“อัด อวัช” ตกตะกอนผ่านหนัง การต้องเล่นเป็นซอมบี้ ใน “ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ” ทำให้โหยหา และเห็นคุณค่าของการเป็นมนุษย์ ยกเป็นหนังซอมบี้ที่แตกต่างออกไป เป็นความท้าทายใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน
เป็นนักแสดงมากฝีมือที่มีรางวัลการันตีคุณภาพ สำหรับ “อัด อวัช รัตนปิณฑะ” ล่าสุดเจ้าตัวมีผลงานเรื่องใหม่มาให้ท้าทายความสามารถขั้นสุด กับหนังซอมบี้สัญชาติไทย “ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ” ที่เพิ่งไปฉายรอบแรกของโลกให้สื่อมวลชนและนักวิจารณ์ภาพยนตร์ได้ชมกัน ในงานเทศกาลภาพยนตร์ New York Asian Film Festival (นิวยอร์ก เอเชียน ฟิล์ม เฟสติวัล) ครั้งที่ 23 หรือ NYAFF ที่ ฟิล์ม แอท ลินคอร์น เซ็นเตอร์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยที่ไทยมีกำหนดฉาย 1 สิงหาคม นี้
“ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสมรภูมิรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดชุมพร โดยกลุ่มยุวชนทหาร หน่วย ช.พ.๑ ได้ถูกเกณฑ์เป็นกองกำลังต่อต้านทหารญี่ปุ่น แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ สมรภูมิรบนี้ไม่ได้มีเพียงทหาร ปืน และระเบิดที่คร่าชีวิตได้ แต่ยังมีบางสิ่งคอยเล่นงานทุกคนอยู่ ซึ่ง “อัด อวัช” นักแสดงนำของเรื่องถึงกับออกปากว่า เป็นความท้าทายใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน
“ผมรับบทเป็น หมอก ครับ ซึ่งคาแรกเตอร์ของเขาจะเป็นเด็กที่ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเอง เป็นเด็กช่างฝัน เป็นคนมีจุดยืนในชีวิตค่อนข้างชัดเจน ว่าเขาต้องการอะไรหรือไม่ต้องการอะไรในชีวิต แล้วก็เป็นคนที่ไม่ได้อินในเรื่องของการเป็นทหาร ซึ่งแตกต่างจากพี่ชายของเขา ก็คือพระเอก ซึ่งรับบทโดย นนกุล (ชานน สันตินธรกุล) ก็เป็นสองพี่น้องที่คนละขั้วความคิด คนหนึ่งจะอินกับการเป็นทหาร รู้สึกว่าการได้ปกป้องชาติคือสิ่งสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันตัวน้องไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งนั้น แค่อยากใช้ชีวิตของเขาแบบง่ายๆ ไป”
ยากหลายอย่าง ต้องใช้จินตนาการเยอะ เป็นซอมบี้ที่แตกต่างออกไปจากที่เคยดู
“จริงๆ เรื่องนี้มันก็มีความยากหลายอย่างครับ ด้วยความที่พอมันเป็นหนังแนวสยองขวัญ ดรามา แล้วก็เป็นหนังซอมบี้ ซึ่งสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ยากอยู่แล้ว เพราะเราไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้ในชีวิตจริง มันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยมีประสบการณ์โดยตรง เราเห็นจากหนังหรือซีรีส์ใสอดีต ที่มันเป็นซอมบี้ เพราะฉะนั้นพอเราต้องมาเล่นจริงๆ มันคือการที่เราจะต้องใช้เรื่องของจินตนาการค่อนข้างเยอะ
ด้วยโจทย์ที่พี่โขม (ก้องเกียรติ โขมศิริ) ผู้กำกับเขาอยากให้เป็น มันก็คือความท้าทายตรงที่ สุดท้ายเขาอยากจะทำซอมบี้ที่มันแตกต่างไปจากซอบบี้ที่เราเคยดูทั่วไป ในเรื่องนี้มันเลยเป็นซอมบี้ที่แตกต่างออกไป ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราก็ไม่รู้ ว่ามันจะออกมาหน้าตาเป็นยังไง เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นชาเลนจ์ ว่าระหว่างที่เราถ่ายหรือค้นหาตัวละคร มันคือการเรียนรู้ไปด้วยกัน มันเลยเป็นความยากที่พอเราไม่มีเรฟเฟอเรนซ์ชัดเจน มันคือการทดลองไปด้วยกัน ผมว่าสิ่งนี้คือการชาเลนจ์
ก็สนุกดีในการที่เราได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน ตอนถ่ายทำเราสนุก เป็นประสบการณ์ใหม่ในชีวิตที่ไม่เคยได้เล่นอะไรแบบนี้ มันมีชาเลนจ์มากมาย มีสิ่งหลายๆ อย่าง ที่เรารู้สึกว่าได้เรียนรู้ระหว่างการทำงาน การได้ลงไปอยู่กับตัวละคร มันเจอความน่าสนใจ เจอบทเรียนเยอะ”
การเล่นเป็นซอมบี้ ทำให้เห็นคุณค่าการเป็นมนุษย์
“สุดท้ายพอเราต้องเล่นเป็นซอมบี้ในเรื่อง มันค่อนข้างจะเป็นสัดส่วนที่เยอะมากๆ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าพอเราอยู่ร่างนั้นนานๆ เราก็คิดถึงช่วงเวลาที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน หมายถึงว่ามันสะท้อนกลับมาว่า ถ้าวันหนึ่งเราอยู่ในสภาพนี้จริงๆ เราจะโหยหาความเป็นมนุษย์มากขนาดไหน เพราะตอนนั้นที่เราเล่น พอมันต้องอยู่ในสภาพนั้นด้วยเมคอัพด้วยเอฟเฟกต์ มันทรมานนะ (หัวเราะ) ทรมานทั้งกายทั้งใจ มันอึดอัด มันรู้สึกแบบ...นี่เกิดอะไรขึ้น แล้วเวลาเราไปเล่น มันต้องมีความรู้สึกที่หลากหลาย ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มันรู้สึกเหนื่อยจังเลย
บางทีพอเราล้างหน้าหลังถ่ายเสร็จ พอเห็นตัวเองกลับมาเป็นปกติ ก็รู้สึกว่าเฮ้ย... เราเป็นมนุษย์ มันทำให้เรากลับมามองชีวิตเรามากขึ้น ว่าตอนนี้ที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่ ในวันที่เรื่องพวกนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง ซึ่งเราไม่มีทางรู้ว่าในอนาคต มันอาจจะเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นหรือเปล่า เราได้ทำสิ่งที่เราอยากทำหรือยัง ได้บอกรักคนที่เราอยากบอกหรือยัง เราได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ แบบที่เรารู้สึกว่าเราจะไม่เสียดายหรือยัง มันก็เป็นรีเฟล็กชั่นที่มันสะท้อนกลับมาตอนที่เราถ่ายอยู่ หรือตอนที่เราเล่นบทนี้ครับ”
ต้องสวมบทเป็นซอมบี้ ทำให้ “อัด” ตกตะกอนถึงเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้ง
“ผมว่ามันก็มีผล เพราะตอนที่ถ่ายก็ทรมาน (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่าหนึ่ง คือเรื่องเมคอัพ เราอยู่กับสิ่งนี้ทั้งวัน มันไม่มีความสบายตัวครับ ทุกอย่างมันไม่มีอะไรสบายเลย แต่เราต้องอยู่ พอเราเข้าหน้าเซ็ตไปเป็นซอมบี้ ก็คือเปลี่ยนตัวเองเป็นโหมดที่ไม่ใช่มนุษย์ปกติ แล้วต้องไปเล่นเป็นซอมบี้ที่เรามีความรู้สึกในหลายๆ เลเวลของตัวละคร มันเลยรู้สึกว่าพอเราไม่ได้เป็นมนุษย์ปกติ เราต้องอยู่ในร่างนี้ และเราเริ่มรีไทร์ว่านี่ไม่ใช่เราอีกต่อไป แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะรับมัน มันไม่ง่ายเลย
ทำให้พอเราจบกองปุ๊บ แล้วเรากลับสู้ร่างปกติ มันก็ทำให้เราตกตะกอน ว่าวันที่เราได้เป็นมนุษย์อยู่ตอนนี้ เราเห็นคุณค่า แต่มันไม่ได้แปลว่าก่อนมาถ่ายเราไม่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ แต่มันทำให้เราเห็นอีกมิติหนึ่งมากกว่า”
การเป็นซอมบี้แม้จะความทรมานไปทั้งตัว แต่ไม่มีผลกับการทำงาน
“ในมุมหนึ่งมันก็ช่วยส่งเสริมนะ พอเรามีเมคอัพ เราเห็นไม่ใช่แค่ตัวเรา แต่ว่าน้องๆ เพื่อนๆ ที่เป็นซอมบี้ด้วยกันอยู่ เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่ในโลกของมนุษย์ เรารู้สึกว่าเรามีเพื่อน Your zombie. I’m zombie. We are zombie together. อะไรแบบนี้ เราเห็นแล้วเราก็รู้สึกโอเค มันง่ายในการคอนเน็กกับตัวละคร พอเราเป็นแก๊ง เราก็ลุยไปด้วยกัน”
มืออาชีพสุดๆ แม้ฝีมือการแสดงเป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว แต่ “อัด” ก็ไปแคสติ้งเพราะอยากให้เกียรติคนทำงาน
“ผมรู้สึกว่าจริงๆ แล้ว ทุกเรื่องเราควรจะให้เกียรติคนทำงาน กับผู้กำกับ กับทีมงานที่เขาเป็นคนครีเอตหนังเรื่องนั้น การไปออดิชั่นมันคือการที่เราให้เกียรติเขาด้วย และให้เกียรติตัวเองในฐานะนักแสดง เพราะผมรู้สึกว่าการไปออดิชั่นมันคือการไปเพื่อให้เขาเห็น ว่าเราเหมาะสมจริงๆ ไหม แล้วก็รู้สึกว่าสุดท้ายเราไปเพราะว่าเราอยากโชว์ ว่าเราอยากเล่น อยากให้เขาเห็นอะไรในตัวเรา ให้เขาเชื่อมากกว่าเดิม ถ้าเขาไม่ได้ชอบเราตั้งแต่แรก แต่ถ้าเราไปออดิชั่นแล้วเราใส่เต็ม เราโชว์ว่าเราอยากได้บทนี้ มันอาจจะเปลี่ยนใจเขาก็ได้ ผมเลยรู้สึกว่ามันมีแต่ข้อดีกับข้อดี
แล้วก็ได้ไปรู้จักคนเพิ่มเติม เป็นการขยายคอนเน็กชั่นในตัวเรา เรื่องนี้สุดท้ายเราอาจจะไม่ได้ แต่เรื่องหน้าเขาอาจจะคิดถึงเรา เรามาแคสฯ เราไม่ได้ถือตัว ว่าเราพิเศษกว่าใคร ผมรู้สึกว่านักแสดงก็คือนักแสดงเท่ากัน ในวันที่เราไปแคสฯ เราอยู่ในขั้นตอนของการตามหา ทุกคนเป็นนักแสดงเหมือนกันหมด มันไม่ได้ว่าคุณดังมาแล้วจะเหนือกว่าคนอื่น ผมรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วการไปแคสฯ ไปออดิชั่น มันคือการหาที่ถูกต้อง หาคนที่เหมาะที่สุดกับบทๆ นั้น แล้วถ้าเขาเลือกเรา ก็คือการตัดสินใจร่วมกัน มันคือการให้เกียรติกันและกัน”
เมื่อถามว่า วันที่ไปแคสติ้ง ความมั่นใจเต็มร้อยไหม เจ้าตัวก็บอกว่า เดิมทีต้องไปแคสฯ บทที่ “นนกุล” เล่น
“ตอนแรกไปแคสฯ บท เมฆ ครับ (หัวเราะ) เขาติดต่อให้ไปแคสฯ บทของนนกุล เราก็เตรียมตัวไปอย่างดี เตรียมบทเมฆ จำแต่ไดอะล็อกเมฆ ไม่ได้เตรียมของหมอกไป แคสฯ ไปได้ 2 เทค ทีมเขาก็บอกว่าไหนลองเล่นเป็นหมอกสิ เราก็แบบ...ผมจำไดอะล็อกไม่ได้เลยนะ เขาบอกไม่เป็นไรอ่านเท่าที่มี เราก็อิมโพรไวส์เอาเลย เขาก็บรีฟคาแรกเตอร์เบื้องต้น เราก็เล่นไปเทคเดียว เขาก็บอกชอบให้เป็นหมอกมากกว่า หลังจากนั้นก็ให้แคสฯ เป็นหมอกในซีนอื่นๆ ตอนแรกเราก็ไม่ได้เห็นตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พอเปลี่ยนเป็นเขา เราก็คิดว่ามีบางอย่างที่เป็นไปได้”
สิ่งที่คิดว่าตัวเองเป็น “หมอก” ได้ คือความเป็นหัวกบฎ
“เรามีความเป็นหัวกบฎนิดหนึ่ง ไม่ชอบทำอะไรตามกฎร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นคนช่างฝัน รักอิสระ และการไม่ได้อินเรื่องของการเป็นทหาร อาจจะมีจุดร่วมคล้ายๆ กันอยู่ เป็นคนดื้อในแบบของมัน ซึ่งภายนอกผมอาจจะดูนิ่งๆ แต่จริงๆ ข้างในเราเป็นคนมีจุดยืนของตัวเอง อะไรที่เราไม่เห็นด้วยเราก็จะไม่เห็นด้วย พอเราไปเล่นเป็นหมอก เขาเลยรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ใกล้เคียงกัน”
รู้จักกับ “นนกุล” ตั้งแต่สมัยอยู่ค่ายเดียวกัน “นาดาวบางกอก” แต่เพิ่งโคจรมาร่วมงานกันครั้งแรก
“กับนนกุลรู้จักกันมานานตั้งแต่สมัยอยู่ค่ายเดียวกัน แต่ว่าเรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่ได้โอกาสมาแสดงด้วยกันจริงๆ ก่อนหน้านั้นรู้จักกันมาแต่ไม่เคยได้ทำงานข้างหน้าด้วยกัน จะมีที่ผมทำเบื้องหลัง แล้วเขาอยู่ข้างหน้า แต่ว่าก็ดันมาเล่นเป็นพี่น้องที่มีความคิดคนละขั้ว คนละแบบ ซึ่งก็ใกล้เคียงกับชีวิตจริงครับ ที่คนละแบบ คนละสไตล์
จริงๆ ก็เป็นสิ่งที่ดีกับหนังเหมือนกัน เพราะในแง่การแสดง มันก็ใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ได้ เราสามารถคีฟความเป็นคนละขั้วด้วยตัวตนของเราทั้งคู่ได้ แต่เราก็ต้องมาหาจุดเชื่อมความสัมพันธ์ ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นพี่น้องที่รักกัน แต่ว่าวิธีการแสดงออก มันตรงกันข้ามกับความรักที่มีต่อกัน มันก็จะมาหาจุดนี้ที่เราต้องสร้างความสัมพันธ์ที่มันอาจจะไม่ได้บอกรักกันผ่านคำพูด แต่มันจะไปอยู่ในการกระทำ อยู่ภายใน อันนี้เป็นสิ่งที่เราได้มาเรียนรู้ร่วมกันตอนเวิร์กช็อป
ผมว่ามันคือความเป็นห่วงกันนั่นแหละ แต่ว่ามันเป็นความเป็นห่วงที่ไม่ได้แสดงออกตรงๆ อันนี้เป็นสิ่งที่คิดว่าคงน่าจะได้เห็นว่าจริงๆ มันคือพี่น้องที่มันรักกันแหละ แต่ว่ามันแสดงออกแบบที่ไม่ปกติ ผมว่าหลายๆ คนก็คงเจอในครอบครัว ความคิดคนละแบบ แต่ไม่ได้แปลว่าเราเกลียดกัน เราหวังดีต่อกัน แต่เราแค่มีวิธีการพูดที่มันไม่ได้ตรงไปตรงมา บอกรักจ๊ะจ๋า มันคืออีกแบบหนึ่งครับ
ก็ฝาก ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ นะครับ 1 สิงหาคมทุกโรงภาพยนตร์ เป็นหนังที่ผู้กำกับและทีมงานนักแสดงทุกคนเต็มที่มากๆ เป็นหนังสยองขวัญ ดรามา ซอมบี้ ที่คิดว่าหลายๆ คนคงจะได้สัมผัสความสนุก ความสยอง ความดรามาในหนังเรื่องนี้ ก็ครบรสครับ”