“ต๊ะ บอยสเก๊าท์” ตัดสินใจ ปล่อย “วิญญาณโจ” เป็นอิสระ หลังจากรั้งมา 7 ปี เผยได้เชิญวิญญาณโจมาขึ้นคอนเสิร์ต เกิดปาฏิหาริย์โจอยู่ในร่างต๊ะ ทำให้คิดได้ว่า ไม่ควรรั้งให้เป็นห่วง จึงนำโกศอัฐิไปคืนพี่สาวโจ
กลายเป็นคลิปไวรัลเลยทีเดียว สำหรับคลิปที่ “ต๊ะ บอยสเก๊าท์“ วินรวีร์ ใหญ่เสมอ นำโกศอัฐิของ “โจ บอยสเก๊าท์” ธเนศ ฉิมท้วมไปคืนให้กับพี่สาวของโจ หลังจากเก็บไว้ที่หิ้งพระที่บ้านเป็น 7 ปีตั้งแต่โจเสียชีวิต โดยเจ้าตัวบอกว่า ที่เก็บไว้เพราะตนเป็นคนตักบาตรและปฏิธรรม จะได้ทำให้กับโจทุกวัน แต่เมื่อคอนเสิร์ตใหญ่ที่ผ่านมา สัมผัสได้ว่า โจแฝงอยู่ในตนเองขณะเล่นคอนเสร์ต ทำให้คิดได้ว่า ควรจะปล่อยโจไปได้แล้ว จะได้ไม่ต้องมีห่วงวนเวียน
“ก็ไม่คิดว่าจะเป็นไวรัลขนาดนั้น เพราะจริงๆ แล้วตั้งแต่โจตาย ผมก็ขอทางญาติๆ เขาว่า เก็บกระดูกไว้ให้ผมชุดนึง ที่เหลือก็เอาไปลอยอังคารหมดเลย ผมก็เก็บไว้ที่บ้านด้วยเจตนาอย่างเดียว ก็คือผมเป็นคนที่ตื่นเช้าและไปใส่บาตร กลับมาก็นั่งปฏิบัติธรรมที่หน้าหิ้งพระ ที่เอาโกศโจมาก็เอามาไว้ที่หิ้งพระ เราจะได้เจอกับเขาในทุกๆ วัน เพราะเราห่วงว่าชีวิตหลังความตายของเขา เขาจะพกบุญบารมีไปมากน้อยแค่ไหน เขาจะต้องเจออะไรบ้าง สิ่งที่เราทำได้ก็คือนั่งทำบุญและอุทิศให้เขาในทุกๆ วัน เราต้องการแค่นั้น ซึ่งก็ไม่ได้มีแค่โจคนเดียว ยังมีพ่อแม่เราที่เสียชีวิตไปแล้วด้วย เหมือนเป็นการปลอบใจตัวเอง เหมือนเขายังอยู่กับเราในทุกๆ วัน”
“จนเมื่อคอนเสิร์ตมีตติ้งล่าสุด เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ คือเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกที่ไม่มีโจ บอยสเก๊าท์ ก่อนจะเล่นคอนเสิร์ต ที่งานก็จะมีโต๊ะไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ผมก็ไปจุดธูปและเชิญวิญญาณเขาให้มาสถิตในตัวผม เพื่อที่จะเล่นคอนเสิร์ตด้วยกัน ซึ่งวันนั้นผมรู้สึกได้เลยว่า ผมมีพลังงานในการเล่น สมาธิในการเล่นของผมดีมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าจากการที่เราไปเชิญเขามาหรือเปล่า แต่เหตุการณ์เหนือธรรมชาติคือ แม่ยายผมก็รู้จักโจ เพราะโจเคยอยู่บ้านผมมาเป็นปี วันนั้นแม่ยายผมก็มาเล่าให้ฟังหลังจากจบคอนเสิร์ตแล้ว คือเขานั่งอยู่ในบล็อกวีไอพี ซึ่งก็ไกลพอสมควรนะ เห็นไม่ชัดหรอก เขาเห็นผมใส่หมวกคาวบอยที่โจใส่ตอนเสียชีวิต เขาก็ขยี้ตา แล้วมองดูอีกที ก็เห็นเป็นผมเหมือนเดิม ผมก็ขนลุกเลย”
“ซึ่งหลังจากคอนเสิร์ตนั้นทำให้ได้คิดว่า ถ้าเรายังรั้งเขาอยู่อย่างนี้ เขาอาจจะยังวนเวียนอยู่ในความห่วง ไม่สามารถไปในที่ที่เขาควรจะไป หรืออยากจะไปได้ ผมก็เลยตัดสินใจว่าเอาเขากลับบ้านที่บ้านเกิดดีกว่า เพื่อให้เขาได้กลับไปอยู่ที่ธรรมชาติของเขา“
“ตอนนี้ก็ยังทำใจไม่ได้ครับ ไม่ใช่เรื่องที่ทำใจได้ง่ายๆ ในชีวิตผมที่หนักที่สุดคือตอนคุณแม่เสียชีวิต กับโจเสียนี่แหละ การที่เราสื่อสารกับเขาทุกๆ เช้านี่แหละเป็นการเยียวยาความรู้สึกของเรา แต่แม่งไม่เคยมาหาเลย ก็อีก 2 เดือนกว่าถึงจะครบ 7 ปีที่เขาเสีย ก็คือวันที่ 10 พ.ย. ซึ่งเป็น 2 คนที่เสียชีวิตแล้วที่ผมไม่กลัวนะ ก็คือแม่กับโจ ผมก็เชิญให้มาให้เห็นหรือสื่อสารให้เรารู้หน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง ด้วยความห่วงของเรานี่แหละ“
”ก็อยากขอบคุณที่ทำให้ผมได้รู้ว่าคุณค่าของคำว่าเพื่อนมันมีค่ากับชีวิตเรายังไง ขอบคุณทุกอย่างที่ดูแลเรามาโดยตลอด ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ขอบคุณที่ให้โอกาสผมได้เป็นเพื่อนเขา (น้ำตาไหล) เพราะโจไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนเขา โลกนี้มีคนเดียว คือถ้าอยู่กับโจ ผมจะมั่นใจได้เลยว่า ถ้าผมพุ่งไปตรงนี้หรือผมกระโดดไปตรงนี้ ผมจะมีเพื่อนอีกคนโดดตามมาด้วย เวลาไปไหนต่อไหนผมจะเลือกเป็นคนขับรถ ส่วนเขาก็จะเป็นบัดดี้เรา ผมขยับตัวเขาก็จะรู้แล้วว่าผมต้องการจะเอาอะไร ต้องการจะทำอะไร เรียกว่ารู้ใจมากที่สุด เป็นคนที่พร้อมที่จะซัพพอร์ตเราตลอดเวลา เราอยู่ด้วยกันมามีทั้งผมช่วยเหลือเขา เขาช่วยเหลือผม อยู่กันไปอย่างนี้เหมือนญาติคนนึง ยิ่งกว่าญาติ เพราะญาติที่เรามีอยู่จริงๆ ก็ห่างเหิน แต่โจเป็นอะไรที่ไม่ใช่ญาติ แต่มากกว่าเพื่อน”