xs
xsm
sm
md
lg

“คิมแจจุง” เผยประสบการณ์ ตื่นมาเจอซาแซงแฟนนอนบนเตียงกำลังขโมยจูบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กลายเป็นประสบการณ์หลอนที่สมกับคำว่าคนน่ากลัวกว่าผี สำหรับ “คิมแจจุง” อดีตสมาชิกวงดงบังชินกิ และ JYJ ที่ล่าสุดให้สัมภาษณ์ถึงประสบการณ์ดังกล่าว โดยขอเรียกตนเองว่าเป็นคนในวงการบันเทิงที่โดนคุกคามหนักที่สุด

คิมแจจุง วัย 38 ปีได้เผยเรื่องราวดังกล่าวในรายการ Midnight Ghost Stories ทางสถานี MBC ซึ่งเขาได้รับการแนะนำตัวในรายการว่าเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องผี แต่ก็เจอประสบการณ์หลอนแบบขนหัวลุกที่สุดจากสิ่งที่เรียกว่า “ซาแซงแฟน” ( แฟนคลับที่คุกคามชีวิตส่วนตัวของศิบปิน ) ซึ่งเขาโดนมาตลอด 20 ปี

“บางทีผมอาจจะเป็นคนที่โดนซาแซงแฟนคุกคามหนักที่สุดในเกาหลีใต้ก็ได้”

เจ้าตัวได้เล่าว่าในเวลานั้นเขาตื่นมาเจอซาแซงแฟนกำลังนั่งจับมือเขา “มันไม่ใช่แค่จับมือเฉยๆนะครับ มันมีจูบด้วย”

แจจุง กล่าวอีกว่าเขาตื่นแล้วเห็นผู้หญิงนอนอยู่บนตัวเขาตอนแรกเข้าใจว่ากำลังฝันจึงพยายามหลับต่อ แต่พอลืมตาอีกครั้งถึงได้พบว่ามันคือเรื่องจริง มีคนบุกรุกเข้าในบ้าน

นอกจากนั้นยังมีซาแซงแฟนอีกราย ที่เคยมากดกริ่งที่บ้านเขาทุกคืน เมื่อตำรวจจับตัวได้และเรียกไปสอบสวน คำตอบที่ได้รับคือ แค่ต้องการสัมผัสใกล้ชิดถึง แจจุง ผ่านการกดกริ่งอันเดียวกับที่เขาเคยกด

ในเวลานั้น แจจุง กล่าวว่าเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็สามารถพูดคุยถึงเรื่องซาแซงเหล่านั้นได้แล้ว โดยเสริมว่า “ถ้าผมบอกความจริงกับทุกคนตอนนั้น ผมกลัวว่าพวกเขาอาจจะทำเรื่องที่สุดโต่งมากกว่านี้”

แจจุง กล่าวว่า ในสมัยนั้น กลุ่มซาแซงแฟนถือว่าเป็นแฟนคลับที่เหนียวแน่นของศิลปิน ถ้าเขาพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนในสังคมตอนนั้นจะมองว่ามันคือเรื่องปกติ ที่แฟนคลับจะสะกดรอยตามศิลปินที่ชื่นชอบไปถึงที่บ้าน

“แต่ในทางกลับกัน ลองนึกภาพการถูกสะกดรอยตามเป็นเวลา 1 ปี มันช่างน่าหดหู่นะครับ ทำเอาคุณอยากฆ่าตัวตายเลย”

“แต่การลงโทษสำหรับการสะกดรอยตามเคยมีโทษปรับเพียงระหว่าง 1.5 - 3 ล้านวอน ( 39,000 - 78,000 บาท )”

เขาเสริมว่ามันน่ากลัวยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อพวกสตอล์กเกอร์จ่ายค่าปรับ เพราะ "นั่นหมายถึงปัญหาที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น"

“เพราะคุณจะกลัวการกลับมาแก้แค้น ดังนั้นมันจึงเหมือนถูกบังคับให้ย้ายออกจากละแวกนั้น” เขากล่าว

เมื่อมองย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ดังกล่าว แจจุง ในวันนี้รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป แต่ยอมรับว่าในเวลานั้นเขารู้สึก "ทุกข์ทรมานจนอยากตาย" เลยทีเดียว











กำลังโหลดความคิดเห็น