อายุอานามปาเข้าไป 30 ปีเต็มแล้วใน พ.ศ.นี้ สำหรับหนังเรื่อง The Mask แต่ถึงอายุจะ 30 ก็เป็น 30 ที่ยังแจ๋ว หยิบมาดูตอนนี้ก็ยังสนุกกินขาด
The Mask หรือชื่อไทยเท่ ๆ ว่า “หน้ากากเทวดา” เข้าฉายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1994 และเป็นหนังที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์น่าจดจำหลากแง่หลายมุม
อันดับแรกสุด ก็คงเป็นตัวดารานำฝ่ายชายที่ได้จิม แคร์รีย์ มารับบทพระเอก ซึ่งในปีนั้นต้องบอกว่าเป็นปีทองของจิม แคร์รีย์ ก็ว่าได้ เพราะมีผลงานเข้าฉายมากถึง 3 เรื่องและประสบความสำเร็จทุกเรื่อง ทั้ง Ace Ventura: Pet Detective (นักสืบซุปเปอร์เก๊ก) ที่ถือเป็นผลงานแจ้งเกิดของจิม แคร์รีย์ ตามมาด้วย The Mask (หน้ากากเทวดา) ที่ส่งให้ชื่อเสียงของจิมโด่งดังเป็นพลุแตก ก่อนจะตอกย้ำความเป็นดาราดาวตลกอีกครั้งในเรื่อง Dumb and Dumber (ใครว่าเราแกล้งโง่)
เฉพาะปีนั้นปีเดียว ในแง่รายได้ เขาฟันค่าตัวไปสูงถึง 450,000 เหรียญสหรัฐ และในแง่ความนิยม เขาก้าวขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์นักแสดงหนังตลกที่ครองใจมหาชนคนดูมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ขณะเดียวกัน The Mask ยังเป็นงานแจ้งเกิดของดาราสาวสวยเซ็กซี่อย่าง “คาเมรอน ดิแอซ” ที่ผันตัวมาจากเส้นทางสายแฟชั่นและชิมลางด้วยการได้เล่นหนังคู่กับจิม แคร์รีย์ ซึ่งต้องบอกว่าเคมีเข้ากันดีมาก ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ชีวิตบนเส้นทางนักแสดงของเธอเฉิดฉายแจ่มจรัส
ด้วยคุณสมบัติระดับนางแบบตัวแม่ที่เพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติเสริมด้วยทักษะด้านการแสดง คนดูต่างยกนิ้วให้ และเชื่อว่าผู้ชายแทบทั้งหมดก็คงหลงใหลและเริ่มหลงรักคาเมรอน ดิแอซ ตั้งแต่หนังเรื่องแรกของเธอนี้ หลายคนคงจำฉากเปิดตัวในธนาคารตอนเธอนั่งคุยกับสแตนลีย์ อิปคิส (จิม แคร์รีย์) ได้
ฉากนั้น คาเมรอน ดิแอซ ดูเซ็กซี่เร้าใจจนอิปคิสทำอะไม่ถูก โดยเฉพาะจังหวะหนึ่งซึ่งเธอยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างต่อหน้าจิม แคร์รี่ ที่ชวนให้นึกไปถึงช็อตยกขาขึ้นไขว่ห้างอันลือลั่นของชารอน สโตน ในหนังเรื่อง Basic Instinct ปี 1992 เพียงแต่คาเมรอน ดิแอซ รักษาระดับไว้ที่เซ็กซี่แบบพอดีพองาม ไม่มีอะไรโผล่แพลมสะกิดสายตาคนดูให้ต้องกด Pause เพื่อดูอีกครั้งให้แจ่มชัดอย่างในเรื่อง Basic Instinct
นอกจากนั้นแล้ว ฉากแสดงโชว์การเต้นในคลับก็เป็นอะไรที่ต้องบอกว่า สวยสะกดทุกสายตา ด้วยเสน่ห์เย้ายวนชวนให้ใจละลาย แม้แต่บุรุษใต้หน้ากากยังตาถลนออกมานอกเบ้าแถมลิ้นห้อยยาวเฟื้อยเพราะต้องมนต์สะกดในความสวยสง่าที่แสนเพอร์เฟกต์นั้น...
อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งความทรงจำสำหรับคนดูหนังเรื่องนี้ในเวอร์ชั่นพากย์ไทย ก็คงไม่มีใครลืมลีลาการพากย์เสียงของ “อาโอ๊ต-จักรกฤษณ์ หาญวิชัย” ที่ทำให้คนดูรู้สึกอินกับตัวละครของจิม แคร์รีย์ ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งน้ำเสียงตอนที่ไม่สวมหน้ากากกับตอนที่สวมหน้ากาก โดยเฉพาะตอนที่สวมหน้ากากแล้วเปลี่ยนจากคนเฉิ่ม ๆ เป็นบุรุษหนุ่มที่มั่นอกมั่นใจ เฟี้ยวฟ้าวและขี้เล่นแบบกวนบาทาอย่างที่สุด
นั่นจึงไม่แปลกแต่อย่างใด หากใครหลายคนจะยกให้ผลงานการพากย์เรื่องนี้ของอาโอ๊ตเป็นอีกหนึ่งมาสเตอร์พีซของหนังตลกพากย์ไทย และอันที่จริง แทบจะกล่าวได้ว่า อาโอ๊ตยึดครองเสียงพากย์จิม แคร์รีย์ อย่างเบ็ดเสร็จ จิม แครีย์ มีหนังในปีนั้น 3 เรื่อง อาโอ๊ตก็เป็นผู้รับบทพากย์เสียงไทยทั้งหมด และจากนั้นก็ครองการพากย์เสียงจิม แครีย์ เรื่อยมา รวมทั้ง The Truman Show ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอีกหนึ่งเดอะเบสต์ด้านงานพากย์ของอาโอ๊ต
The Mask พาเราไปทำความรู้จักกับหนุ่มพนักงานธนาคารที่ชื่อว่า “สแตนลีย์ อิปคิส” (จิม แคร์รีย์) โดยคาแร็กเตอร์ของเขาดูเป็นพวกอันเดอร์ด็อกที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น เป็นผู้ชายแสนดีที่หญิงสาวไม่รัก ขาดความมั่นอกมั่นใจตัวเอง และมักจะยอมให้คนอื่นเสมอ เรียกว่าไม่กล้าแม้แต่จะประกาศความปรารถนาหรือความในใจของตนเองออกมาจริง ๆ จนกระทั่งเขาได้พบกับ “หน้ากาก” ใบหนึ่งซึ่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปราวกับเป็นคนละคน
บนโปสเตอร์หนัง เขียนคำว่า From Zero to Hero ตีความหมายง่าย ๆ คือ จากคนกระจอก ๆ กลับกลายเป็นฮีโร่ เรื่องราวของอิปคิสก็เป็นเช่นนั้น แต่เขาไม่ใช่ฮีโร่แบบปกติทั่วไปที่ต้องดูสมาร์ทหรือเนี้ยบในทุกอิริยาบถ หากแต่เป็นฮีโร่ที่พอจะพูดได้ว่า “ฮีรั่ว” ก็ว่าได้ เพราะเขาคือฮีโร่สายฮาที่มีอะไรให้หัวเราะทุกครั้งที่สวมหน้ากาก
The Mask เป็นหนังตลกที่เขียนบทออกมาได้มีความน่าสนใจและชวนให้ติดตาม บทหนังมีการเรียบเรียงอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ให้ได้เห็นพัฒนาการของตัวละคร และความซับซ้อนทางความรู้สึกและจิตใจ ทำให้คนดูคล้อยตาม เห็นอกเห็นใจ เอาใจช่วยให้ตัวละครลงเอยด้วยดี
ทั้งนี้ อีกแง่มุมที่น่าเอ่ยถึงคือการที่หนังมีการหยิบแง่มุมเชิงจิตวิทยาเข้ามาใส่ได้อย่างสอดคล้องกับสิ่งที่เป็นองค์ประกอบหลัก นั่นก็คือหน้ากาก อย่างในฉากต้นเรื่อง ขณะที่สแตนลีย์ อิปคิส ต้องเปลี่ยนช่องทีวีจากการ์ตูนเพราะคุณป้าเจ้าของบ้านตะโกนด่าว่าอย่าเปิดการ์ตูนเสียงดัง เขาเปลี่ยนช่องไปเจอรายการทีวีที่กำลังสัมภาษณ์ด็อกเตอร์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือชื่อว่า “หน้ากากที่เราใส่”...
“ดอกเตอร์นูแมนคะ คุณจะบอกว่าทุกคนใส่หน้ากากงั้นเหรอ?” พิธีกรหญิง โยนคำถามให้กับแขกรับเชิญ
“ใช่ครับ” ด็อกเตอร์อาเธอร์ นูแมน ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าจะพูดในเชิงเปรียบเทียบ เราทุกคนล้วนใส่หน้ากาก เราข่มอัตตา ความปรารถนาอันดำมืดของเราไว้ และรับเอาภาพลักษณ์ที่สังคมยอมรับมากกว่าไว้”
คำตอบของด็อกเตอร์นั้น เมื่อเราดูหนังไปเรื่อย ๆ เราก็จะพบว่า มันมีส่วนเกี่ยวโยงกับเนื้อหาที่หนังต้องการนำเสนออย่างกลมกลืน เช่น หน้ากากใบนั้นเมื่อสวมใส่แล้วจะเปิดเผยตัวตนส่วนที่อำพรางไว้ของมนุษย์ให้แสดงออกมา อยู่ที่ว่าแรงปรารถนาเบื้องลึกของคน ๆ นั้นเป็นเช่นใด ถ้าเกรี้ยวกราดเป็นทุนเดิม ใส่หน้ากากเข้าไปก็จะยิ่งดุร้ายรุนแรงยิ่งขึ้น อย่างนี้เป็นต้น
นอกจากนั้น เชื่อว่าสิ่งที่ทำให้หลายคนรู้สึกนิยมหนังเรื่องนี้ก็เพราะมันพูดถึงการมีชีวิตใหม่หรือตัวตนใหม่ที่แตกต่าง เช่นเดียวกับอิปคิสที่ชีวิตรายวันของเขาดูเหมือนจะมีแต่เรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่เมื่อได้หน้ากากมาสวมใส่ ก็กลายเป็นเติมสีสันชีวิตชีวาให้อย่างมหัศจรรย์ แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายแล้ว ประเด็นที่หนังจะสื่อสารกับคนดูก็คือ ความรักในตัวตนที่แท้จริงของตัวเราเอง มันอาจจะดูไม่หวือหวาหรือดูหรูหราที่สามารถทำให้โลกฮือฮาอะไร แต่มันก็คือตัวตนที่ดีที่สุดในเวอร์ชั่นของเราเอง
ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายแล้วสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ความสนุกที่พร้อมเสิร์ฟคนดูตลอดความยาวเกือบสองชั่วโมง ทุกองค์ประกอบมันตรึงเราอยู่หมัด ไม่เว้นแต่น้องหมาที่ชื่อว่าแม็กซ์ ซึ่งรับบท “ไมโล” หมาน้อยแสนรู้ของอิปคิส เป็นอีกหนึ่งความน่ารักของหนังเรื่องนี้ แถมแสดงดีมาก เข้าฉากทีไร ได้ใจคนดูผู้ชมทีนั้น ขณะที่ผู้กำกับ “ชัค รัสเซลล์” ยอมทุ่มจ่ายค่าจ้างให้กับเจ้าแม็กซ์สูงถึงสัปดาห์ละ 2,000 เหรียญเลยทีเดียว
ในวาระที่หนังเรื่องนี้อายุครบ 30 ปี จะว่าไปก็เหมาะสมดีที่จะดูหนังเรื่องนี้อีกครั้งสำหรับคนที่ดูแล้ว หรือสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อาจจะยังไม่เคยดู ก็อยากให้ได้ดู หรือจะควบรวมไปเลยทั้งสามเรื่องของจิม แครีย์ ที่ออกฉายในปีเดียวกันนั้นเลยก็ได้ ซึ่งจะทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า เพราะอะไร พระเอกคนนี้ถึงเป็นดาราตลกขวัญใจมหาชน ครองใจผู้ชมมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน
*หมายเหตุ : หนังเรื่องนี้มีให้รับชมทาง Netflix