“อัด อวัช” เผยฝันที่ยิ่งใหญ่ อยากพาตัวเองไประดับโลก เร่งฝึกฝนทักษะทุกด้านเพื่อเตรียมพร้อมคว้าโอกาส เข้าใจชีวิตขึ้นๆ ลงๆ ไม่อยากมีปีทอง แต่อยากให้มีทุกปีแบบมั่นคง อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่แขวนอยู่บนการถูกเลือกและไม่ถูกเลือก บางครั้งก็ว่างงาน ต้องต่อสู้ไม่ต่างจากคนอื่น เล็งทำอาชีพที่ 2 เพราะงานแสดงไม่แน่นอน
ทำงานในวงการบันเทิงมา 12 ปี “อัด อวัช รัตนปิณฑะ”ถือเป็นนักแสดงมากฝีมืออีกคนที่มีรางวัลการันตีคุณภาพ และมีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเจ้าตัวได้รับบทสำคัญในภาพยนตร์ซอมบี้สัญชาติไทยเรื่อง “ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ” ที่กำลังเข้าฉายอยู่ในตอนนี้ ซึ่งอัดบอกว่าเรื่องนี้ท้าทายความสามารถเอามากๆ อีกทั้งเป็นซอมบี้ที่แตกต่างออกไปจากที่เคยดู
แม้จะทำงานมานาน แต่เส้นทางการเป็นนักแสดงของอัดนั้นไม่ง่ายเลย แต่ละเรื่องมีความท้าทายแตกต่างกัน พร้อมเผยมีฝันที่ยิ่งใหญ่อยากไประดับโลก ตนรักการแสดงหมดใจ ฝึกฝนทักษะทุกด้านเตรียมพร้อมไว้เสมอ ยอมรับเป็นอาชีพที่ไม่แน่นอน คนมองว่าสวยงามแต่เบื้องหลังต้องต่อสู้ไม่ต่างจากคนอื่น มีความคิดย้อนแย้ง อยากเป็นนักแสดงแต่ไม่อยากดัง และอีกหลากหลายมุมมองที่อัดได้เปิดใจแบบหมดเปลือก
“เริ่มเล่นตั้งแต่โฆษณาตัวแรก ก็น่าจะ 12 ปีได้แล้วครับที่เริ่มมา ตั้งแต่ประมาณอายุ 15-16 ปี (การทำงานมันง่ายขึ้นไหม พอเรามีประสบการณ์?) แต่ละเรื่องบทมันก็แตกต่างกันไป มันก็จะมีชาเลนจ์แตกต่างกันไป แต่ผมรู้สึกว่าด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น มันก็ทำให้เรามีสติในการทำงานมากขึ้น แล้วเราไม่มองว่ามันยาก แต่เรามองว่ามันคือชาเลนจ์ที่เราจะต้องทำให้ได้มากกว่า
มันเลยเปลี่ยนจากคำว่ายาก เป็นเราจะทำยังไงให้มันเกิดขึ้น ทำยังไงให้มันดีที่สุด ทำยังไงให้ตัวละครออกมามีชีวิตและสมจริงมากที่สุด ทำยังไงให้รู้สึกว่าทำงานแล้วเต็มที่และมีความสุขกับงานนั้นมากกว่าที่จะตั้งคำว่ายากเป็นจุดเริ่มของงานผมรู้สึกว่าทุกบทมันมีดีเทล มีมิติที่ต่างกัน เราเลยไม่อยากใช้คำว่ายาก ซีนนี้ยากจังเลย ซีนนี้ดรามามันต้องยาก ไม่จำเป็น
สำหรับผมคือเราอยู่กับตัวละคร ที่เหลือมันคือการมีสติอยู่กับตัวเอง กับสิ่งที่เราทำ พยายามจะมีความสุขกับการทำงานมากกว่า เพราะทุกประสบการณ์มันก็สอน บางทีเราไปเครียด ไปตั้งเป้าว่ามันยาก เราจะทำมันได้ไม่ดี เพราะเรามัวแต่ไปปักหมุดว่ามันยาก ซึ่งถ้าเรามีสติ เรารู้ว่าเราทำอะไรมา เราทำการบ้านมาแล้ว หน้าที่ของเราหน้างานคือการถ่ายทอดความรู้สึก ถ้าเราใช้หัวคิดในฐานะของตัวเรามากเกินไป แทนที่จะเป็นตัวละคร มันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ที่มันควรจะเป็นครับ”
ผ่านช่วงลองผิดลองถูกมาแล้ว
“ใช่ครับ เราผ่านประสบการณ์ ผ่านช่วงเวลาในชีวิตที่ขึ้นลงๆ มาตลอด แล้วมันก็ให้บทเรียนกลับมา ณ วันนี้ ที่เราก็เติบโตขึ้น มีมุมมองความคิดที่เปลี่ยนไป”
ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ เมื่อถามว่า สถานการณ์ที่เจอแต่ละครั้งมีท้อบ้างไหม เจ้าตัวก็ยอมรับว่า...
“ก็ตามปกติของมนุษย์ครับ คือตลอดเส้นทางมันก็สอนอะไรหลายๆ อย่างมากๆ ให้กับผม หมายถึงว่าชีวิตมันขึ้นและลงตลอด มันไม่มีอะไรอยู่ตลอดไป โดยเฉพาะอาชีพนี้ เราไม่มีทางรู้เลย ว่ามันจะอยู่ได้นานแค่ไหน วันนี้คุณขึ้น คุณมีโอกาสต่อกัน แต่มันไม่ได้แปลว่ามันจะอยู่เท่านี้ไปตลอด มันจะมีวันที่คุณลงเสมอ
ฉะนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่มันขึ้นและลง ผมรู้สึกว่าโอเค เราต้องรู้จักตัวเอง ต้องรู้จักว่าเราต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับวันที่เราสมหวัง วันที่เราผิดหวังตลอดเวลา วันที่เราถูกเลือก วันที่เราไม่ถูกเลือก เราก็ต้องคิดต่อไป ว่าช่วงเวลาที่เราไม่มีงาน เราจะอยู่กับมันยังไง เราต้องหาอะไรทำ เพื่อให้สิ่งนี้มันยังเป็นอาชีพให้เราในระยะยาว ในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้เราได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เรารัก แต่เราจะอยู่กับมันยังไง มันคือการคิดและหาทางออกที่จะอยู่ร่วมกันมากกว่า
แล้วผมรู้สึกว่าสุดท้ายมันคือการที่เรารู้ว่านี่คือความเป็นจริงของอุตสาหกรรม ณ วันนี้ คนอาจจะเห็นเราในสื่อเยอะในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เขาไม่ได้รู้เบื้องหลัง ว่าจริงๆ แล้วพอจบตรงนี้ เรายังว่างงานอยู่นะ มันยังไม่ได้สบายเหมือนที่คนเห็นเรามีงานออนต่อๆ กัน บางทีเราถ่ายไป 2 ปีที่แล้ว เพิ่งได้มาออน มันเป็นจังหวะที่มันต่อเนื่องกันเอง แต่หลังจากเรื่องนี้เรายังไม่มีโปรเจกต์ต่อไป ซึ่งเราก็ไม่รู้เมื่อไหร่ เลยเป็นช่วงเวลาที่สอนให้เรารู้ ว่าเราจะอยู่เฉยไม่ได้ ถ้าโอกาสไม่ได้เข้ามา เราก็ต้องวิ่งออกไปหา หรือเราต้องหาอย่างอื่นทำ เพราะเรายังต้องไปต่อ เราต้องเอาตัวรอด ไม่ต่างจากคนอื่น
มันเลยเป็นอาชีพที่ต้องต่อสู้เยอะมากเหมือนกัน เพราะผมอยากเป็นนักแสดงที่วันหนึ่งผมอยู่ได้ด้วยสิ่งนี้ อาชีพนี้จริงๆ เล่นหนัง เล่นซีรีส์ แล้วค่าตอบแทนมันสมเหตุสมผลอยู่ได้เรื่อยๆ ไม่ใช่ต้องวิ่งรับ 10 เรื่อง ซึ่งก็ไม่ใช่เป้าหมายที่ผมอยากจะไป ผมอยากทำทีละเรื่องให้เต็มที่ แล้วก็อยู่ได้ด้วย เหมือนที่ต่างประเทศเขารอว่าวันหนึ่งมันจะเกิดขึ้นได้”
ไม่ใช่คนที่โกยไว้ก่อน แต่เลือกสิ่งที่อยากทำและสิ่งที่มีความหมายกับตัวเอง
“สำหรับผมตอนนี้ พยายามจะเลือกสิ่งที่เราอยากทำ แล้วเรารู้สึกว่ามีความหมายกับตัวเรา พอเราได้กลับมาทำหนัง มันทำให้เรารู้ ว่าเราทำสิ่งนี้เพื่ออะไร เราจะชัดเจนในเส้นทางของเรา ว่าโอเคเราอยากเป็นนักแสดงที่ไม่ได้ทำทุกเรื่อง ไม่ได้คว้าทุกโอกาสที่มันเข้ามา แต่เราจะเลือกสิ่งที่เรารู้สึกว่าอันนี้เราอยากทำ เรามีจุดประสงค์ที่ชัดเจนว่าเราทำเพื่ออะไร เราก็อยากจะคอนทินิวตัวเองไปแบบนี้
เพราะเราเชื่อว่าเส้นทางที่เราเลือก มันก็จะมีผลลัพธ์บางอย่างที่มันอาจจะดี หรืออาจจะผิดหวังก็ได้ แค่อย่างน้อยเราเลือกแล้ว ว่าเราอยากให้คนจำเราในแบบนี้ ในฐานะนักแสดงจริงๆ อยากให้เขารู้สึกว่าทุกครั้งที่เขาได้ดูงานเรา เขาได้เห็นเราในฐานะนักแสดงที่มีอะไรใหม่ๆ ให้เขาได้ตามเรื่อยๆ มีความท้าทายใหม่ๆ มีบทใหม่ๆ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากทำในฐานะนักแสดง”
อยากพาตัวเองไประดับโลก
“ก็เป็นสิ่งที่พยายามจะทำ แล้วก็อยากไปต่อในระดับโกลบอล ก็หวังว่าสิ่งนี้มันจะพาเราไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าเส้นทางที่เราเลือก มันก็ลำบาก ชื่อเสียงมันอาจจะไม่เท่ากับที่ตลาดเขาตามหาเราก็ต้องยอมรับว่าเราเลือกแล้ว ว่าเราอยากจะเดินไปทางนี้ มันอาจจะยากกว่าในแง่ที่ แล้วเราจะบาลานซ์ตัวเองยังไงให้อยู่ตรงนี้ได้แบบสบายใจ
อย่างชื่อเสียง เราไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งมันจะมาเมื่อไหร่ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เราตามหา ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้ที่สุด ถ้ามันจะมามันคงมาเอง แต่เป้าหมายของเราคืออยากทำงานที่ดี เป็นนักแสดงที่พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ให้ได้ดูงานแสดงเราแล้วเขาชื่นชอบในผลงาน ในตัวละครที่เราเล่น”
ที่บอกว่าไม่รู้ว่าชื่อเสียงจะมาเมื่อไหร่ ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ถึงจุดนั้น?
“ผมไม่ได้มองสิ่งนี้เป็นประเด็นสำคัญ มันก็เป็นคำถามที่เขาเรียกว่าย้อนแย้งในตัวเองเหมือนกัน ว่ามึงอยู่ตรงนี้ แต่มึงไม่อยากดัง (หัวเราะ) ผมก็ยังย้อนแย้งในตัวเองเลย อยากเล่นแต่ก็ไม่ได้อยากดัง แต่พอไม่ดังโอกาสในการได้งานมันก็น้อยลงสุดท้ายจะมีคนชื่นชอบผมจากผลงานจริงๆ อันนี้คือสิ่งที่ผมแฮปปี้ แต่เราก็ไม่ได้คาดหวังว่าเล่นเพื่อจะดัง ถ้าวันหนึ่งมันดังก็ดี ก็ขอบคุณ แต่มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เราตั้งเป้าอยากไปตรงนั้น เราอยากใช้ชีวิตปกติของเรา อยากมีความเป็นส่วนตัวในชีวิต ไม่ได้อยากที่จะแลกทั้งหมด
แต่ถ้าวันหนึ่งมันเกิดขึ้น เราก็ต้องหาวิธีอยู่กับมันให้ได้ แต่มันไม่ใช่จุดแรกที่ผมมอง ผมมองว่าจะทำยังไงให้ได้เล่นบทที่มันท้าทาย ได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่เราอยากเล่นด้วย ได้เล่นกับนักแสดงที่เราชื่นชม ที่เราอยากร่วมงานด้วยไปเรื่อยๆ ได้อยู่ในหนังที่ได้พูดแมสเสจที่เราอยากจะพูดไปพร้อมๆ กัน นี่คือเป้าหมายหลักที่อยากทำให้ได้ ทำยังไงให้ได้เล่นหนังต่างประเทศ ได้ร่วมงานกับศิลปิน นักแสดง ผู้กำกับที่เราชื่นชอบ นั่นคือความฝัน ส่วนชื่อเสียงมันคือสิ่งที่เราไม่สามารถกำหนดได้”
ดังก็ได้ ไม่ได้ดังก็ได้
“ได้หมดเลยครับ แต่ขอให้ได้ทำสิ่งที่ผมรัก ขอให้มันอยู่รอดได้”
เราวัดความสำเร็จจากตรงไหน
“จริงๆ สิ่งที่ผมไม่ค่อยได้คิด คือเรื่องคำว่าความสำเร็จ เพราะผมรู้สึกว่ามันเปลี่ยนไปตลอดเวลา ความสำเร็จมันมาไวไปไว ผมเคยตั้งคำถามตอนทำงานชิ้นหนึ่งจบ มันเป็นความสำเร็จแล้ว แล้วความสำเร็จต่อไปของเราคืออะไร ผมรู้สึกว่ามันยากมากที่จะตอบว่ามันคืออะไร แต่ถ้าจะให้นิยาม สำหรับผมมันคือการที่ผมได้ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง โดยหน้าที่ของผม แล้วผมได้ทำมันอย่างเต็มที่จริงๆ โดยที่ผมไม่ได้รู้สึกว่าเสียดายหรือมีคำถาม ว่าเราน่าจะทำมันได้ดีกว่านี่ถ้ากลับไปแก้ไขได้
ผมจะสำเร็จ ถ้าผมทำงานนี้แล้วผมใส่เต็ม แล้วผมมีพลังงานดีๆ ร่วมกับคนที่ทำงานร่วมกัน ไม่ว่าสุดท้ายผลงานมันจะออกมาเป็นยังไง ผมว่ามันคือความสำเร็จเล็กๆ สำหรับทุกก้าวที่เราทำงาน การทำงานที่มันมีความสุข ไม่ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง มันคือความสำเร็จอย่างหนึ่งสำหรับผมที่พอเราโตขึ้น เราอาจจะแคร์เรื่องสภาพแวดล้อมในการทำงาน มันไม่ใช่แค่ทำงานแล้วจบ แต่ว่าเราได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่ทำงานด้วย ผมเห็นคุณค่าในสิ่งนี้มากขึ้น ว่าเราได้เจอเพื่อนร่วมงานที่ดี แม้โปรเจกต์นั้นอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จก็ได้ คือมันเป็นสิ่งที่วัดอยากเหมือนกันนะครับ”
การได้รางวัลจากภาพยนตร์เรื่อง ดอยบอย (DOI BOY) อัดนิยามสิ่งนี้ว่า โบนัส
“ผมนิยามว่ามันคือรางวัล คือโบนัสจากความสำเร็จแรกที่เราทำไป ความสำเร็จแรกของผม คือผมได้มาเล่นเรื่องนี้จากความรู้สึกจริงๆ ว่าเราอยากเล่น อยากถ่ายทอดบทนี้ อยากเป็นตัวละครนี้ ความสำเร็จต่อมาคือตั้งแต่ตอนที่เราถ่ายยันถ่ายจบ มันมีความสุขมากกับการได้เป็นตัวละคร เราไม่รู้สึกเครียดเลย เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับทีมงานทุกคน ผมจบกองแล้วผมมีความสุขมากๆ เป็นกองที่ผมประทับใจที่สุดในชีวิตกองหนึ่งเลย ไม่มีวันลืมเลย
มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ ของผม นั่นคือความสำเร็จแล้ว สุดท้ายพอหนังออกมา มันพาไปสู่รางวัลที่ 2-3 มันคือโบนัสสำหรับผม เพราะเราไม่ได้ตั้งเป้าตั้งแต่แรก ว่าเราต้องได้รางวัล หนังเรื่องนี้คือโอกาสที่เข้ามา แล้วเป็นโอกาสที่เราอยากได้มากที่สุด ความสำเร็จคือเขามาจุดประกาย มาให้ชีวิตใหม่เราตั้งแต่แรก ในการกลับมาเป็นนักแสดงอีกครั้งหนึ่ง นั้นคือจุดเริ่มต้นครับ”
มุมมองชีวิตเปลี่ยนไป ทำให้กลับมาเริ่มต้นอาชีพนักแสดงใหม่อีกครั้งหลังจากทิ้งไปแล้ว
“มันทำให้ผมกลับมาเริ่มต้นอาชีพนักแสดงใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในวัย 27 ปี คือผมรู้สึกว่ามันทำให้เรารู้ ว่าเรารักสิ่งนี้จริงๆ ถึงแม้ว่าเราจะทิ้งมันไปแล้วก็ตาม ผมรู้สึกว่าอีกมุมหนึ่งคือเวลาที่เราอยากจะทำอะไรจริงๆ เราอยากจะได้อะไรจริงๆ เราทำได้ ถ้าเราอยากแล้วพยายามมากพอ เราทำได้ทุกอย่าง มันก็สอนให้ผมกลับมาเห็นคุณค่าตัวเองมากขึ้น เห็นความตั้งใจที่มีเวลาอยากทำอะไร มันทำให้ผมกลับมามีความเชื่อมั่นในตัวเอง รักตัวเองมากขึ้น เวลาเราเชื่อและรักตัวเองมากพอ เราจะมีพลังในการส่งต่อสิ่งอื่นๆ ได้มากมาย โดยที่บางทีเวลาที่เรามีคำถามกับตัวเอง เราไม่มั่นใจว่าเราดีพอหรือเปล่า เราจะกลัวไปหมด
แต่ ดอยบอย คือเรื่องที่ผมไม่กลัวอะไรเลย ตอนที่ไปแคสฯ ผมบอกว่าผมอยากได้บทนี้มาก ผมพร้อมจะทำทุกอย่าง และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคาแรกเตอร์ในช่วงเวลาที่มันมีอยู่ ผมเกือบเลิกแสดง แต่พอผมได้อ่านบทนี้ มันทำให้ผมอยากกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
อีกข้อหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้เลย คือเวลาที่เรารู้สึกอะไร อยากได้อะไร บางทีพูดออกไปให้คนรับรู้ มันอาจจะเป็นสิ่งที่มันอาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้ เขาอาจจะเห็นความตั้งใจของเราเพราะปกติผมอาจจะไม่ใช่คนที่พูดเยอะกับคนที่ไม่สนิท แต่ว่าอันนั้นความรู้สึกข้างในมันรู้สึกมากๆ ว่าอยากได้จริงๆ เราก็ตัดสินใจพูด แล้วมันก็เปลี่ยนชีวิตผมไปเลย หลังจากนั้นพอเรามีอะไร เราก็กล้าที่จะพูดมากขึ้น เราไม่กลัวที่จะผิดหวัง เพราะถ้าผิดหวังมันก็แค่ผิดหวัง”
ช่วงเวลาที่ถ่ายหนังเรื่อง “ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ” เป็นจุดที่มั่นใจมากขึ้นแล้ว
“ก็รู้สึกมั่นใจขึ้น รู้สึกกล้าที่จะลุย กล้าจะเผชิญกับความผิดหวัง พอหลังจาก ดอยบอย ผมมีเป้าหมายอยากกลับมาเป็นนักแสดงจริงจัง อยากมีโอกาสทั้งทำงานกับผู้กำกับในไทยและต่างประเทศ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าต้องเจอกันความผิดหวัง หรือไปออดิชั่นแล้วไม่ได้อีกกี่เรื่อง แต่เราพร้อมที่จะเจอกับสิ่งเหล่านี้ เรื่องที่เราไปเราก็เต็มที่ แล้วสุดท้ายผมเชื่อว่าการที่เราเต็มที่ในทุกๆ โปรเจกต์ที่ทำ คนที่เขาอยู่ตรงหน้าเรา เขาจะสัมผัสได้ว่าคนๆ นี้เป็นคนแบบไหน มันอาจจะไม่ใช่งานนี้ แต่อาจจะเป็นงานถัดไป
อีกอย่างที่ผมรู้สึกและได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา และจากดอยบอย คืออะไรที่มันจะเป็นของเรา มันก็จะเป็นของเรา อะไรที่มันไม่ใช่ มันก็ไม่ใช่ เราก็เคารพตัวเองและผู้อื่น ยอมรับและอยู่กับความเป็นจริงให้ได้ มันไม่มีทางที่ทุกอย่างจะสวยงามเสมอไป”
ทุกเรื่องที่อัดได้ไปเล่น ตกตะกอนความคิดให้เจ้าตัวในมุมต่างๆ
“ใช่ครับ ผมว่าการไปเป็นนักแสดง มันคือการเข้าใจมนุษย์ การที่ไม่ตัดสินมนุษย์ การมีความเข้าอกเข้าใจในทุกๆ รูปแบบ เรายอมรับความหลากหลายและโอบกอดมันไว้มันเลยทำให้ทุกคาแรกเตอร์ที่ผมเล่น ผมต้องเข้าใจและเรียนรู้ชีวิตของเขา แล้วสุดท้ายมันคือการแชร์จิตวิญญาณบางอย่างร่วมกัน เขาก็จะสอนอะไรกลับมาให้ผมในฐานะมนุษย์เสมอ อันนี้คือสิ่งที่ทำไมผมถึงรักการแสดง และรู้สึกอยากทำอาชีพนี้ต่อไป”
คนมองว่าปีนี้ปีทองเรา แต่อัดไม่ได้อยากมีปีทอง แต่อยากให้มีทุกปีแบบมั่นคง
“เวลาคนพูดแบบนี้ ใจหนึ่งมันก็รู้สึกว่า…ไม่ได้อยากมีปีทอง อยากให้มันมีทุกปี (หัวเราะ) อยากให้มีทุกปีแบบมั่นคง ช่วงนี้เวลาคนพูดว่า อุ๊ย...เห็นหน้าบ่อย เล่นเยอะจังเลย แต่ทุกคนไม่รู้ว่าช่วงนี้ว่างงานอยู่ครับ มันแค่จังหวะพอดีกัน แต่ว่าก็อยากให้คนรับรู้ ว่ามันยังอีกไกลนะ กว่าที่มันจะไปสู่จุดนั้น การที่คุณเห็นคนหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง มันไม่ได้การันตีว่าเขาจะมีความมั่นคงในอาชีพจริงๆ เบื้องหลังมันยังมีอะไรที่ยังต้องต่อสู้อีกเยอะมาก แล้วตัวผมเองก็ต้องพยายามบาลานซ์ตัวเองและวิ่งหาโอกาส
มันมีหลายอย่างที่ไม่ได้ง่าย และสวยงามอย่างที่มองแค่ข้างนอก ต่อให้ทุกคนจะบอกว่าได้รางวัล 1 2 3 4 มันดูยิ่งใหญ่มาก แต่ว่าไม่ครับ จริงๆ แล้วชีวิตของการเป็นนักแสดงก็ยังต้องต่อสู้ ต้องเป็นคนที่ถูกเลือกและไม่ถูกเลือกอยู่เสมอ และเราก็ไม่รู้ด้วย ว่าใครจะติดต่อเรามา หรือเราต้องวิ่งไปหาใครเพื่อที่จะได้งาน มันยังต้องไปอีกไกลเลยครับ”
เป้าหมายอัดคือระดับโกลบอล เมื่อถามว่าเส้นทางตอนนี้อยู่ตรงไหนแล้ว ใกล้หรือยัง เจ้าตัวก็บอกว่า...
“ความฝันวันหนึ่งอยากร่วมงานกับผู้กำกับ หรือได้ไปอยู่ในหนังต่างประเทศ ก็อยู่ในขั้นตอนที่ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปครับผม ก็เตรียมตัวว่าควรจะทำอะไรบ้าง เช่นควรฝึกภาษา ก็ฝึกภาษาอังกฤษทุกวัน เพื่อวันหนึ่งที่เรามีบทที่เขาต้องการให้พูดภาษาอังกฤษได้ เราพร้อม ผมก็ฝึกทุกวัน เราไม่ได้โตมาในต่างประเทศ เราโตมาในโรงเรียนไทย มหาวิทยาลัยไทย ไม่เคยไปเรียนต่างประเทศยาวๆ แบบเขา แต่ก็เคยได้ไปเที่ยว ไปเรียนคอร์สสั้นๆ แต่เราก็ต้องฝึกมากกว่าเดิม
มันเป็นเหมือนการเตือนตัวเอง ว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ที่เหลือผมก็เรียนแอคติ้งเพิ่ม เตรียมตัวในด้านอื่น เรียนเต้น เล่นโยคะ ทำอะไรก็ได้ที่เรารู้สึกว่าเราพร้อมทั้งกายและใจ อย่างเต้นได้ ใครจะไปรู้วันหนึ่งอาจจะมีบทที่เราต้องเต้น แล้วพอเราเต้นได้ พอไปออดิชั่นแล้วมันอาจจะมีโอกาสมากกว่า หรือร้องเพลงอย่างนี้ครับ ถ้าเราร้องได้มันก็มีโอกาสใครจะไปรู้ว่ามันจะมีหนังที่ต้องร้องเพลงหรือเปล่า
มันก็เลยต้องกลับมาคิด ว่าพอเราเป็นนักแสดง ณ วันหนึ่งเราจะไปโกลบอล ตอนนี้เรามีจุดอ่อนอะไรที่ยังไปไม่ถึง แน่นอนว่าเรื่องภาษา เราก็ต้องเตรียมตัวตรงนี้ให้มันสำคัญ แล้วจุดอื่นๆ ค่อยๆ เสริมไป เป็นความสามารถที่มันพิเศษขึ้นมากว่าเดิม ก็เตรียมตัวไปเรื่อยๆ เรามีหมุดหมายของเรา ว่าเราต้องเดินไปทางไหน ก็พยายามจะหาคอนเน็กชั่นต่อไป เวลาไปเทศกาล คือทักไปหาคนรู้จักว่าฝากตัว มันก็ต้องทำครับ ถ้าไม่เริ่มก็ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้น ถ้าเริ่มแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จ ก็จะได้รู้ว่ามันไปไม่ถึง ก็ยอมรับมัน แต่ต้องเริ่มก่อน”
ยอมรับได้ ถ้าวันหนึ่งไม่สมหวังในสิ่งที่ตั้งเป้าไว้
“ได้ครับ ผมว่าชีวิตเรามันผิดหวังมา จนเรารู้สึกว่าผิดหวังอีกรอบมันจะเป็นอะไร มันไม่มีทางที่เราจะทำอะไรทุกอย่างบนโลก แล้วมันจะประสบความสำเร็จไปทั้งหมด ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอน แต่การที่เรามีความฝัน แล้วเราได้เริ่มลงมือทำ มันมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นอย่างน้อยเราได้พัฒนาสกิลตัวเองในด้านอื่นๆ ซึ่งสมมติมันไม่ได้ถูกนำมาใช้กับการแสดง หรือการเป็นนักแสดงระดับโกลบอล แต่ผมอาจจะไปทำอย่างอื่นก็ได้
ผมฝึกภาษาทุกวัน ภาษาอังกฤษผมก็ดีขึ้น ผมก็อาจจะมีช่องทางทำงานอื่นๆ ก็ได้ หรือการเต้นอาจจะนำพาไปสู่สิ่งอื่น การร้องเพลงก็เช่นกัน คือสุดท้ายการที่เรามีเป้าหมาย มีความฝัน มันก็เป็นเรื่องที่ดี ยิ่งถ้ามีวินัยในการฝึกและพัฒนาตัวเอง มันมีแต่ดีกับดีครับ ถ้าความฝันมันจะไม่เป็นจริง ก็แค่อีกหนึ่งความผิดหวังในชีวิต เราก็ได้เรียนรู้แล้วก็หาทางใหม่ ชีวิตมันก็แบบนี้ครับ”
ผลักดันตัวเอง สู้ด้วยตัวเองที่จะไประดับโลก
“ก็ตัวเองนี่แหละครับ แล้วก็มีแรงซัปพอร์ตจากเพื่อนๆ คนที่เรารัก คนที่รักเรา โดยรวมมันต้องเริ่มจากตัวเอง คือเราก็พยายามหาคอนเน็กชั่นจากคนที่เรารู้จัก แต่สุดท้ายมันก็ต้องมาจากตัวเราเป็นหลัก ว่าเราพร้อมหรือเปล่าที่จะไปตรงนั้น สุดท้ายตัวเรานั่นแหละที่ต้องเตรียมตัวให้มากพอที่จะไป และพร้อมให้เขาเลือกเรา
อีกอย่างหนึ่งเราก็ไม่รู้ว่าไทม์มิ่ง ว่าจังหวะมันถูกต้องหรือเปล่า อย่างที่บอกอาชีพนี้เราเป็นผู้ถูกเลือกและผู้ไม่ถูกเลือกอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นมันแล้วแต่จังหวะชีวิตด้วย ใครจะไปรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต แต่ก็คิดว่าอย่างน้อยตัวเราต้องเริ่มก่อน”
ตอบไม่ได้เหมือนกันว่า การไล่ตามความฝันนี้จะมีวันหมดอายุไหม
“ผมก็ไม่รู้หรอกว่าสุดท้ายแล้ว ความฝันนี้มันจะอยู่ยาวขนาดไหน เพราะคนเราก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ใครจะไปรู้วันข้างหน้าอีก 2 ปี ผมอาจจะไปเจอสิ่งอื่นก็ได้ แต่ ณ วันนี้ อันนี้คือสิ่งที่เราก็ตกตะกอนมาในระดับหนึ่งของชีวิตแล้ว เรารู้สึกว่าเราอยากให้สิ่งนี้มันเป็นจริงให้ได้ ก็คิดว่าอาจจะต้องหาบาลานซ์ครับ ว่าการไล่ตามความฝันนี้ กับการทำให้ชีวิตอยู่ได้อย่างมั่นคง ถ้ามันมี 2 สิ่งที่บาลานซ์กันได้ ก็คิดว่าความฝันนี้มันอาจจะไปได้เรื่อยๆ จะมีแรงไล่ตามต่อไปเรื่อยๆ”
อายุ 28 ปี แต่รู้สึกว่าตัวเองโตกว่าวัย
“ก็รู้สึกครับ (หัวเราะ) บางทีก็รู้สึกว่าโตกว่าวัยไปเยอะพอสมควร แล้วส่วนมากเพื่อนๆ ผมที่สนิท ทุกคนจะอายุ 30 ปลายๆ ถึง 40 ปี แต่ไม่ใช้คำว่าแก่ แค่รู้สึกโตกว่าวัยถูกแล้ว เพราะบางทีพูดว่ารู้สึกแก่จังเลย หลายคนก็จะบอกว่ามึงเพิ่งอายุ 28 อย่างเพิ่งคิดว่าแก่ แต่ด้วยสิ่งที่เราเจอมาในอดีต หรือการตกตะกอนความคิด เราก็รู้สึกว่าเราโตแล้ว (เหมือนเราอยู่ในสังคมพี่ๆ ที่โตกว่า?) ใช่ครับ รู้สึกว่าคุยด้วยแล้วสบายใจ คุยแล้วถูกคอ บทสนทนามันไปได้เรื่อยๆ แต่บางทีคุยกับคนเด็กกว่า มันก็สนุกอีกแบบหนึ่ง แต่ว่าแค่เราอาจจะโตกว่าวัยของเรา”
ถึงจะโตกว่าวัย เป็นคนจริงจัง แต่ก็มีมุมน่ารักมุ้งมิ้ง
“ก็มีนะครับ ผมก็มนุษย์ปกติ (หัวเราะ) ก็มีมุมบ้าๆ บอๆ เวลาอยู่กับเพื่อนเราก็เป็นอีกโหมดหนึ่งครับ เราก็ไม่ได้จริงจังตลอดเวลา แค่เราจะเป็นแบบนี้ ต่อเมื่อเราอยู่กับคนที่เราสนิทและสบายใจ เราก็จะเป็นโหมดอีกแบบหนึ่งครับ”
มีเรื่องอะไรที่ปล่อยจอยบ้างไหม?
“ยากจังเลย แค่คิดว่าจะกินอะไรยังยากเลย (หัวเราะ) เอาจริงๆ ผมเป็นคนใช้ความรู้สึกเยอะ อย่างเรื่องความรัก เวลาเรารู้สึกว่าเราใช้หัวใจในการดำเนิน แต่ในขณะเดียวกันพอใช้หัวใจนำไปก่อน สุดท้ายมันก็ต้องกลับมาใช้หัว แต่เรื่องความสัมพันธ์กับคน เรื่องเซ้นส์ เราจะใช้หัวใจก่อน ในการทำความรู้จักคน ไม่ได้ใช้ความคิด เราใช้หัวใจ ใช้การรับรู้ถึงเอเนอร์จี้บางอย่าง เราไม่ได้ตั้งป้อมว่าเธอเป็นใคร 1 2 3 4 เรารู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มันต้องใช้หัวใจนำเป็นหลัก นี่จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างชัด ว่าเราจะไม่ใช้สมองก่อน แต่ว่าพอรู้จักกันระดับหนึ่งแล้ว เราก็จะรู้ว่าโอเค คนนี้…เท่านี้แล้วกัน (หัวเราะ)”
เป้าหมายการทำงานต่อจากนี้ ถ้าไม่นับเรื่องโกลบอล เจ้าตัวยังหาตำตอบให้ตัวเองอยู่
“ก็ยังหาคำตอบอยู่ครับ ตอบแบบตรงๆ เลย ก็ยังหาทางไปต่ออยู่ให้มั่นคง กลับมาเรื่องเดิมว่าอยากให้มันมั่นคง อยากเป็นนักแสดงนี่แหละครับ แต่ก็มีคิดว่าจะทำอาชีพอะไรสำรองเป็นอาชีพที่ 2 ไว้บ้าง ก็พยายามหาอยู่ ก็ยังเป็นช่วงค้นหา หลายคนที่ได้ฟังก็ไม่ต้องแปลกใจ เราก็อยู่ในช่วงที่กำลังหาสิ่งที่เราอยากจะทำด้วย นอกเหนือจากการเป็นนักแสดง เพื่อความมั่นคงในชีวิตก็ไม่แปลกถ้าใครจะเจอสถานการณ์เดียวกันในชีวิต
ผมที่ภายนอกทุกคนมองเข้ามา อาจจะดูชีวิตดีเหลือเกิน แต่จริงๆ มันก็มีปัญหาที่หาคำตอบอยู่เรื่อยๆ และผมคิดว่ามันก็จะยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในชีวิตที่เราโตขึ้น ในช่วงที่เราว่างงานหรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็จะมีความคิดของมัน ก็พยายามมองหาอยู่ครับ ว่าเราจะทำอะไรต่อไป นอกเหนือจากการเป็นนักแสดงที่รอจังหวะและโอกาสเข้ามา”
