ได้ใช้ทฤษฎีเดิม เพราะถ้ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เราแจงอย่างชัดเจน ว่ามันมีอะไรที่ต้องจ่าย ร่วมควักไปด้วยกัน มีค่าใช้จ่ายอะไร เพื่อความสบายใจ ชัดเจนกันตั้งแต่เริ่มดีลงานเลย ซึ่งเราเป็นคนแบบนั้น เราชัดเจนมาตั้งแต่แรก และถ้าคนในอนาคตข้างหน้าที่จะเข้ามาให้เราดูแล มันจะชัดเจนมากขึ้น เราคงต้องเซ็นสัญญา การมีสัญญามันจะทำให้ทุกอย่างชัดเจน เกิดความไว้ใจกันมากขึ้น และถ้ามันมีอะไร มันจะชัดเจนในสัญญาเพราะมันจะมีเอกสารตัวนี้ยืนยัน และในพาร์ตของลูกค้าบางท่านก็จะเข้าใจ เพราะมันเป็นการทำงานในระบบบริษัท แต่ก็มีพี่ผู้ใหญ่หลายท่าน ที่เราก็ยังไม่มีโอกาสเข้าไปคุย เพราะยังไม่มีโอกาส ก็ต้องรอเวลา”
คิดถอดใจหันหลังให้วงการ แต่มีคนให้โอกาส
“ซึ่งย้อนกลับไป หลังจากเกิดเรื่องนี้ เราถอยแล้ว เราไปแล้ว ทิ้งทุกอย่าง ออกจากวงการเลย เราไม่คิดเลยว่าจะมีคนจะให้โอกาสเราอีก เราหันหลังให้วงการบันเทิง แต่เรายังได้รับโอกาสกับน้องที่ยังให้เราช่วยดูแลอยู่ มันทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น ยืนเพื่อพวกเขา ที่ยังให้กำลังใจเรามาตลอด”
“วันนี้ได้พูดในมุมของตัวเอง บางคนอาจจะไม่ถูกใจในกระบวนการทำงานของเรา แต่การไม่ถูกใจนี้ เราไม่สามารถให้เขามาถูกใจได้ มันอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน มันได้พูดในมุมนี้ เราไม่ได้โกงคนนะ ฉันไม่ได้โกงจริง แต่มันเกิดกระบวนการทำงานที่ไม่ได้สื่อสารที่เคลียร์ มันเลยทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นและทำร้ายความรู้สึกของเราด้วย”