“มีน นิชคุณ” ฉีกทุกกฎ สยบทุกคำสบประมาท “มีดีแค่หน้าตา” พิสูจน์แล้วผ่าน “ชวิศ” ใน “ดุจอัปสร” มองย้อนกลับไป ยังเคยด่าตัวเองว่า “เล่นอย่างไรให้เป็นหุ่นยนต์” เผยถ้าต้องเลือกระหว่าง “งานแสดง” หรือ “เล่นบาส” อาจจะเลือกไม่ได้ แต่ถึงวันที่ต้องเลือก ก็จะเลือกสิ่งนี้
“มีน นิชคุณ ขจรบริรักษ์” นักแสดงหนุ่มหน้าหล่อที่ฝากความทะเล้นไว้ใน “ดุจอัปสร” เรื่องที่สี่ จากจักรวาลดวงใจเทวพรหมจากบทบาทเพลย์บอยอย่าง “ชวิศ” ซึ่งต้นเรื่องจะคะขาตลอดเวลา แต่พอ 3 ตอนสุดท้าย หลายคนก็ลุกขึ้นปรบมือให้กับซีนดรามาชนิดที่ว่าแหกกฎที่เจ้าตัวเคยบอกตัวเองว่าเป็น “โรบอต” มาก่อน ซึ่งเส้นของผู้ชายคนนี้ เริ่มจากละคร สลับไปเล่นซีรีส์บอยเลิฟ จนมีชื่อเสียงโด่งดังติดเทรนด์ X ทุกครั้งเมื่อมีผลงาน แต่น้อยคนนักจะรู้จักตัวตนของผู้ชายคนนี้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนอย่างไร
“เพลย์บอยพีเรียด ต้องมีคำพูดจาต้องคะขา หวานๆ คำพูดจะเยอะหน่อย คือเมื่อก่อนไม่มีพิมพ์หากัน ก็จะพูดต่อหน้า มีมุกของเขา อย่างซีนที่คุณพลอยออกมาเราถามคุณพลอยว่า คุณพลอยวันนี้นอนบ้านหรือคอนโดคะ คุณพลอยก็บอกว่านอนคอนโคค่ะ เราก็เสนอไปว่า งั้นพี่ไปส่งนะคะ ซึ่งพี่จ๋า (ผู้จัด) ก็บอกว่าให้เรฟฯ อย่าง ‘พี่หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย’ ตอนแรกผมก็คิดไม่ออกมาว่าต้องเล่นประมาณไหน เพราะมันเป็นพีเรียดด้วย เขาบอกต้องเป็นคนพูดเยอะๆ คารมดี เขาบอกลองไปหาเรื่องที่พี่หนุ่มเล่นไว้ ผมก็ไปเสิร์ชยูทิวบ์ดู จำชื่อเรื่องไม่ได้ เป็นซีนที่พี่หนุ่มหลบอยู่หลังใครไม่รู้แล้ว พูดปั่นๆ แซวๆ เหมือนเอาตัวเองให้รอด ฟีลนั้น
ละครถือว่าเป็นเรื่องที่ 2 ถือว่าใหม่สำหรับมีนมากๆ ตอนที่ถ่าย พราวมุก เรื่องแรก แล้วก็มาซีรีส์เรื่องที่ 2 แล้วก็มา ดุจอัปสร แต่ก่อนหน้านั้นก็มีซีรีส์คั่น เรื่อง อัยย์หลงไน๋ คือซีรีส์กับละครไม่เหมือนกัน ซีรีส์เราเล่นไปตามคาแรกเตอร์วัยรุ่น คำพูด แต่ละครจะต้องเล่นให้มากขึ้น ซีรีส์มีตัวละครไม่เยอะ แต่พอละคร เขาจะเล่าว่าตัวละครนี้มีแบ็กกราวน์ยังไง อีกคนก็มีแบ็กกราวน์ คือละครจะเล่ายาวกว่า แล้วเวลาเล่นละครต้องมีเอเนอร์จี้มากกว่า เหมือนเราเล่นใหญ่กว่า แต่ซีรีส์เล่นตามฟีล แต่ละครเราก็ต้องให้คนดูรู้สึกไปกับตัวละครตามบทนั้นๆ อย่างตัวละครกำลังเศร้า ดีใจ มีความสุข ต้องชัดเจน ถ้าหน้านิ่ง เขาดูไม่ออกว่าเราคิดอะไรอยู่”
รำคาญตัวเอง เล่นแข็งยังกับ “หุ่นยนต์” ปรึกษา “กระทิง ขุนณรงค์”
“ย้อนกลับไปเรื่องพราวมุก มีนรู้เลยว่าตัวเองนิ่งไปเหมือนโรบอต ไม่ได้เล่นดีขนาดนั้น เล่นแบบเราอ่านบทเลย ไม่ได้พูดด้วยความรู้สึก เราเข้าใจ แต่แค่เราไม่รู้เทคนิคขั้นเบสิก เพราะเราไม่เคยเรียนการแสดง ดูแล้วยังรำคาญตัวเองเลยครับ คือทุกคนดูสตอรี่ของเรื่อง กำลังมาดีๆ พอมาเจอเลขา (บทเลขาภูมิ รับบทโดย มีน นิชคุณ) พอพูดปุ๊บ คนดูมีกระตุกนิดนึง แต่ตอนนี้มีนก็ไม่ได้ซีเรียส เพราะผ่านมาแล้ว มีนยอมรับว่า ตอนนั้นเราไม่ได้เก่งขนาดนั้น แต่ก็พยายามเต็มที่ที่สุด และพอเราถ่ายทำ ดุจอัปสร ปิดกล้อง มันก็เหมือนว่ามีนได้ปลดล็อก เพราะเหมือนว่าเราได้พยายามทำความเข้าใจ ในแต่ละซีน หาประสบการณ์จากตรงนี้ด้วย ก็พยายามเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เวลาได้บทใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเล่น ก็อยากเต็มที่ให้มากที่สุด
ก็มีปรึกษาพี่ทิงบ้าง ก็คุยว่าคาแรกเตอร์เป็นแบบนี้ควรจะยังไงดี ซึ่งพี่ทิงก็จะให้คำปรึกษาเรื่องการทำงานดี แต่เรื่องอื่นอย่าปรึกษา (หัวเราะ) เรื่องการทำงานเขาโอเคเลย พี่ทิงเขาก็ดันเรา พี่ทิงน่ารัก เรื่องอื่นไม่ปรึกษา เพราะเรื่องอื่นไม่มีแล้ว ที่ปรึกษาได้เฉพาะเรื่องงานเหมือนเขาเป็นรุ่นพี่เรา เขาเป็นรุ่นพี่ตั้งแต่อยู่โรงเรียน จนมหาวิทยาลัย ก็คิดว่าถ้าเราจะถามใคร เราก็ถามคนใกล้ตัวเรา ก็คือพี่ทิง
พอเราได้บทอะไรมา เราก็จะถามว่าพี่เคยได้บทประมาณนี้ไหม แล้วยิ่งพี่ทิงมีประสบการณ์ เขาก็เลยแนะนำได้ ฟีลเหมือนแบบ นี่พี่ผมไปแคสบทนี้มา เขาให้เล่นเป็นแบดบอยไปเลย ทำยังไงก็ได้ให้ผู้หญิงอยู่กับเราทั้งคืน แล้วพี่ทิงบอก กูก็เคย เราก็เลยบอกไหนพี่เล่ามาสิ ซึ่งปรากฏเขาเล่นแบดไปเลย ก็กูไม่ให้กลับ แต่ด้วยเราแบบ โอ้โห...ต้องขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วมีนยังใหม่มาก แคสนั้นก็ถือว่าเฟลไปเลย เพราะเราไม่ได้ขนาดนั้น คือคิดไม่ถึงขนาดนั้น เราไม่รู้ว่าต้องเล่นขนาดไหน แต่พี่ทิงเขาเล่นดาร์กไปเลย เล่นใหญ่ไปเลย เล่นดาร์กไปเลย เราก็เลยเออว่ะอย่างนี้ก็มีด้วย แต่เราเพิ่งคิดออกไง
และที่บอกว่าควรจะปรึกษาเฉพาะเรื่องงาน เพราะเรื่องอื่น พี่ทิงจะเป็นคนติดเล่น เป็นคนคล้ายๆ กัน ซึ่งปรึกษาเรื่องชีวิตเนี่ยได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องเที่ยว เรื่องบาสฯ อะไรเนี่ย ก็จะมาปั่นๆ มั่วๆ ยำเรื่องกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงจัง คนนี้ปรึกษาได้ ไว้ใจได้ แต่ถ้าเรื่องอื่นเนี่ย เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง”
ถ้าขาดสิ่งนี้ไป “มีน นิชคุณ” จะนอนไม่หลับ!
“ก็ต้องขอบคุณแฟนๆ แฟนคลับ มากกว่า ที่เวลามีงานอะไรก็มาช่วยปั่นเทรนด์ตลอด ซึ่งสำหรับมีน มีนไม่ได้กดดันที่แฟนคลับคาดหวัง เรามากดดัน ช่วงที่เราเตรียมตัวมาพร้อมหรือเปล่า เราพร้อมที่จะทำงานหรือเปล่ามากกว่าครับ มันจะเครียดตรงที่เราจะได้พักผ่อนกี่โมง (หัวเราะ) หรือซ้อมบาสฯ กี่โมง คือมีนเป็นคนที่ถ้าไม่ได้ออกกำลังกาย เข้าฟิตเนสเลย มีนจะนอนไม่หลับ แล้วจริงๆ มีนเป็นคนติดเล่นบาสฯ มากๆ คือเป็นคนบ้าคนนึงเลยกับการออกกำลังกาย เช่นปกติเรามีซ้อมตอนเย็น 4-5 โมง ถึง 2-3 ทุ่ม แต่พอมีละครมีคิวตอนเที่ยงหรืออะไรอย่างนี้ แล้วตอนเช้า เราจะว่าง ตอนเช้าเราก็ไปฟิตเนสหรือว่าเล่นบาสฯ แทน เพื่อทดเวลาบาดเจ็บ ที่เราขาดซ้อมในวันนั้น เรียกว่าเป็นคนจริงจังกับการเล่นบาสฯ มาก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ไหวต้องแบ่งเวลา เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เล่นเลยครับ แต่ถึงยังไงก็ไม่ทิ้งบาสฯ เล่นเรื่อยๆ เพราะแฟนๆ บาสฯ ก็ยังมี แล้วด้วยเราก็เป็นนักกีฬาด้วย ชอบเล่นกีฬา ชอบแข่งขัน
อย่างเวลาลงสนาม มีนก็มีเขินบ้าง กดดันบ้าง เพราะปกติไม่ค่อยมีคนมาเชียร์ไง แต่พอมีละคร มีอะไรแล้วเนี่ย ก็เริ่มมีคนมาเชียร์ เริ่มมีคนมากรี๊ดมาให้กำลังใจกันเยอะขึ้น มีนก็มีเกร็งๆ บ้าง เรารู้สึกดีใจที่คนมาเชียร์เยอะ คนมาดูบาสฯ เยอะมากขึ้น และก็มีกล้อง 360 องศาเลย ผมเป็นนักกีฬา ก็ปกติ (หัวเราะ) ไม่ได้มาซีเรียสว่าใครยกกล้อง ไม่ยกกล้อง ผมก็เล่นไปตามสไตล์ และจริงๆ พี่ทิงไม่ได้เป็นคนเก็ก เขาเป็นคนที่เวลาดีใจ หรือเวลาอะไรอย่างนี้ เขาเป็นตัวของตัวเองเลย เขาไม่ได้มาแอ็กใส่กล้องนี้ หรืออะไร ฟีลเหมือนอารมณ์ร่วมในการแข่งขัน อย่างมีนก็เป็น อยากตะโกนก็ตะโกน บางทีก็หงุดหงิดในสนาม แต่เราก็ต้องควบคุมอารมณ์ แต่ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามเกม เพราะบาสฯ เป็นกีฬาปะทะอยู่แล้ว”
“ส่วนจิ้นกับพี่ทิง (หัวเราะ ) คือคลิปนั้นพี่ทิงบอกว่าทำผิดทาง แล้วผมชอบทำแบบสวนไง ทุกคนทำ 5 นิ้วหมด แต่ผมทำสวนอยู่คนเดียว พี่ทิงก็บอกทำผิดทางนะ ผมก็เลยบอกว่าผมบอกเหรอ ก็เลยปัดมือทิ้ง แกล้งๆ ก็ชอบแกล้งกันอยู่แล้ว”
เมื่อ “มีน” ต้องเลือก! ระหว่าง “วงการบันเทิง” กับ “สนามบาส”
“อยากให้จำภาพมีนแบบไหนเหรอ (ทำท่าคิด) มีนบอกตลอดว่ามีนเป็นนักบาสฯ ก็จำเป็นนักกีฬาก็ได้ ส่วนนักแสดงคือมันบอกไม่ถูก มันสองจิตสองใจ เพราะตอนแรกโค้ชมาคุยเลยนะ ว่าถ้าจะไปแสดง ก็ควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เราสองทางไม่ไหวแน่นอน แต่มีนก็ฝืนมาตลอด จนสุดท้ายไม่ไหวจริงๆ ก็เลยต้องพักเรื่องบาสฯ ไป แม้จะไม่ค่อยได้เล่น แต่มีนก็พร้อมแข่งเสมอนะครับ สำหรับมีน ถ้ามีโอกาส ก็อยากไปซ้อมไปแข่ง คือจริงๆ เนี่ยในใจเลย ที่มาเป็นอันดับแรกคือบาสฯ แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง มันเลยต้องทำงานเพื่อเลี้ยงดูตัวเองก่อน นาทีนี้เรียกว่าการแสดงก่อน แต่ก็ไม่ได้ทิ้งบาสฯ
มีนไม่ได้เลือกเลย เราฝืนมาทั้งสองอัน ลากมายาวทั้งสองอันเลย เรียน ซ้อม แสดงละคร วนลูปอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งผลงานออกมาดีหมดอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ช่วงนั้นงานยังไม่เยอะ แต่พอกระแสมานั่นแหละครับ ก็เลยต้องพักเรื่องบาสฯ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งยังมีไปเล่นไปแข่งอยู่ และถ้าร่างกายพร้อม ก็ไปแข่ง แต่วีกนี้มีนไม่ว่าเข้าไปซ้อมเลย มีนก็ขอเขาบาย เพราะต้องทำงาน ก็ต้องบอกเขาล่วงหน้า และเหมือนเราโชคดีที่เราอยู่ในสโมสรนี้มาตั้งแต่เด็ก และเราก็เจอรุ่นพี่หน้าเดิมๆ มีรุ่นพี่ตั้งแต่อัสสัมชัญธนบุรี ตั้งแต่เข้าสโมสร เหมือนเราเล่นด้วยกันบ่อยก็จูนกันได้”
ไม่สนคนมองว่า “หน้าดี แต่ไร้ฝีมือ” เพราะผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์
“มันก็จะมีๆ ในคอมเมนต์ แต่ก็ไม่ได้สนใจ ผมโปรอยู่แล้ว เขาเมนต์ประมาณว่าโอ้ย...แอ็ก! โน่นนี่นั่น แต่เขาไม่รู้ไงว่าก่อนหน้านั้นเราเป็นนักกีฬามาจริงๆ เพราะบาสฯ มันอยู่ในสายเลือด มันไม่มีอะไรที่ต้องพิสูจน์ เพราะด้วยอะไรหลายๆ อย่าง การันตีว่าเราได้แชมป์ โน่นนี่นั่น ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์แล้ว”