แม้จะเป็นซีรีส์เกาหลีที่ออกฉายตั้งแต่ปี 2018 แต่เนื้อหาข้างใน ไม่ว่าจะหยิบมาดูใน พ.ศ.นี้ หรือปีไหน ๆ ก็เชื่อว่า น่าจะไม่เอาต์ เพราะเนื้อหาที่ซีรีส์หยิบมาเล่านั้นสามารถแตะต้องสัมผัสได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมอันชวนปวดร้าวซึ่งแก้ไม่หายในแวดวงตำรวจ หรือแง่มุมชีวิตที่หลากหลายของตัวละครในเรื่อง ที่มีทั้งสุขเศร้าเคล้าน้ำตาครบรส
กล่าวได้ว่า เป็นดราม่าซีรีส์ที่ทำออกมาได้ดีมาก ๆ อีกเรื่องหนึ่ง...
โดยเส้นเรื่องหลักนั้นเล่าถึงหนุ่มสาว 2 คนซึ่งอยู่ต่างที่กัน แต่กำลังเจอกับวิกฤติการณ์ในชีวิต เพราะไม่มีงานทำ เมื่อไม่มีทางให้เลือกมากนัก เขาและเธอจึงตัดสินใจสมัครสอบเข้าเป็นตำรวจ จนกระทั่งได้สังกัดเป็นเด็กใหม่ในหน่วยตำรวจลาดตระเวน
อันที่จริง ต้องบอกว่า ตั้งแต่เริ่มเรื่อง ก่อนที่ตัวละครทั้งสอง ทั้ง “ฮันจองโอ” (แสดงโดย จางยูมี) และ “ยอมซังซู” (แสดงโดย อีกวางซู) จะก้าวเข้าสู่เส้นทางตำรวจ ซีรี่ส์ก็ได้ปูพื้นฐานของตัวละครทั้งสองตัวนี้อย่างแน่นปึ้ก และทำให้เรารู้สึกถึงภาวะกดดันของเขาและเธอได้อย่างเข้าถึงและเข้าใจ คือสำหรับคนวัยทำงาน ก็น่าจะยิ่ง “อิน” เข้าไปในเรื่องราวของทั้งสองได้อย่างดียิ่ง เนื่องจากมันสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงที่คนวัยนี้ต้องแบกไว้บนบ่า เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว หรือแม้กระทั่งช่วยเหลือเกื้อกูลครอบครัว
แต่เส้นทางสายผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นั้น ใช่ว่าจะง่ายดาย และซีรีส์ก็ได้ฉายให้เห็นภาพของอาชีพนี้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นว่าต้องลำบากลำบนกับการฝึกฝนหนักหนาอย่างไรบ้าง และต้องมีหัวใจที่แข็งแกร่งเพียงใดกว่าจะได้รับการยอมรับในการมีสถานะเป็น “ตำรวจ” คนหนึ่ง มีหลายรายที่ถอดใจระหว่างทางและแพ็คกระเป๋าเก็บของกลับบ้านไปก็ไม่น้อย
และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เมื่อก้าวเข้าสู่การเป็นตำรวจจริง ๆ ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะมันต้องพึ่งขนาดของหัวใจที่ใหญ่กว่าปกติเพื่อที่จะยืนหยัดและดำรงอยู่บนเส้นทางสายนี้ให้ได้ สิ่งที่ซีรีส์นำเสนอออกมาได้ดีในลักษณะวิพากษ์ ก็คือ Dark Side หรือ “ด้านมืด” ที่ฝังลึกอยู่ในระบบข้าราชการตำรวจ ซึ่งพร้อมจะ “หวด” ตำรวจใหม่ใจบาง หรือแม้ตำรวจเก่าก็ตามที ให้อยากหลีกลี้หนีลาออกไปเสียให้พ้น ๆ
มีหลายคำที่เจ็บปวด มีหลายซีนที่หวดระบบตำรวจแบบถึงแก่น ในซีรีส์เรื่องนี้ เราจะได้เห็น “ตำรวจ” ในแง่มุมต่าง ๆ ที่สุดท้ายแล้ว ซีรีส์ก็ไม่ได้มุ่งใจโจมตีตำรวจเพียงอย่างเดียว เพราะในน้ำเน่ายังมองเห็นเงาจันทร์ ตำรวจเลวก็มี แต่ตำรวจดี ๆ ก็มีอยู่มาก และเหนืออื่นใดก็คือ การที่ทำให้เราเห็น “ชีวิตจริง” ของตำรวจ ที่ในความเป็นจริง พวกเขาเองก็มีมุมที่เจ็บปวดและต้องต่อสู้ดิ้นรนไม่ต่างจากประชาชนทั่วไป
จากเรื่องราวในแวดวงตำรวจ อีกด้านหนึ่งซึ่งถือว่าได้หวดหัวใจของคนดูอย่างรุนแรง ก็คือเรื่องราวของตัวละครแต่ละตัว ที่ตลอดความยาว 18 ตอนของซีรีส์เรื่องนี้ ได้ค่อย ๆ เผยออกมาให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นตัวเอกทั้งสอง หรือตัวรองตัวอื่น ๆ คือบางแง่มุมของตัวละครที่ซ่อนไว้และเปิดเผยออกมา ต้องบอกว่าน่าสะเทือนใจและโหดสุด ๆ ถึงขั้นที่พูดได้ว่า คนเขียนบทหรือคนแต่งเรื่อง “ใจร้ายน่าดู” เพราะมันนำมาซึ่งความหดหู่และน่าสลดใจอย่างที่สุด
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเรื่องราวที่ดูจะเครียด ๆ เศร้า ๆ จนหัวใจตก ซีรีส์ยังมีอีกหนึ่งด้านที่จะบอกว่าเป็น “ความหวาน” ของตัวเรื่องก็น่าจะพอได้ แม้ว่าความหวานนั้นจะเจือผสมด้วยความขมบ้างก็ตามที ตามรูปแบบของ “เรื่องรัก” ที่จะให้มีแต่ความ “ราบเรียบ” ย่อมเป็นไปได้ยาก
“เรื่องรัก” นับเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของซีรีส์เรื่อง LIVE มันพาเราก้าวเข้าไปสู่โลกแห่งความโรแมนซ์ได้อย่างแนบแน่นและชวนติดตาม ไม่ว่าจะเป็นความรักที่กำลังร้าวรานและล่มสลาย หรือความรักที่กำลังก่อตัวขึ้นใหม่และต้องใช้เวลาในการพิสูจน์
สุดท้ายแล้ว ต้องบอกว่า ซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้ ยอดเยี่ยมตรงที่พูดถึง “ชีวิต” ในหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็น “เรื่องส่วนตัว”, “เรื่องการทำงาน” ไปจนถึงเรื่องของหัวใจอย่างความรัก ทุก ๆ อย่างมันมีความหน่วงหนักให้ต้องก้าวผ่าน
ชื่อของซีรีส์... LIVE เมื่ออ่านออกเสียงแบบคำคุณศัพท์ จะฟังคล้าย ๆ กับคำว่า Life แต่เมื่ออ่านแบบคำกิริยาว่า “ลิฟ” ที่มีความหมายอย่างหนึ่งคือ “มีชีวิต” ก็ยิ่งให้ความหมายแบบเดียวกับคำว่า Life ที่แปลตรงตัวว่า “ชีวิต” แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายแล้ว ซีรีส์เกาหลีเรื่อง LIVE ก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
เพราะไม่ว่า Life จะต้องเผชิญกับเรื่องราวใด ผ่านพบบาดแผลร้าวลึกแค่ไหน หรือแบกรับความรู้สึกที่น่าขมขื่นเพียงใด เราก็ต้อง LIVE My Life ของเราต่อไป ด้วยหัวใจที่เข้มแข็งและหนักแน่นที่สุด เท่าที่จะทำได้...