xs
xsm
sm
md
lg

“เอส กันตพงศ์” เล่านาทีทำพินัยกรรม ก่อนจำอะไรไม่ได้ เผยซ่อนเงินล้าน แต่จำไม่ได้ว่าซุกไว้ไหน!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เอส กันตพงศ์” เผยกว่าจะตัดสินใจรับพิธีกรรายการ คุยแซ่บโชว์ ใช้เวลาตัดสินใจนาน เพราะไม่ใช่ทางที่ถนัด ยังต้องใช้เวลาในการปรับตัวกับรายการและกับพิธีกรร่วมคนอื่นๆ ด้วย ปัดไม่รู้ต้องมาแทน “พีเค” เพราะช่วงที่ตนป่วย ทำให้ลืมเรื่องในอดีตทั้งหมด ทุกอย่างต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ พร้อมเผยที่ทำพินัยกรรมยกมรดกทั้งหมดให้ภรรยาก่อนจะผ่าตัด เพราะไม่รู้ว่าหลังผ่าจะเป็นยังไง มาถึงตอนนี้ทุกอย่างยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังจำไม่ได้ว่าสมบัติมีอะไรบ้าง

กลับมาทำงานพิธีกรเต็มตัวได้อีกครั้งแล้ว สำหรับพระเอกหนุ่ม “เอส กันตพงศ์ บำรุงรักษ์” ที่ตัดสินใจมารับหน้าที่พิธีกรรายการ คุยแซ่บโชว์ โดยเจ้าตัวยอมรับว่าตัดสินใจนานเหมือนกัน เพราะไม่ใช่ทางถนัดของตนเลย เพราะตนจะถนัดแนวฮาร์ดทอล์ก คุยเรื่องการเมืองมากกว่า ตอนนี้ก็ยังต้องปรับตัวกับการทำรายการไปอีกสักพัก

“คุยแซ่บโชว์ก็ตัดสินใจนาน ประมาณ 3-4 เดือนมั้งครับกว่าจะตอบตกลงกับผู้ใหญ่ เจอกันผู้ใหญ่ก็นัดทานข้าว 2-3 ครั้ง คือผมก็ไปศึกษาทำการบ้านหาข้อมูล รายการดีมากๆ นะครับ แต่ตัวผมเองจะเหมาะสมกับรายการหรือเปล่า เพราะผมจะเป็นคนชอบถามคำถามเจาะลึก ละเอียด เราจะไม่ค่อยได้ถามคำถามเรื่องครอบครัวของเขา หรือคำถามที่เป็นเรื่องส่วนตัวเท่าไหร่ ผมจะไม่ถนัด แต่พอดีคุยกับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็บอกว่าในมุมที่ผมมาก็อยากจะให้เอามุมของผมไปเพิ่ม ไปปรับดูในสไตล์ของผม อันไหนอยากถามเพิ่มก็ถามได้เลย

ผมดูคลิปประมาณ 40-50 คลิปของรายการคุยแซ่บโชว์ ที่ตัดสินใจนานเพราะดูแล้วไม่เหมือนสไตล์ผมเลย (หัวเราะ) แต่พอมันเป็นฮาร์ดทอล์ก แล้วผู้ใหญ่บอกว่าอยากให้เอาสไตล์ของผมมาปรับดู เพื่อคุณผู้ชมจะได้รับชม รับฟังในมุมที่ไม่เคยได้ฟังในรายการนี้ด้วย ถ้าสังเกตผมจะเป็นคนชอบคิดก่อนจะถาม ก็คือนอกเหนือสคริปต์จะมีคำถามอะไรที่อยากจะถามจริงๆ ก็เลยรู้สึกว่ารายการนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกว่าผมน่าจะชอบมากขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วย คือชอบอยู่แล้ว และพอมารู้แนวทางอย่างนี้ก็น่าจะชอบมากขึ้นไปอีก”

เผยต้องปรับตัวกับพิธีกรร่วม และการพูดด้วย
“กับพิธีกรร่วมก็ต้องปรับอยู่ครับ (หัวเราะ) คือทุกคนดีหมด แต่ผู้ใหญ่บอกว่าให้ผมพูดให้เร็วขึ้นหน่อย (หัวเราะ) อย่าพูดทางการมาก ข้อเสียก็คือผมยังเปิดรายการไม่ได้ตามที่รายการเป็น จนอาทิตย์ที่ 2-3 ผมก็บอกว่าผมยังไม่กล้าเปิดรายการ ผมขอดูเพื่อนๆ ทำก่อนได้ไหม และเวลาพูดส่งกัน พิธีกรแต่ละคนก็จะมีบุคลิกต่างกันไป แล้วผมเป็นคนไม่กล้าขัดคนอื่นพูด ผมก็ปล่อยให้เขาพูดไปเรื่อยๆ พอมาดูในสคริปต์ก็เอ๊ะมันถึงคิวที่ผมต้องพูดแล้ว แต่เขายังพูดไม่จบ แล้วผมจะยังไงดี มีช่วงนึงที่ผมแอบยกมือ (หัวเราะ) แอบส่งคิว เพราะผมดูกล้องแล้วว่าไม่ได้ถ่ายมาที่ผม เพื่อว่าขอผมพูดแล้วกัน แต่ทางพี่ๆ ทีมงานบอกว่ารายการเราไม่ได้ซีเรียส ไม่ได้เหมือนรายการที่ผมพูดเป็นทางการ ใส่อะไรก็ใส่ได้เลย ไม่ต้องเป๊ะ เน้นเอ็นเตอร์เทน เน้นความสนุก

ผมไม่ได้กังวลว่าจะจมหายครับ แต่กังวลว่าจะได้ถามไหม (หัวเราะ) เพราะผมไม่กล้าขัด เขาถามประเด็นกันก็ดี เราจะได้ฟังด้วย แต่พอจะถาม เขาก็พูดอีกแล้ว เพราะผมพูดช้านิดนึง ก็เลยมีบางทีต้องยกมือเพื่อจะขอถาม แต่เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ให้กำลังใจ (หัวเราะ) แล้วก็มีการพูดคุยกันว่าต้องทำยังไงบ้าง จริงๆ แล้วผมต้องเป็นคนเปิดรายการแล้วก็ปิด แต่ผมก็รู้ตัวว่าเดี๋ยวจะทำให้รายการเหมือนเป็นรายการคุยการเมือง เลยขอว่าให้คนอื่นเปิดดีกว่า ผมอาจจะต้องฝึกตัวเองอีกนิดนึงให้เปิดยังไงให้เอ็นเตอร์เทนได้”

บอกไม่รู้ว่าต้องมาแทน “พีเค ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร”
“เริ่มชินกับความแซบมากขึ้นครับ อย่างที่เขาบอกว่าให้พูดมากขึ้น ให้ขัด ให้แทรกได้เลย แต่ผมเป็นคนไม่กล้าทำแบบนั้น กับพิธีกรบางท่านก็จะมีส่งสายตาให้รู้ว่าให้ผมพูดต่อ ก็เลยรู้ว่าอันนี้เข้าขากัน ก็จะมีการส่งสายตาบอกกันแบบนี้ ถามว่าได้คุยกับดีเจพุฒ (พุฒิชัย เกษตรสิน) เรื่องมาแทนพี่พีเคไหม ตรงนั้นไม่ได้พูดคุยกันเลยครับ ซึ่งผมก็ได้มาซ้อมกับดีเจพุฒก่อนจะมาทำรายการจริง ก็รู้สึกว่าเข้าขากันมากๆ สไตล์ใกล้เคียงกัน ก็คือพูดไม่เร็วเท่าไหร่ พูดช้าๆ ประมาณนึง

แต่เรื่องต้องมาแทน อันนี้ต้องบอกว่าผมไม่ทราบจริงๆ ครับ ไม่ใช่ว่าผมโกหกหรืออะไร เพราะทุกคนน่าจะทราบว่าผมป่วยมา เพราะฉะนั้นความจำในอดีตหายหมดเลย ผมไม่ทราบเลยว่าก่อนหน้านี้มีพิธีกรท่านไหนบ้าง ผมยังต้องมานั่งจดเลยว่าพิธีกรคนนี้ ชื่อนี้ หน้าตาแบบนี้ เพราะผมลืมหมดเลย แม้กระทั่งบางทีจะพูดก็ลืมชื่อที่เคยถ่ายละครด้วยกัน ผมก็ยังบอกว่าขอโทษนะครับ ผมคุ้นๆ ว่าเคยถ่ายละครหรือไปออกงานอะไรด้วยกันไหม เขาก็บอกว่าใช่ เคยไปด้วยกัน”

เผยที่ทำพินัยกรรมยกสมบัติทั้งหมดให้ภรรยาก่อนจะผ่าตัด ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“ผมทำตั้งแต่อยู่โรงพยาบาลเลยครับ ก่อนที่จะผ่าตัด ก็ให้คุณแม่เรียกทนายเลยว่ามาทำพินัยกรรม เพราะผมไม่รู้ว่าเครื่องนี้จะอันตรายขนาดไหน และต่อให้ใส่เครื่องนี้ไปก็ไม่รู้ว่าผมจะรอดหรือเปล่า ก็เลยเรียกทนายมาและเซ็นพินัยกรรมเลย คือตอนนั้นเริ่มกลับมารู้ว่าตัวเองไม่ดี เหมือนผมเป็นเด็กเกิดใหม่ ซึ่งผมก็ยังไม่รู้ตัว จนมาเห็นคลิปวันเกิดเหตุ และเพิ่งเห็นคลิปตัวเองตอนอยู่โรงพยาบาลว่าผมใช้ชีวิตเหมือนเด็กที่เพิ่งเกิดเลย พูดไม่ได้สักคำ ทุกคนก็จะเข้าใจว่าผมพูดภาษาอังกฤษก่อน แต่จริงๆ แล้วผมพูดภาษาอะไรไม่ได้เลย 6-7 วันมั้งครับถึงจะมาพูดได้ และพูดภาษาอังกฤษก่อน

พอเริ่มพูดได้ก็จะไปทำงานอย่างเดียวเลย แต่แปรงฟันไม่เป็น อาบน้ำไม่เป็น แต่งตัวไม่เป็น เอายาสระผมไปอาบน้ำ อาบน้ำมาสระผม คือใช้สลับหมดเลย โดยที่ตัวเองเข้าใจว่าถูก และไปโวยกับญาติ ผมก็เพิ่งมานั่งสำรวจกับตัวเองว่าสมองมันพัง คุณหมอก็ยังงงว่าผมกลับมาแบบนี้ได้ยังไง แต่ยังไม่ได้กลับไปดูคลิปเลยครับว่าให้อะไรบ้าง แต่เรื่องพินัยกรรมจำได้ว่ามอบให้กับภรรยาทั้งหมดเลย แต่ความยากคือผมจำไม่ได้ว่าทรัพย์สินมีอะไรบ้าง แต่ก็มีให้คุณแม่เป็นพยานร่วมด้วย ถามว่าตอนนี้กลับมาเกือบ 100% แล้ว พินัยกรรมนั้นยังสมบูรณ์หรือว่าเป็นโมฆะ คือพินัยกรรมเป็นอะไรที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาครับ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร”

ยอมรับจำไม่ได้เลยว่ามีสมบัติอะไรบ้าง และเก็บเอาไว้ที่ไหน
“อันนี้จำไม่ได้เลยว่ามีอะไรยังไงบ้าง ล่าสุดไม่รู้เป็นความลับหรือเปล่า (หัวเราะ) คือผมเป็นคนไม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น เพราะฉะนั้นเรื่องส่วนตัวของตัวเองก็จะไม่ค่อยพูดให้ใครฟัง แต่กลายเป็นว่ามีคุณหมอท่านนึง มาเจอผมเพราะคุณหมอทราบข่าวว่าผมป่วย แล้วบอกว่าจำได้ไหมว่าวันนั้นผมมาเลท 10 นาทีเกือบ 20 นาที ซึ่งปกติถ้านัดใครแล้วผมไม่เคยเลท พอมาถึงก็ขอโทษหมอ หมอก็ถามว่าทำไมเลท ผมก็บอกว่าขอโทษครับ ผมต้องไปธนาคาร และพกเงินสดไว้อยู่ และหมอบอกว่าผมพกไว้เยอะมากเลย มันเต็มล้นมากๆ เลย จำได้ไหมว่าเก็บไว้ไหน ผมก็บอกว่าจำไม่ได้ครับ

คือผมเป็นคนชอบพกเงินสด เป็นคนไม่ใช้เงินทางธนาคาร เพราะมันทำให้เราประมาท เพราะมันง่าย สแกนง่าย ใช้ไปเรื่อยๆ สิ้นเดือนมาก็อ้าว ตายแล้วใช้ไปแล้ว 5 แสน เพราะฉะนั้นผมก็เลยชอบใช้จ่ายเป็นเงินสด ซึ่งคุณหมอบอกว่าวันนั้นเยอะมากเลยนะ แต่ขออนุญาตไม่พูดนะครับว่าเท่าไหร่ (หัวเราะ) คุณหมอก็ถามว่ามีคนอื่นรู้ไหม ผมก็บอกว่าเดาได้เลยว่าไม่มีใครรู้ ซึ่งภรรยาก็ยังบอกว่าทำไมไม่เคยบอก เพราะภรรยาไม่เคยรู้พาสเวิร์ด ไม่เคยรู้อะไรเลย เป็นความลับที่ผมรู้คนเดียว จริงๆ ผมเป็นคนพกเงินไม่เยอะนะ แต่จะมีเก็บไว้ ซึ่งผมจะรู้คนเดียวว่าเก็บไว้ที่ไหน ซ่อนไว้ แต่ประเด็นคือไว้ที่ไหนนี่แหละครับ (หัวเราะ)

แล้วล่าสุดนาฬิกาผมก็เพิ่งหาย นี่คือเป็นนิสัยเสียที่พยายามจะปรับตัวเองแล้ว เพราะรู้สึกว่าต้องปรับปรุง เพราะเป็นคนห่วงเรื่องความปลอดภัยค่อนข้างสูง ผมก็จะแยกสีของใช้ แม้กระทั่งเสื้อสูท รองเท้า ผมก็แบ่งตามสี แบ่งตามประเภท ตามราคา ผมเอาว่าอาจจะไม่ได้อยู่ที่บ้านด้วยซ้ำ อาจจะอยู่ในบ้านหลังอื่นของครอบครัว อันนี้เดาเอาเองนะ เพราะมันมีบางอันที่ผมไปเจอที่บ้านหลังอื่น ก็ยังคิดว่าไปเก็บไว้ที่นั่นทำไม จำไม่ได้ และรหัสทุกอัน ผมตั้งไม่เหมือนกันเลยสักอัน อันนี้คือนิสัยเสียที่ผมรีบแก้เลย”











กำลังโหลดความคิดเห็น