“ไข่มุก ปัณณรัตน์” หรือ “ไข่มุก วงพริกไทย” จากนักร้องสู่ตัวแทนนางสาวไทยจังหวัดแพร่ 2568 ก้าวข้ามครหาซื้อมงฯ นางสาวไทยแพร่ส่งตัวเองเข้าประกวด บอกไม่ใช่เรื่องใหม่และแปลก ถือเป็นการซื้อโอกาสให้ตัวเอง เพื่อต่อยอดช่วยเหลือคนอื่นได้ มองนางงามและการเมืองเชื่อมโยงกัน อย่าเบื่ออย่าท้อการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน
เปิดตัวแล้วกับตัวแทนนางสาวไทยจังหวัดแพร่ 2568 “ไข่มุก ปัณณรัตน์ พนิตสิรินันท์” หรือนักร้องสาว “ไข่มุก วงพริกไทย” ที่จะเป็นตัวแทนไปประกวด นางสาวไทย 2568 เจ้าตัวเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่ไม่ได้มีดีเเค่หน้าตา แต่ความสามารถยังหลากหลายเป็นที่น่าจับตามอง เธอเป็นทั้งนักร้อง ผู้บริหารค่าย ลงสมัคร สส. บิวตี้บล็อกเกอร์ นักเขียน นางงาม นักธุรกิจ ซึ่ง ไข่มุก ได้เล่าถึงชีวิตและแพชชั่นของเธอต่อเวทีนางงาม และอนาคต
“มุกจบเอกการร้องเพลงจาก จุฬาฯ เริ่มเป็นเด็กฝึกที่แกรมมี่ แล้วมีโอกาสได้เจอกับโปรดิวเซอร์อาร์เอส มุกก็มาแทน พี่เบนซ์ พริกไทย เพราะพี่เขาอยากจะไปมีครอบครัว ก็เป็นมุกที่เข้ามาร้องแทน ซึ่งสุดท้ายเราตัดสินใจกันว่าจะเปิดค่ายเปิดช่องกันเอง ก็คือ Mellow me ณ ตอนนั้นมีมุก กับพี่โปรดิวเซอร์ มุกทำเพลงมาเรื่อยๆ นะ มีเพลงฮิตอย่าง รักสามเศร้า, ใหม่ๆ ก็รัก , เวรกรรม, อย่าให้รัก ที่มียอดดู 30 ล้านวิว เป็นต้นค่ะ ก็ช่วยกันคิดช่วยกันสร้างค่ายขึ้นมา แฟนคลับก็จะมีหลายเจน เขาจะตามวงพริกไทยกันมาตั้งแต่แรกๆ นอกจากพริกไทยแล้วก็ยังมีศิลปินท่านอื่นๆ ที่มีความฝันเหมือนๆ กัน
หากไม่ได้เป็นนักร้องก็อยากจะเดินทางสู่เส้นทางการเมืองและการปกครอง
“ถ้ามุกไม่เป็นนักร้องก็คงจะเรียนรัฐศาสตร์ไปแล้ว การเมืองเริ่มจากคุณพ่อก่อนเลย ด้วยคุณพ่ออยู่ในแวดวงนิติศาสตร์ ตอนนั้นอายุย่างเข้า 26 ปี สามารถลงสมัครผู้แทนราษฎรได้ ผู้ใหญ่ทางคุณพ่อก็ชักชวน ให้โอกาสเรามา พอตัดสินใจว่าจะทำสิ่งนี้แล้ววันรุ่งขึ้นเราก็ลุยลงพื้นที่เลย 3-4 เดือน ก็ถือว่าลงทำการบ้าน ลงพื้นที่พบปะประชาชน เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ด้วยความที่เราเป็นน้องใหม่ ทุกอย่างต้องเรียนรู้หมดเลย กฎหมายมีอะไรบ้าง ต้องทำอะไรยังไง ต้องศึกษาและลงมือทำเองทั้งหมด
การที่ได้เข้ามาลงสนามการเมือง มันทำให้เราตกผลึกได้ว่าทุกอย่างบนโลกนี้คือการเมืองหมด ชีวิตนอกบ้านคือการเมืองทั้งหมด ขับรถ เติมน้ำมัน ซื้ออาหาร แม้แต่ในบ้านเองก็คือการเมือง การเมืองคือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ไม่อยากให้ทุกคนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่มองการเมืองเป็นเรื่องน่าเบื่อ อยากให้มองว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน”
แม้จะเป็น สส. สอบตก แต่หากมีโอกาสก็อยากจะกลับไปทำงานรับใช้ประชาชน
“พอได้ลองทำก็รู้สึกว่าชอบที่จะทำ มีความสุขทุกเช้าที่ได้ตื่นไปเจอผู้คน รับฟังปัญหาของชาวบ้าน รู้สึกชอบในการได้พูดคุยกับชาวบ้าน มุกมองว่าอาชีพนักการเมืองสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมและช่วยเหลือผู้คนได้ด้วยการเสนอกฎหมาย มุกรู้สึกว่าตัวเองพอจะมีกำลังทำได้ก็ควรที่จะทำ เราจะให้ลุงๆ ป้าๆ มาทำไม่ได้ ถ้ามีโอกาสมาถึงมือเราก็ต้องเข้ามาช่วย
ตอนนี้มุกรู้สึกว่าคนรุ่นใหม่อย่างมุกถูกปิดกั้นเสียเหลือเกิน แต่มุกจะไม่ท้อ มุกอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง ทุกคนไม่ว่าจะเกิดมายากดีมีจนเรากำหนดไม่ได้ มุกเชื่ออยู่เสมอว่าเรายังมีอำนาจ เราเกิดมาพร้อมกับอำนาจที่เราควบคุมได้ ถ้าเราอยากจะเปลี่ยนแปลง เราต้องเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง นั่นคือการเลือกตั้งค่ะ ถ้าเราอยากจะชนะอำนาจที่ไม่ยุติธรรมเราจะต้องจรดปากกาของเราเลือกคนที่เราคิดว่าจะช่วยเหลือประเทศนี้ได้ ถ้าเราพร้อมใจเลือกกันอย่างถล่มทลาย มุกเชื่อว่าเราจะช่วยเหลือประเทศนี้ได้ค่ะ
ตอนนี้เขาพยายามจะทำให้เราท้อแท้ อาจจะเป็นทริคอะไรบางอย่าง เราอย่าไปท้อ จงตั้งมั่นเข้าไว้ สักวันหนึ่งจะเป็นของเรา อย่างการที่มุกเข้ามาประกวดนางสาวไทย มุกก็มองว่ามันเป็นโอกาสอย่างหนึ่ง เพราะเราได้พื้นที่ที่จะสื่อสารอะไรต่างๆ เพื่อสังคม”
การพาตัวเองเข้าสู่วงการนางงาม เป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดการเดินทางในเส้นทางการเมือง
“นางสาวไทยเป็นสิ่งที่อยู่ในใจมุกอยู่แล้ว รู้สึกว่าถ้าเกิดมีโอาสสักครั้งในชีวิตก็อยากจะทำ เพราะเขารับถึงอายุ 27 มุกก็อายุ 27 ก็คือโค้งสุดท้ายของมุก ถึงมุกจะไม่ได้มงฯใหญ่ อย่างน้อยการมีสเปซให้เราได้สื่อสารเพื่อที่จะช่วยเหลือผู้คนได้ มุกมาเพื่อสิ่งนี้ มุกว่ามันเชื่อมโยงกัน นางสาวไทยเป็นพลังของผู้หญิง เราสามารถที่จะเป็นกระบอกเสียงของผู้หญิงได้ คิดว่าสิ่งที่เราจะทำทุกอย่างมันมีจุดเชื่อมโยงหมดเลย ก็เลยตัดสินใจเข้าประกวดนางสาวไทย
ก่อนหน้านี้ไปชิมลางเวทีมิสแกรนด์ ไม่เคยคิดที่จะเป็นนางงามเลย แต่ในเมื่อมีคนชักชวนก็ลอง แล้วก็ได้เป็นมิสแกรนด์สระแก้ว ได้รอง 1 มาครอง แต่เวทีมิสแกรนด์จะเป็นบริบท จะเป็นเสน่ห์อีกสไตล์นึง ตอนนั้นพอได้รองจังหวัด มุกไม่ได้ลงประกวดต่อ ด้วยความที่เราไม่ได้เตรียมตัวอะไร ไปเพราะมีคนชักชวน ไม่ได้ตั้งใจจะไปตั้งแต่แรก ก็ไปลองแล้วก็ได้รอง 1 มา ฟีลตอนนั้นคือเราเหมือนมาลองชิมรางดูว่าเวทีนางงามเป็นยังไง เราตั้งมั่นไว้ว่าถ้าได้มงฯใหญ่จะไปต่อ แต่ถ้าไม่ได้ก็กลับมาทำเพลง มุกก็กลับมาทำเพลงต่อ ไปเติมความรู้ เข้าร่วมเสวนาเกี่ยวกับเวทีของผู้หญิง”
ได้ลองซึมซับช่วยงานเบื้องหลังเป็นพีดี มิสแกรนด์ กลายเป็นจุดเปลี่ยน รู้ตัวอยากลงประกวดอีกครั้งในเวทีนางสาวไทย
“เรียกว่าไปช่วยเพื่อนค่ะ เพราะทำกันหลายคน เรียกว่าไปศึกษาเบื้องหลังจากงานของเพื่อนมากกว่า ซึ่งมันกลับทำให้เรามีความรู้สึกว่าฉันอยากจะประกวดอีก มุกรู้สึกว่าตอนนี้บริบทและมิติของการเป็นนางงามเปลี่ยนไป นางงามเป็นอีกหนึ่งอาชีพแล้ว ไม่ใช่มาประกวดเสร็จ ได้เงินแล้วจบกลับบ้าน แต่มันสามารถต่อยอดอาชีพให้กับผู้หญิงคนหนึ่งได้ สมัยนี้นางงามเหมือนเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ผู้หญิงอยากจะมีอาชีพนางงาม อยากจะเอาตรงนี้มาต่อยอดไปทำอย่างอื่นต่อ เช่น ไลฟ์สดขายของ ติดตระกร้าในติ๊กต่อก ออกงานทำคอนเทนต์ เป็นต้น มุกมองว่าเป็นเรื่องที่ดีนะคะ แต่มันก็ไม่ได้ได้มาง่ายๆ ต้องมุ่งมั่นตั้งใจ
ด้วยเราชอบลงพื้นที่ อยากทำอะไรเพื่อสังคม เลยคิดว่าเวทีนางสาวไทยตอบโจทย์ ก็เลยเบี่ยงเบนมาที่นางสาวไทย และเราอายุอยู่ในเกณฑ์ปีสุดท้ายแล้ว เลยอยากจะลองดู เรามีไอเดียและประสบการณ์ที่สั่งสมจากการที่เราทำมา ก็อยากจะนำเสียงเพลงมาช่วยเหลือผู้คน และมีโครงการย่อยช่วยเหลือจังหวัด คือ การนำผ้าประจำจังหวัด มาเผยแพร่ให้คนไทยได้รู้จักกัน จากโลคอลสู่โกลบอล”
ไม่แปลกและไม่ใช่เรื่องใหม่กับการซื้อลิขสิทธิ์การประกวดและให้มงฯ ตัวเอง
“พอเรามีหมุดหมาย เราก็มองหาโอกาสในการลงเวที ก็คุยกับครอบครัวว่าแบบไหนที่จะเป็นไปได้ ก็เลยมาลงตัวว่าครอบครัวสนับสนุนซื้อลิขสิทธิ์นางสาวไทยเป็นเบื้องหลังให้ เรียกง่ายๆ ก็คือส่งตัวเองเข้าประกวด ด้วยอายุที่มันเป็นโค้งสุดท้ายจริงๆ ยังไงก็ต้องมาตรงนี้
(ไม่กลัวครหาซื้อเวทีให้ตัวเอง?) เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือผิดแปลกอะไร อย่างพี่ กัน จอมพลัง เองก็ซื้อลิขสิทธิ์ MUTอยุธยา ให้กับภรรยาของเขาได้เข้าประกวด มันอาจจะยังไม่มีคนทำมาก แต่ก็ไม่ใช่มุกที่ทำเป็นคนแรก เรียกว่าเป็นการซื้อโอกาสให้ตัวเอง และด้วยเวลาที่บีบคั้นมุกอายุ 27 ปีพอดี มุกไม่มีโอกาสอีกแล้ว ก็เลยซื้อลิขสิทธิ์และแต่งตั้งให้ตำแหน่งตัวเองไปเลย ไม่ใช่ว่ามุกจะมีเงินอย่างเดียวแล้วก็ได้เป็น แต่มุกมีประสบการณ์การประกวดมาแล้วคิดว่าตัวเองสามารถที่จะต่อยอดและพัฒนาได้ คิดว่ามุกมีคุณสมบัติเพียงพอกับตำแหน่ง เป็นการซื้อมงฯ ซื้อโอกาสให้ตัวเองและส่งมอบโอกาสให้คนอื่นต่อ
อย่างที่บอกว่ามุกพิสูจน์ตัวเองในการเข้าประกวดมาแล้วว่าเราสามารถทำได้ เราเคยเดินทางตรงมาแล้ว ครั้งนี้ก็เลยขอเดินทางลัด มุกโอเคถ้าใครจะบอกว่ามุกซื้อมงฯ ให้ตัวเอง มันคือเรื่องจริง ก็เปิดเผยค่ะ มุกรับได้กับเสียงครหา เพราะเรามีธง มีสิ่งที่เรามองไว้ในวันข้างหน้า”
เป้าหมายหวังแค่ติด ท็อป 5 นางสาวไทยเวทีใหญ่
“เข้าท็อป 5 ค่ะ เพราะไม่อยากกดดันทีมงาน อยากให้ทุกคนสนุกมากกว่าการมองไปแต่เรื่องของชัยชนะ แต่จะไม่หวังเลยก็ไม่ใช่ ระหว่างทางเราสามารถทำโปรเจ็กต์ช่วยเหลือชาวบ้าน ต่อยอดผลผลิตนำรายได้กลับมาสู่จังหวัดได้จริงๆ ก็ขอทำให้เต็มที่ แต่ปล่อยตรงนั้นไว้ก่อน ขอสนุกกับระหว่างทางก่อน ไม่งั้นเราจะเครียดว่ามาเพื่อหวังมงฯ อย่างเดียว
สิ่งที่เราต้องการคือมาทำกิจกรรม ทำภารกิจ อยากสนุกกับโปรเจ็กต์ เก็บเกี่ยวประสบการณ์การประกวด ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ละคนก็มีความสวย มีจุดเด่นของตัวเอง บวกกับประสบการณ์ สส. มุกก็คิดว่านางงามคนอื่นน่าจะไม่ได้ทำแบบนี้ค่ะ ก็ถือเป็นจุดเด่นของเรา นางสาวไทยเป็นเวทีในความฝันและตรงกับบริบท ตรงกับสิ่งที่เราถนัด วันหนึ่งก็อยากจะมาอยู่ตรงนี้“
ให้เป็นเรื่องของอนาคตกับการใช้ตำแหน่งนางสาวไทยต่อยอดไปสู่การเมือง
“เป็นเรื่องของอนาคตเลยค่ะ มุกมองว่าทุกสิ่งมันสามารถต่อยอดกันได้ ตั้งแต่โควิดระบาดทุกคนรู้ดีว่าเราไม่ควรมีแค่ 1 อาชีพ เราควรทำได้หลายอย่าง พอเราได้ทำเราจะรู้ว่าทุกอย่างที่มีในตัวเรามันเชื่อมต่อกันหมด มันสามารถช่วยเหลือเชื่อมโยงกันได้ ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถเป็นได้หลายอย่าง เป็นนักสังคมก็ได้ เป็นนางงามก็ได้ เป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ก็ได้ มันไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากำหนดว่าเราจะทำเพียงอาชีพเดียว ก็ยังไม่ได้มองถึงขนาดนั้น แต่ก็เห็นภาพอนาคต ด้วยเราอายุยังน้อยด้วยในทางการเมือง แต่เมื่อมีโอกาสอะไรเข้ามาแล้วเราสามารถต่อยอดได้ เราไม่เคยปฎิเสธและเราไม่ละทิ้งโอกาสนั้น”