“โตโน่ ภาคิน” ยืนยันจะทำเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมต่อไป บอกทุกคนมีส่วนทำให้โลกกลายเป็นแบบนี้ ทั้งมลภาวะทางทะเลและอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่น PM2.5 เผยเคยพูดกับ “ณิชา” ถ้าเมืองไทยยังมี PM2.5 อยู่ ติด 1 ใน 10 ประเทศทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดในโลก ก็อย่าเพิ่งมีครอบครัว อย่าเพิ่งมีลูก เพราะไม่อยากให้ลูกต้องมาเจออากาศแบบนี้ ไม่สนคนจะด่า สิ่งที่ทำช่วยชีวิตคนได้เยอะ
เป็นคนบันเทิงอีกคนที่ทำงานเพื่อสิ่งแวดล้อมมาหลายปี สำหรับพระเอก-นักร้องหนุ่ม “โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์”ที่ล่าสุดเจ้าตัวมาร่วมงานแพรว ทอล์ก ณ ชั้น 1 โซน อีเดน เซ็นทรัลเวิลด์ โดยมาพูดเกี่ยวกับเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งหนุ่มโตโน่บอกว่าสิ่งที่ตนทำทั้งหมดก็เพื่ออยากให้ทุกคนมีธรรมชาติ มีอากาศที่ดีได้หายใจกัน และอยากให้ทุกคนช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย
“เรื่องของสิ่งแวดล้อมเราก็ทำมาหลายปีนะครับ มันก็ดีขึ้น แต่รู้สึกว่ายังไม่ได้ดีเท่าใจที่เราอยากให้เป็น เราอยากให้เวลาเดินออกมาแล้วท้องฟ้าสดใส อากาศบริสุทธิ์แหละ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น เวลา PM มาทีนึง เราก็ตื่นตัวกันทีนึง น้ำท่วมทีนึงเราก็ถึงมาตื่นเต้นกัน จริงๆ แล้วผมอยากให้มันฝังอยู่ในจิตใจของพวกเราทุกคน ว่าพวกเราทุกคนทำลายธรรมชาติ ทำลายโลกใบนี้มาหลายร้อยปีแล้ว การที่เราจะแก้ให้เขากลับมาดีได้ในระยะเวลาอันสั้น มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้าเกิดเราไม่ทำอะไรเลย พังแน่
จะสื่อสารยังไงให้ไม่ดูน่าเบื่อ คือผมอาศัยว่าผมทำให้ดูเลยดีกว่า เราก็เดินเก็บขยะเลย แล้วให้เขามาถามเอาว่าเก็บทำไม ก็ค่อยบอกเขาว่าเก็บเพราะแบบนี้แหละ ทำไมต้องเก็บ PM2.5 มันเกี่ยวกับขยะยังไง โลกร้อนมันเกี่ยวกับควันเสีย ควันดำยังไง ซึ่งจากที่ทำมาผลตอบรับมันก็ดีนะครับ แต่มันก็จะเหนื่อย สมมติเราเอาตัวเราไปทำ ตอนแรกเราทำเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่พอเราเห็นว่าเราต้องไปช่วยโรงพยาบาลเกี่ยวกับคนบ้าง มันก็จะไม่ต่อเนื่อง ต้องไปถ่ายละคร ไปถ่ายหนัง มันก็จะต้องหายไป
ผมก็เลยคิดว่าในช่วงเวลาที่เรามีโอกาสทำ ก็พยายามทำให้เต็มที่ แต่ก็ต้องโฟกัสเป็นงานๆ ไป ส่วนเรื่องที่ทุกคนจะเห็นว่ามันสำคัญไหม จะสานต่อไหม จะช่วยกันทำไหม อันนี้ก็อยู่ที่ใจของแต่ละคนครับ เราไม่มีสิทธิไปกดดันใคร แต่ก็ไม่มีใครมีสิทธิมากดดันเราเหมือนกันว่าห้ามเดินเก็บขยะ ห้ามพูดเรื่องสิ่งแวดล้อม ทำอะไรก็ทำครับ และเรื่องของสิ่งแวดล้อมมันไม่ใช่เรื่องของกทม.เก็บขยะ ไม่ใช่เป็นเรื่องของนักร้องนักแสดง แต่มันเป็นเรื่องของทุกคน เพราะเราทุกคนมีส่วนที่ทำให้โลกเป็นแบบนี้”
ไม่สนคำวิจารณ์ด้านลบ ขอแคร์กับเรื่องช่วยคนดีกว่า
“ผมเจอมาทุกรูปแบบแล้วครับ (หัวเราะ) เมื่อ 2-3 วันที่แล้ว ศูนย์หัวใจก็เพิ่งช่วยชีวิตไปได้ตั้ง 3 คน ผมแคร์ตรงนั้นดีกว่า ใครบ้างไม่โดนว่าครับแต่มันอยู่ที่ว่าเราทำเพื่อใคร ประโยชน์เพื่อใคร ถ้าประโยชน์เพื่อเราเอง เราไม่กล้าพูดเต็มปากหรอก แต่ถ้าเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม แผ่นดิน ประเทศชาติจริงๆ จะพูดกี่ทีก็เหมือนเดิม ก็เลยไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยครับ ทุกคนมีสิทธิคิด และผมเองก็ไม่เคยคิดไปตอบโต้ใครแม้สักครั้งเดียว
ก็เห็นครับ แต่ผมไม่ได้สนใจ ที่สำคัญผมทำก็ไม่ได้อยากไปเอาชนะใคร ผมทำเพราะอยากให้พ่อแม่พี่น้องผม ให้คนที่เขาลำบากจริงๆ ได้รับการช่วยเหลือ นั่นคือเป้าหมายของเรา จริงๆ ถ้าผมทำอยู่คนเดียวผมอาจจะยอมแพ้ก็ได้ครับ แต่จริงๆ แล้วมีทีม มีทั้งคนที่เขาทำกันเอง ถ้าไม่มีคนพวกนั้น ยอดบริจาคจะมาจากไหน นั่นคือของจริงครับ ผมเลยไม่ได้รู้สึกว่าท้อหรือเจ็บปวดอะไร
ที่ผมทำสิ่งต่างๆ มาไม่ใช่ว่าผมเป็นคนดีกว่าใครเลยครับ แค่เราพยายามดูแลรับผิดชอบชีวิตตัวเราเอง ไม่สร้างผลเสียกับใคร อย่างผมก็ไม่เคยไปพิมพ์ว่าใครเลย ไม่ไปทำให้เขาเสียใจเลย แค่นั้นผมก็รู้สึกว่าการรับผิดชอบตัวเราเอง รับผิดชอบมือเราที่เราเป็นคนพิมพ์ รับผิดชอบปากเราที่เราพูด ให้คนที่เราไม่ได้รู้จักจริงๆ ต้องมาเจ็บจากสิ่งที่เราทำ เราไม่ทำตรงนั้นผมก็ว่าดีมากแล้ว ผมเองก็ไม่ได้พูดว่าตัวเองทำดีกว่าใคร เอาเป็นว่าถ้าเราทำแล้วมันเป็นประโยชน์กับใคร แล้วไม่ส่งผลเสียกับใคร ทำไปเถอะครับ”
ยืนยันจะทำต่อไป อยากให้ PM2.5 หมดไปจากประเทศไทย
“เรื่องเครื่องมือแพทย์ที่เราระดมทุนซื้อไป ก็อัปเดตมาตลอดครับ ช่วยไปได้หลายพันคนแล้วครับ เฉพาะศูนย์หัวใจนะครับ เสร็จไปประมาณ 3-4 เดือนแล้ว แต่กว่าที่คุณหมอ คุณพยาบาลจะไปเรียนให้จบหลักสูตร เพื่อมาบรรจุในโรงพยาบาลก็เพิ่งเริ่มไปเมื่อ 2 วันที่แล้วและเมื่อวานเป็นวันแรกก็ช่วยไป 3 ชีวิตแล้วครับ ก็ขอบคุณคุณหมอจากโรงพยาบาลนครพนม และขอบคุณคุณหมอจากโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น ที่ 2 โรงพยาบาลท่านช่วยกันทำให้พ่อแม่พี่น้องเราปลอดภัย
ผมก็คงทำในเรื่องของสิ่งแวดล้อมต่อแหละครับ ผมอยากให้กรุงเทพฯ เชียงใหม่ไม่มี PM2.5 อยากเห็นบ้านเรามีอากาศที่ดีๆ มีแม่น้ำสวยๆ ให้เราใช้ชีวิตครับ ผมเชื่อว่า PM2.5 มันต้องหมดได้ถ้าพวกเราช่วยกันครับ แต่ถ้าเราต่างโยนว่าเป็นหน้าที่ของคนนั้นคนนี้ และไม่ช่วยกันเลย มันจะไม่เกิดอะไรสักอย่างเลยครับ ก็จะทะเลาะกันอยู่แบบนี้แหละอย่างประชาชนคนธรรมดาอย่างเราๆ ก็เช็กก่อนเลยว่ารถของเรามีควันดำไหม ก็ไปเช็กให้มันอยู่ในสภาพที่ดี หรือเรื่องขยะ สมมติเราไปซื้อผลไม้ แตงโม มะม่วง เรารวมเป็นถุงเดียวได้ไหม ไม่ต้องแยกเป็น 3-4 ถุง ถ้า 70 ล้านคนช่วยกัน ลองเอา 70 ล้านคูณแค่ 4 ชิ้นต่อวันดูครับ ก็วันละ 280 ล้านชิ้นแล้วที่มันจะลดลงไป”
บอกเคยพูดกับ “ณิชา ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์” ว่าไม่อยากมีลูก ถ้า PM2.5 ยังไม่หายไป
“ก็บอกกับณิชาครับ เคยพูดกันเล่นๆ ว่าถ้าเกิดเรายังมี PM2.5 อยู่ และถ้าประเทศของเรายังติด 1 ใน 10 ของประเทศที่ทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดในโลกอยู่ เราอย่าเพิ่งมีครอบครัว อย่าเพิ่งมีลูกเลยเพราะเราไม่อยากให้ลูกต้องสูดอากาศนั้นเข้าไป ก็อยากให้ทุกคนสนใจสิ่งแวดล้อมครับ เพื่อที่เราจะได้วางแผนครอบครัวในรูปแบบใหม่ ซึ่งณิชาก็เห็นด้วยนะ เขาบอกว่าก็จริงนะ และจริงๆ แล้วผมว่าน้องกำลังมีไฟในการทำงาน ตัวเราเองก็กำลังมีพลังมากๆ เลย ถ้าเกิดว่ามันมีเรื่องอยากให้โฟกัสในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ยังไม่อยากให้มาคิดถึงเรื่องของเรามากนักครับ
จริงๆ แล้วเรื่องแต่งยังไม่ได้กำหนดว่าจะตอนไหน ทุกวันนี้ก็มีความสุขในทุกวันอยู่แล้ว ผมก็โชคดีมากๆ อยู่แล้วที่มีณิชาในชีวิตครับ แต่แผนการแต่งงานยังไม่ได้คุยกันเลยครับ แต่เรื่องลูกคุยกันจริงๆ ว่าถ้าเกิดแต่งงานแล้วมีลูก ถ้าเกิดว่าอากาศมลภาวะมันยังเป็นแบบนี้ ก็ยังไม่อยากมี เราอยากทำให้เต็มที่ก่อนแต่ถ้าเกิดว่าเราทำเต็มที่แล้ว เราแก้ไม่ได้ เราสู้ไม่ไหว ค่อยมาตัดสินใจตอนนั้นก็ไม่ได้ยากอะไรครับ เรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องเล็ก จะแต่งตอนไหน พวกเราจะได้มาร่วมงานแต่งไหม ผมว่าเป็นเรื่องเล็ก เรื่องที่สำคัญคือการที่เราจะทำยังไงให้กรุงเทพฯ ไม่ติด 1 ใน 10 ของ PM2.50 เชียงใหม่ไม่ติด ทะเลบ้านเราสะอาด ไม่ฟอกขาว ผมว่าอันนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ส่วนเรื่องแต่งงานค่อยว่ากัน
ถามว่าถ้าแต่งธีมชุดต้องเป็นยังไง ก็คิดง่ายๆ บางทีถ้าเราอยากจะช่วยลดโลกร้อน เราใส่ชุดเดิมๆ ก็ได้ อย่างสูทตัวนี้ผมใส่ออกงานมาประมาณ 8 งานแล้ว (หัวเราะ)มันก็ช่วยได้ส่วนนึง ประหยัดเงินด้วย ณิชาเองเขาก็เป็นคนไม่ฟุ้งเฟ้อ ใช้กระเป๋าผ้า คือเขาก็มีมุมน่ารักของเขาอยู่แล้วครับ แต่ในเรื่องของแฟชั่นของณิชา ผมก็ไม่ได้ไปยุ่งตรงนั้นครับ”
