“โน๊ต ชาคริยา” อดีตผู้จัดการ เปิดใจทั้งน้ำตา ช็อกคำสัมภาษณ์ “ลีเดีย” ทั้งที่คิดว่าเคลียร์กันเข้าใจแล้ว บอกไม่รู้ไปฟังใครมา พร้อมยันไม่เคยโกงเงินค่าตัว เป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน มีปรึกษาเรื่องกฎหมาย อยากปกป้องตัวเอง
กลายเป็นประเด็นไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากที่ “ลีเดีย ศรัณย์รัชต์ ดีน” ออกมาโพสต์ประกาศออกสื่อว่าขอยุติบทบาทการร่วมงานกับ “โน๊ต ชาคริยา สมุทรคีรี” อดีตผู้จัดการส่วนตัวที่ดูแลกันมาเนิ่นนานไปเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และตามติดมาด้วยนักแสดงอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, แอริน สิริภรณ์ ยุกตะทัต, แพรวา ณิชาภัทร ฉัตรชัยพลรัตน์, พลัสเตอร์ พรพิพัฒน์ พัฒนเศรษฐานนท์ ซึ่งทั้งหมดพึ่งพาผู้จัดการดาราคนเดียวกัน และเมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ลีเดีย ก็ควงสามี “แมทธิว ดีน” ออกมาเปิดเผยว่าตั้งแต่มีเรื่องจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับอดีตผู้จัดการเลย เพราะ
ล่าสุด โน๊ต ก็ได้ออกมาเปิดใจให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกหลังจากที่โพสต์โต้สิ่งที่ ลีเดีย-แมทธิว ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ โดยเขียนแคปชั่นว่า “เรายังไม่เคยได้นั่งคุยกันแบบพี่น้องจริงๆ เหรอคะ???” โดย โน๊ต ยืนยันว่าได้มีการนัดเคลียร์กันส่วนตัวกับลีเดียแล้ว สาเหตุทั้งหมดเกิดจากการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนเท่านั้น เพราะตนไม่เคยโกงใครเลยจริงๆ
“เอาจริงๆ เรามีการพูดคุยกันไปบ้างแล้ว แต่โน๊ตยังไม่ได้คุยกับพี่แมท (แมทธิว) ค่ะ แต่โน๊ตได้คุยกับน้องแบบส่วนตัว ครั้งแรกเราจะเข้าไปคุยที่บ้านเขา จะคุยแบบเครียดทั้งคู่ แต่วันนั้นยังไม่ได้คุยอะไรเลย และได้มีโอกาสมาคุยครั้งที่ 2 กับน้องสองคน เราอยากคุยกันแบบพี่น้อง เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องเรายังไม่ได้คุยกันเลย มันเป็นการได้รับสารมาจากโน่นนี่ มันทำให้ตัวน้องก็มีคำถามหลายๆ อย่าง เราก็เลยได้ไปนั่งคุยกัน เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ค่ะ ช่วง 11 โมง ที่ร้านอาหาร ในเซ็นทรัลอีสต์วิลล์
วันนั้นเราก็มีการปรับความเข้าใจกัน หนูก็ได้นั่งอธิบายแบบนี้แหละค่ะ ว่ามันเกิดอะไร ทำไม เราพลาดเรื่องการที่เราไม่ปรึกษาและไม่ได้บอก เกิดจากการสื่อสารของเราที่มันน้อยไป ไม่ได้คิดถึงระหว่างทาง เราแค่คิดไปถึงสุดท้ายจบ ฉันจะต้องปิดงานนี้ ฉันจะเอาให้ได้ ระหว่างทางเป็นยังไงฉันไม่รู้ สุดท้ายน้องฉันต้องได้งาน วันนั้นก็คุยกันหลายชั่วโมงอยู่นะคะ และก็ได้มีการเซ็นโอนหุ้นกลับไปให้น้องด้วย เพราะมีที่เราได้ทำธุรกิจร่วมกัน”
บอกรู้ก่อนที่อีกฝ่ายจะโพสต์ เพราะคุยกันแล้ว
“ถามว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่เราอธิบายไหม วันนั้นหนูก็คิดว่าระดับนึง เพราะจากการที่เราไม่ได้คุยกันเลย แล้วพอเรามาคุยกัน จะหวังว่าน้องจะเข้าใจวันนั้นเลยมันก็คงยาก เราต้องให้เวลาไปเรื่อยๆ แล้วให้เขาดู บรรยากาศวันนั้นมันอบอุ่นนะ หนูรู้สึกดีมาก จากที่ไม่ได้คุยกันตั้งแต่เดือน พ.ค. เริ่มมาคุยกันวันที่ 10 ก.ค. ก็เกือบ 3 เดือน แต่อารมณ์ตอนนั้นของเราคือดีใจ น้องโทร.มาเราก็ดีใจ จริงๆ เราอยากโทร.ไปมาก แต่ไม่รู้ว่าเขาอยากฟังเราไหม เขารู้สึกยังไง และเราก็ไม่กล้าจะไปอะไรมาก เราก็เลยรอเรื่อยๆ แต่ตอนที่น้องโทร.มา เราดีใจมากๆ จริงๆ หนูรู้สึกมันตื้นตัน มันโล่ง หนูได้คุยกับน้องแล้ว
ถ้าย้อนไปวันที่เกิดเรื่องเลย ตอนนั้นหนูอึ้ง หนูก็เลยไม่รู้ว่าจะตอบยังไง จะทำยังไงดีที่จะทำให้น้องเข้าใจเรา ก็เลยยังไม่พูดอะไรมากค่ะ แต่ที่น้องโพสต์หนูทราบอยู่ก่อนแล้วค่ะ เพราะมีการคุยกันก่อนว่าถ้ามันเกิดเรื่องราวแบบนี้ เราก็รับรู้ และเราก็เข้าใจจริงๆ แต่กับน้องๆ คนอื่นๆ มันก็เอ๋อเหมือนกัน อันนั้นยิ่งไม่ได้คุยกันเลย”
บอกไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนอธิบาย แต่ไม่ขอก้าวล่วง
“ถ้าสำหรับน้องเลย ความพยายามที่จะคุยก็คือครั้งแรกที่เราขอเข้าไปคุยกัน แต่เราก็ยังไม่ได้พูดคุยอะไรเลย เพราะพอมันเกิดเรื่องขึ้นเราต้องลุกขึ้นมาเพื่อดูทุกอย่างว่ามันคืออะไร เราเลยต้องใช้เวลาในการหาทุกอย่าง รื้อทุกอย่างว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราเลยขอเวลาตรงนั้นในการนัดเขาเพื่อจะพูดคุยอีกครั้ง แต่พอน้องโทร.มาก่อนและเราทำทุกอย่างเสร็จพอดี จังหวะมันพอดีมาก เราก็เลยขออนุญาตไปคุยกันก่อน แต่น้องคนอื่นมีการพูดคุยกันก่อนหน้านั้นแล้ว เพราะของคนอื่นมันน้อย คือเราเพิ่งดูแลกันมา 1-2 ปี
ถามว่าเราได้อธิบายไปแล้ว แต่สิ่งที่น้องยังไม่เข้าใจคืออะไร อันนี้เราอธิบายไม่ได้เลยว่าสิ่งที่น้องไม่เข้าใจคืออะไร แต่เรารู้ว่าน้องเสียใจ เราขอไม่ตอบอันนี้ เพราะมันเป็นความคิดของน้อง เราไม่อาจล่วงเกินไปตรงนั้นได้ เราแค่ยอมรับผลของมันดีกว่า แต่เรารู้ว่าน้องเสียใจเพราะเราไม่บอกความจริงเขาทั้งหมด นั่นคือการสื่อสารที่เราไม่บอก เพราะเราคิดว่าตรงนี้เป็นพาร์ตของบริษัทเรา เราก็เลยไม่เอาตรงนี้ไปบอกเขา เราคิดว่าในพาร์ตของเขา ในสิ่งที่เขาโอเคทุกอย่างแล้ว เราทำตรงนั้นเรียบร้อยแล้ว ก็ขอยืนยันว่าเราไม่เคยโกงเงินน้อง ไม่เคยโกงค่าตัวที่น้องตั้งมาค่ะ ไม่เคยโกงเลย”
ร้องไห้ บอกดีใจที่ได้เคลียร์กันวันนั้น เพราะคุยกันแบบพี่น้องจริงๆ แต่ล่าสุดกลับบอกว่าไม่ได้คุย
“บรรยากาศในวันที่คุยกันวันนั้นดีมาก หนูคิดเองนะ (หัวเราะ) คือหนูอยากเจอน้อง หนูรักน้องมาก เจตนาของหนูไม่เคยมีเจตนาไม่ดีกับน้องเลย หนูรักเขามากๆ จริงๆ (เสียงสั่น) แล้วพอเราทะเลาะกัน เราไม่ได้คุยกัน หนูก็ไม่รู้ว่าน้องไปรับฟังจากใคร หนูก็ไม่กล้าล่วงเกินว่าเขาไปรับฟังมาจากใครบ้าง เพราะอารมณ์คนเวลาได้รับสื่อสารมามันไม่สามารถจะเสถียรได้ หนูเข้าใจ หนูแค่รู้สึกว่าวันนี้แค่น้องมานั่งตรงนี้ แค่มารับฟังหนู ให้หนูได้อธิบายในพาร์ตนี้ น้องจะคิดยังไงต่อหลังจากนั้น เราไม่อาจล่วงเกินเขาไปได้ แต่แค่วันนี้หนูแฮปปี้มาก วันนั้นดีใจจริงๆ
น้องก็พูดกับเราปกติค่ะ น้องอยากรู้ว่าเหตุผลมันคืออะไร ทำไมมันถึงเกิดเรื่องนี้วะเจ๊ มันเกิดอะไร วันนั้นน้องก็เป็นน้องที่หนูรู้จักมา น้องเป็นน้องคนเดิมที่หนูรู้สึกว่าน้องรับฟังเหตุผล แต่หนูไม่รู้ว่าหลังจากนั้นมันเป็นการไปคิดยังไง ได้รับข่าวสารอะไรเข้าไปอีก เพราะตัวเราไม่ได้ออกมาพูดเลย มันก็หลายๆ คนเนอะ ความคิดหลายๆ คน หลายๆ อย่างมันอาจจะพาไปได้ แต่บรรยากาศวันนั้นมันเคลียร์ดีมาก คือเราเคลียร์ไปหมด ส่วนรีแอ็กที่เราเห็น เอาในความคิดเรานะ เรารู้สึกว่าน้องรับฟัง แต่เรื่องคำพูดของน้อง เราขอไม่บอกได้ไหมคะ เพราะมันเป็นการคุยกันในพาร์ตพี่น้อง แต่เรารู้สึกว่าเราดีมาก”
ถามว่าน้องเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการสื่อสารไหม น้องเข้าใจแหละ คือเขารับฟังเรา แต่พอสัมภาษณ์ครั้งล่าสุดมันออกมาอย่างนั้น หนูก็ช็อก มันทำให้หนูรู้สึกว่า อ้าว แล้ววันนั้นที่เราคุยกันล่ะ หนูรู้สึกดีมากนะ หนูคิดว่าน้องจะเข้าใจ หรือพอจะเข้าใจในพาร์ตเราบ้าง แต่พอน้องพูดออกมาอย่างนั้นหนูก็เอ๋อสิ ในอีกทางนึงมันทำให้คนอื่นเห็นว่ามึงเป็นคนยังไงเนี่ย ทำไมมึงไม่เดินไปคุยกับเขา มึงยังลอยหน้าลอยตาทำงานอยู่อีกเนอะ มันเลยกลายเป็นคำนั้นแหละที่มันจิ้มในหัวใจเรา และมันก็จิ้มอีกว่าสำหรับน้องบางคนที่ยังให้เราดูแลงานอยู่ คนก็จะไปพาดพิงถึงพวกเขาอีกว่ามึงใช้คนประเภทนี้ได้ยังไงเนี่ย ยังใช้เขาอยู่อีกเหรอ เขายังเดินลอยหน้าลอยตา หนูเลยรู้สึกว่าวันนี้หนูขออนุญาตมาพูดในมุมของเรา เพื่อที่จะปกป้องคนที่เขายังให้โอกาสเราได้ทำงานอยู่ตรงนี้ด้วย”
รับมีการปรึกษาทนายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่แค่ทำในระบบบริษัท ไม่รู้อีกฝ่ายจะดำเนินคดีหรือไม่
“ถามว่าน้องจะดำเนินคดีทางกฎหมายไหม อันนี้สำหรับเขา เราไม่รู้ค่ะ แต่สำหรับเรา กระบวนการทางเราคือรื้อทุกอย่าง ทั้งตัวเอกสาร ทั้งทุกอย่าง เพราะเราใช้ทีม เรามีคน มันคือระบบบริษัท เราต้องสั่งรื้อทั้งหมดขึ้นมา แล้วก็นั่งดูว่ามันคืออะไร เพราะพอเรารับงาน ทำงานเสร็จเราก็ปล่อย มีคนมาสานต่อจากเรา ตัวเราก็ไปงานอื่นต่อแล้ว หนูก็เลยรื้อขึ้นมาทั้งหมด และไม่ใช่รื้อแค่ของน้องคนเดียว เรารื้อของทุกคน และน้องๆ คนอื่นมีไปพูดคุยกันแล้ว มีการเอาทุกอย่างไปให้ดูบ้างแล้ว และน้องบอกว่าอยากได้รายละเอียดเพิ่มมากขึ้น เราก็เลยไปหาเอกสารให้เพิ่มมากขึ้น
เรื่องกระบวนการทางกฎหมายสำหรับเขา เราไม่รู้เลยค่ะ แต่สำหรับทางเรามีที่ปรึกษาว่าเราทำแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นยังไงบ้าง เพื่อเราจะได้ปกป้องตัวเราเองด้วย เรามีปรึกษาค่ะ ถามว่าตั้งรับไหม มันคือกระบวนการของบริษัท มันเลยต้องมีจุดนี้เข้ามาอยู่แล้ว เพราะอยู่ๆ จะไปสั่งรื้อเขามันก็ไม่ได้ เราก็ต้องมีการปรึกษาว่าเราจะรื้อยังไง ทำยังไง เพื่อให้มันได้ข้อมูลออกมาทั้งหมด คือคำว่าโกงของเรามันต้องไม่ให้เงินเขา ต้องเชิดเงินไปเลย จ่ายไม่ตรง เบี้ยว ถ่วงวัน ไม่ยอมจ่ายสักทีโน่นนี่นั่น ซึ่งไม่มีกับเรา เพราะที่ผ่านมาเราจ่ายตรง จ่ายก่อนด้วย จ่ายตรงตามที่คุยกันไว้”
ยืนยันหัก 15% เท่านั้น พร้อมยืนยันด้วยหลักฐานถ้าต้องการ
“หักแค่ 15% ค่ะ แต่นอกเหนือจากนั้นคือการจัดการที่เราจ้างทีมงานเข้ามา แต่น้องไม่รู้ตรงนี้ ว่านอกจากที่หัก 15% จากค่าตัวน้อง ตามที่น้องตั้งมาตั้งแต่แรก ซึ่งถ้าน้องจะฟ้องเรา เราไม่สามารถไปห้ามน้องได้ เพราะมันเป็นสิทธิ์ของน้อง ซึ่งถ้าน้องเองหรือว่าน้องๆ คนอื่นๆ อยากรู้ที่มาของรายได้ เราสามารถมีเอกสารมายืนยันได้ รวมไปถึงค่าซัปพอร์ต หรือค่าเมเนจเมนต์ ที่เงินตรงนี้เข้ามาบริษัท เพื่อไปใช้จ่ายใดๆ ในการซัปพอร์ตทีมงาน ที่ไปดูแลในแต่ละงาน ซึ่งวันนั้นที่คุย ก็ถามน้องแหละ ว่าจะฟ้องไหม น้องบอกก็อยากฟ้องแหละ แต่ด้วยความรักที่มีให้กันมานาน แต่ถ้ามันเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น เราก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ
ถามว่าบวกค่าเมเนจเมนต์เยอะกว่าปกติหรือเปล่า ไม่เยอะค่ะ เพราะถ้าเยอะ ลูกค้าก็ไม่โอเคตั้งแต่แรกแล้ว ถ้า 1 เท่าตัว หนูก็รวยไปแล้ว ลูกค้าก็ทุบไปแล้ว ซึ่งในเคสนี้ถ้าตัวน้องเข้าใจในการทำงานแบบนี้ก็อยากให้จบแบบดีๆ ตามความรักที่เรามีมาให้ตลอด จริงๆ ไม่เคยคิดไม่ดีเลย แต่มันเป็นเพียงจุดการทำงานตรงนี้ จนทำให้เราต้องทำงานให้ออกมาเป็นแบบนี้ ถามว่าโอกาสจะกลับมาร่วมงานไหม มันเป็นอนาคตค่ะ แต่หนูยินดีเสมอ ยินดีช่วยเหลือน้อง หรือเจอกันก็ได้ เรายังเป็นพี่คนเดิมเสมอ”