“คุณแม่เป็นทุกอย่างให้กับผม เป็นเซฟโซน เป็นซัปพอร์ตเตอร์ เป็นคนที่อยู่กับผมตลอดเวลา , ตอนเด็กผมอาจจะมีไอดอลเป็นคนนั้นคนนี้ แต่พอผมโตมามีวันนี้ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ผมมีคุณพ่อคุณแม่เป็นไอดอลของผม”
“เก้า นพเก้า เดชาพัฒนคุณ” นักแสดงเลือดใหม่ หน้าตี๋ หล่อใส เหมือนอาบน้ำทุกๆ 3 นาที โดยชื่อเก้านั้น มาจากที่เจ้าตัวเกิดวันที่ 9 เดือน 9 เวลา 9 นาฬิกา ณ ห้องคลอดหมายเลข 9 เส้นทางในวงการบันเทิงของผู้ชายนี้เกิดจากแรงผลักดันของผู้หญิงที่ให้กำเนิดก็คือ “แม่” แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ชอบ แต่ด้วยความสนิทสนม พูดกรอกหูในทุกๆ วัน จนทำให้เขามีวันนี้ ซึ่งบทบาทล่าสุดของเก่าก็คือ "หม่อมหลวงสรุจ จุฑาเทพ" จากละครซีรีส์ชุด “ดวงใจเทวพรหม” ตอน “พรชีวัน”
“สุดๆ เลยครับ ตอนเด็กๆ คุณแม่จะเป็นคนที่อยากให้ผมเป็นนักแสดงมากๆ พยายามพูดทุกอย่าง ในตอนนั้น ผมไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงว่าจะมาเป็นนักแสดงได้เลย แม่ก็จะพยายามพูดว่าลองไปหาพี่คนนี้ไหม แม่มีคนรู้จัก อยากพาเราไปเป็นนักแสดง ตัวผมเองเป็นคนขี้อาย กล้าๆกลัวๆ ไม่กล้าหรอก ไปทำก็เคอะๆ เขินๆ คงไปไม่รอด ตอนแรกๆ ก็ปฏิเสธทันที ไม่เอาหรอก กลัว อาย ไม่กล้าแสดงออก ไม่อยากไปทำ แต่มันมีโอกาสตรงที่ว่าผมตัดสินใจย้ายมาเรียนที่ กทม. เพื่อเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นอยากหารายได้เสริม เราก็นึกขึ้นมาได้ว่า คุณแม่มีคนรู้จักอยู่ในวงการ ก็คือผู้จัดการส่วนตัวผมของผมในตอนนี้ เป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ของคุณแม่ เราก็บอกแม่ว่าให้พาไปลองเคสโฆษณาหน่อย อยากหารายได้พิเศษมาจ่ายค่าที่พัก ค่าเทอม ใช้ชีวิตประจำวัน”
“และที่เขาอยากให้ผมเป็นดารา ก็คงตามประสาคุณแม่ที่หวังดีกับลูก ที่อยากให้ลูกเป็นนักแสดง ตอนเด็กๆ เราก็เห็นว่าเขาชอบดูหนัง ชอบดูทีวีมากๆ เขาคงมีความสุขกับการดูทีวี แล้วถ้าวันหนึ่งเป็นลูกชายของเขาเองอยู่ในจอ เขาก็คงมีความสุขมากๆ อันนี้ผมคิดเอาเองนะ ตอนนี้ทั้งคุณพ่อคุณแม่ประทับใจในตัวผมมากๆ ที่ผมมาทำงานตรงนี้ ผมได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ เขาพูดไม่หยุดเลย ต้องบอกแม่ขอร้องนะ อย่าๆๆๆ(ยิ้ม) แต่คุณแม่เขาก็จะมีนิสัยขี้อาย ขี้เกรงใจอยู่ เขาก็จะไม่ได้ป่าวประกาศว่าลูกฉันเป็นดาราอยู่ช่อง 3 นะ เขาภูมิใจแล้วเขาก็เก็บความภูมิใจไว้ในความรู้สึกของเขาเอง เขาจะพูดกับผมเสมอว่าจนถึงตอนนี้เขาสามารถตายตาหลับแล้ว ลูกเติบโตมามีผู้คนรายล้อม มีหน้าที่การงานที่ดี เป็นนักแสดงอย่างที่แม่อยากให้เป็น เขาเห็นผมมีแฟนคลับมากขึ้นเรื่อยๆ มีหน้าที่การงานที่ดี เขาก็ภูมิใจกับเรามากๆ”
“และถึงจะไม่ใช่ทางเลือกที่ผมเลือกมาตั้งแต่แรก แต่ผมก็รู้สึกภูมิใจมากๆ ที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ประทับใจในตัวผม ตั้งแต่เด็กมาผมเป็นคนที่พยายามค้นหาตัวเองมากๆ ทั้งด้านการเรียน กีฬา แต่ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จเลย จนได้ก้าวเข้ามาในวงการบันเทิง มันเป็นทางเดินที่ก้าวเข้ามาแล้วผมทำให้คุณพ่อคุณแม่ประทับใจ ภูมิใจในตัวผม ผมเห็นแววตาของเขาที่มองมาที่ผม ผมสัมผัสได้ว่าเขาภูมิใจในตัวเรามากๆ บางทีก็จะบอกแม่เบาๆ บ้างเดี๋ยวคนหมั่นไส้ แต่ก็นั่นแหละ เราก็อยากจะได้ยินคำที่พ่อแม่ เขารู้สึกภูมิใจในตัวเราสักครั้ง ผมยังจำตอนที่ผมได้เล่นโฆษณาตัวแรกได้เลย ผมได้รับเงินมาประมาณ 10,000 บาท ดีใจมากๆ โทร.ไปหาคุณแม่แล้วก็ให้เงินเขาหมดเลย ตอนที่เขาเห็นงานผมเขาก็ดีใจมากๆ ที่ได้เห็นลูกเขาอยู่ในทีวี เขาก็ชมว่าลูกเก่งเหมือนกันนะ เราก็รู้สึกมีกำลังใจ”
ไม่ได้อยากเป็น “ดารา” แต่อยากจะเป็น “นักแสดง” พร้อมเป้าหมายใน “วงการบันเทิง”
“อย่างแม่ก็ถามทำไมไม่ทำแบบนี้ล่ะลูก แม่เห็นคนอื่นเขาทำกัน ผมเองก็มีความดื้อหน่อยๆ ผมมีเส้นทางของผมเองที่ผมเลือกแล้ว ผมเข้ามาในจุดนี้ผมอยากเป็นแค่นักแสดง ตอนนี้ผมอยากทำแค่ผลงานการแสดงอย่างเดียว ถ้าอนาคตอยากให้คนพูดถึงผมแค่ในผลงานการแสดง หรือศิลปิน แค่นั้น ไม่ได้อยากจะเป็นดารา อยากจะดังตามเส้นทางเหมือนที่เขาเป็นกัน ผมรู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้มาอยู่ตรงนี้ แต่เส้นทางตรงนั้นผมมองว่ามันเป็นของแถม หลังจากที่เราประสบความสำเร็จแล้ว เขาถึงเรียกเราว่าดารา สำหรับผมอยากให้คนเรียกผมว่านักแสดง ผมดูว่าเราได้พิสูจน์ฝีมือมากกว่าเราขายรูป ความดัง แต่ที่เหลือมันคือของแถม ก็อาจจะต้องรอให้ผมได้พิสูจน์ตัวเองมากกว่านี้ จนถึงวันนั้นอาจจะเรียกผมอะไรก็ได้ แต่วันนี้ขอเรียกตัวเองว่านักแสดงก่อน การได้เข้ามาในวงการมันเป็นการชาเลนจ์ตัวผมมาก ผมก็อยากจะพัฒนาตัวเองในจุดนี้”
“ก่อนหน้านี้ผมจะไม่มีความมั่นใจในการสื่อสาร ผมไม่ค่อยกล้าสื่อสาร กล้าพูดกับคน จะมีความเขิน เป็นคนเงอะๆ งะๆ ไม่มีความมั่นใจ เวลาเราจะเปิดปากพูดทีไรก็จะโดนล้อตลอด จ้องจะแซว มันเลยกลายเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ติดตัวเรามา พอเข้าวงการผมก็ใช้ความพยายามมากๆ ผมพยายามฝึกความมั่นใจ พยายามพูดไปด้วยความมั่นใจขึ้น ผมสังเกตหลายครั้งว่า พอผมมีความมั่นใจ มันก็ออกมาในทางบวก”
“ผมอยากจะทำให้ทุกๆ งานของผมเป็นมาสเตอร์พีช ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ คนก็จะคิดถึงผมในทุกบทบาท ก็ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากๆ ที่ผมจะทำอะไร เขาก็ไม่เคยกดดันผมเลย แม้บางอย่างเขาอาจจะอยากให้เราทำ เราเป็น แต่เขาไม่กดดันเราเลย เขาจะบอกเอาที่เก้าสบายใจมาตั้งแต่เด็กๆ เขาให้ผมค้นหาตัวเองได้เต็มที่ และสนับสนุนผมในทุกทางตลอด ขาดเหลืออะไร ไม่มีอะไร ผมเห็นถึงความพยายามของเขาว่าเขาพยายามหาให้ผม”
ความในใจของ “เก้า” ฝากถึง “แม่”
“ผมมีโอกาสได้นึกย้อนกลับไปในหลายๆ ครั้งเวลาที่ผมงอแง อยากได้นั่นนี่ อยากมีเหมือนคนอื่น อยากได้เหมือนคนอื่นในตอนเด็กๆ ก็ต้องขอโทษคุณพ่อคุณแม่ด้วย เราเองไม่ได้รู้หรอกว่าฐานะที่บ้านเราเป็นยังไง เราไม่เข้าใจหรอกว่าเขาทำงานมาเหนื่อยแค่ไหนกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท แต่ละสตางค์ แล้วเขาต้องเอาตรงนั้นมาตามความงอแงของเรา หาของนั่นนี่มาให้เรา ผมก็ต้องขอโทษตรงนั้นด้วย เขาไม่เคยให้เราขาดอะไรซักอย่าง”
“ตอนนั้นเขาวางแพลนไว้ให้ผมเรียนราชภัฏแถวบ้าน ช่วยที่บ้านทำงาน คือทำตามวิถีทั่วๆ ไป แต่ผมตัดสินใจมาเรียนกทม. แล้วเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน ค่าใช้จ่ายก็หนักมากๆ เราพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่าจะรับผิดชอบตัวเอง นี่คือจุดเริ่มต้นของการเข้าวงการจนมีวันนี้ พอมาวันนี้เรารู้แล้วว่าคุณแม่เป็นทุกอย่างให้กับผม เป็นเซฟโซน เป็นซัปพอร์ตเตอร์ เป็นคนที่อยู่กับผมตลอดเวลา ทั้งสอนผม และให้กำลังใจผม ผมเป็นคนที่ได้พลังบวกมาจากคุณแม่ล้วนๆ ตอนเด็กผมอาจจะมีไอดอลเป็นคนนั้นคนนี้ อยากเป็นเหมือนคนนั้นคนนี้ไปเสียหมดแต่พอผมโตมามีวันนี้ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าผมมีคุณพ่อคุณแม่เป็นไอดอลของผม”
“ทำให้ผมกลายเป็นผมเองในทุกวันนี้ ผมกล้าพูดได้เลยว่าวันนี้ผมทำให้พ่อแม่ภูมิใจได้มากๆ ที่ผมไม่ทำตัวเป็นภาระสังคม สามารถเลี้ยงดูตัวเอง เลี้ยงดูคนรอบตัว ถึงจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนคนอื่นแต่มันเป็นก้าวเล็กๆ ที่ทำให้ผมสามารถดูแลตัวเองและคนรอบตัวได้ ทุกครั้งที่ผมได้กลับบ้านไปหรือเขามาหา ผมมองเข้าไปในแววตาเขา ผมรับรู้ได้เลยว่าเขามีความสุขมากๆ ที่ได้มองผม”
“ถึงคุณแม่ของผมในวันแม่ ก็คงหายเหนื่อยแล้วเนอะ ลูกคนนี้ก็จะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีสุดชีวิตเลย อยากให้แม่หายเหนื่อย ได้พักผ่อนตามอัธยาศัยได้เลย ถึงเวลาแล้วที่ผมสามารถดูแลแม่ได้แล้ว ก็อยากให้แม่ได้พักผ่อน รักนะครับ”