xs
xsm
sm
md
lg

“แพท พาวเวอร์แพท” 17 ปี! จาก “นักร้องดัง” จมดิ่งสู่จุดตกต่ำ ดื้อเงียบจนชีวิตพัง ต้องเจอยาแรงถึงคิดได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อความขมของชีวิตถูกเก็บไว้เป็นประสบการณ์ เพื่อบอกต่อเผื่อใครที่ยังหลงผิด รายการ Podcast น้องใหม่ “ขมคอ Story Podcast” ของพิธีกรอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดัง “เบ็นซ์ จิรายุ  จันทรวงศ์” หรือที่รู้จักกันในนาม “เบ็นซ์ตุ๊ดย่อยข่าว” ที่เชิญแขกรับเชิญในวงการบันเทิงมาร่วมพูดคุยแชร์ประสบการณ์ชีวิตขมๆ แล้วผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาได้ยังไง

ล่าสุด ได้รับเกียรติจากแด๊ดดี้ “แพท พาวเวอร์แพท” นักร้องยุค 90 กับอดีตที่ไม่เคยลืมเลือน ยอมรับเป็นคนดื้อเงียบ ไม่ฟังใคร ต้องเจอยาแรงถึงคิดได้ แนะไม่จำเป็นต้องไปลองทำผิดด้วยตัวเอง แต่สามารถเรียนรู้จากชีวิตคนที่เคยทำผิดพลาดได้ เพราะถ้าพลาดไปแล้วการกอบกู้ชีวิตกลับคืนมามันยากมาก

ย้อนความดัง แพท พาวเวอร์แพท พี่แพทเป็นนักร้องยุค 90 ในดวงใจของ “เบนซ์” หนึ่งคน เพราะเคยเอาเพลงพี่ไปประกวดร้องเพลงชนะเลิศ ชื่อเพลง หลุดปากใช่ไหม และคว้ารางวัลมานานมาแล้วสมัยเรียน ในยุค 90 พี่แพทออกเทป ในยุคนั้นมีศิลปินออกรุ่นเดียวกับพี่เยอะมาก นึกย้อนไปก็มีวงพีค 2-1=0?
ใช่ยุคนั้นก็จะมี ลาบานูน ที่ออกใกล้ๆ กันก็กะลา, พาราด็อกซ์ แล้วถัดมาก็จะเป็นรุ่นของวงแคลช วงของผมก็เป็นวงที่ป๊อบอัป ขึ้นมาเป็นเจร็อก ไม่เหมือนใคร เป็นเรื่องของการสร้างภาพลักษณ์ ไอเดียนี้ ได้มาจากพี่บอย โกสิยพงษ์ กับพี่สุกี้ เป็นคนคิดโปรเจกต์นี้ ตอนนั้นเขาทำค่ายแยกออกมาเบเกอรี่มิวสิก เขาจะมีค่ายแยกออกมาคือโดโจ ซิตี้ 

ธีมเขาเป็นธีมน่ารัก เด็กผู้หญิงอย่างที่เราเห็น วงนีซ วงไทรอัมพ์ คิงดอม แล้วเขาต้องการจะสร้างค่ายๆ หนึ่ง ที่ทำร็อกขึ้นมา เป็นเบอร์ที่ 2 วงแรกก็ชื่อว่าวงบีน ผมเป็นเบอร์ที่สองของค่ายและเป็นเบอร์สุดท้ายครับ คาแรกเตอร์ผมสร้างขึ้นมาเหมือนการ์ตูน อย่างคาแรคเตอร์ผมจะเป็นแบบสุขุม พูดน้อยเป็นเสือยิ้มยาก ดูเข้าถึงยากๆ 

อันนี้มันเป็นเรื่องของ... เขาเรียกว่า Visual ร็อกในยุคนั้น คาแรกเตอร์ ไม่เหมือนในยุคนี้เป็นตัวเองมากที่สุด แต่งตัวสีสันสะท้อนแสงให้มากที่สุด ตรงกันข้าม มันเหมือนเหนือจริงให้มากที่สุด ทำยังไงก็ได้ให้คนเข้าถึงยากที่สุด มันจะไม่เหมือนยุคนี้ทำยังไงก็ได้ ให้คนเข้าถึงได้ง่ายที่สุด

แล้วตอนนั้นพี่อึดอัดไหมในสิ่งที่ไม่ใช่เราเลย?
มันไม่ถึงกับไม่ใช่ มันเป็นเราอยู่แต่ว่ามันถูกกำหนดด้วยกลไก มันถูกปรุงให้เป็นอัปขึ้นไปให้เป็นอีกระดับหนึ่ง มันมีความตัวตนเราอยู่ เช่น เราเป็นคนอาจจะไม่ค่อยพูดเยอะ อาจจะเป็นคนที่ไม่มีเพื่อนเยอะ ก็ค่อนข้างเก็บตัวพอสมควร ก็ส่งผลถึงสภาพจิตใจเราในระยะหนึ่งเหมือนกันทำให้เรารู้สึกเหงาไม่เหมือนกับคนทั่วไป รู้สึกไม่มีใครเข้าใจ มันก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุเหมือนกัน ที่เราเข้าไปยุ่งกับสิ่งผิดกฎหมาย

ตอนนั้นในวันที่เราตัดสินใจเข้าไปยุ่ง เป็นเพราะว่าอารมณ์โดดเดี่ยวของเราหรือว่ายังไง?
ส่วนหนึ่ง จริงๆ แล้วเหตุผลมันประกอบด้วยหลายๆ ส่วน อาจจะด้วยความเป็นวัยรุ่นด้วย ความอยากรู้อยากลองด้วย เรื่องของแนวคิด หลักเลยคือวิธีการคิดของตัวเอง เพราะว่าผมประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยไง เพราะตอนอัลบั้มแรกของผมตอนอายุ 19 แล้วก็รู้สึกว่าเราเดินเส้นทางนี้เราพยายาม ตอนเด็กเรารู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จได้เร็ว ก็เกิดความมั่นใจ อีโก้เยอะ ใครพูดอะไรไม่ค่อยเชื่อหรอก

แล้วเราก็มั่นใจในสิ่งที่เราเลือกในสิ่งที่เราคิดมันมันถูกต้อง ในวัฒนธรรมของ j rock วัฒนธรรมของ rock star วิถี ร็อกสตาร์ ต้องยอมรับนะว่ามันมาคู่กัน สุรา นารี ยาเสพติด ชีวิตเสเพล ความเสี่ยงเราก็คิด เราคิดว่ามันเป็นเคาน์เจอร์ วิธีชาวร็อกที่จะต้องครบด้าน เราคิดแบบนั้น ตอนนั้นเราคิดว่าก็มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ผิดอะไรเราคิดแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วมันเป็นความคิดที่ขาดมุมมอง  ขาดประสบการณ์ชีวิตเอามากๆ เลย

แล้วมีคนเข้ามาเตือนพี่มั้ยว่าอย่าไปถลำลึกมากกว่านี้ ตอนนั้นปฏิบัติกับเขายังไงมองเขายังไง แบบอย่ามายุ่ง?
ตอนนั้นผมนิสัยเสีย ผมเป็นคนที่ไม่ไปทะเลาะ กับใคร ว่าใคร ผมมีความดื้อเงียบ เก็บความไม่พอใจอยู่ในใจเรา ก็จะไม่เชื่อเขา และอาจจะถึงขั้นที่เราจะไม่ไปยุ่งกับเขา ไม่คบเขาเลยเพราะเราคิดว่า เขาไม่เข้าใจความเป็นเราแบบนี้ ความเป็นตัวของตัวเอง

ตอนนั้นใช้ชีวิตสุดโต่ง?
สุดโต่ง ทุกอย่าง

มี level ไหนบ้าง?
สุดครับ ลองทุกอย่าง เรื่องยาเสพติดเท่าที่หาได้เลย คือลองหมดเมาทุกวัน เล่าเรื่องใช้ชีวิตโลดโผนเที่ยวกลางคืนทุกวัน เป็นช่วงที่หนักมากๆ ขับรถเร็วขับรถประมาท เมาขณะขับรถคือสุดโต่งทุกทาง

ณ วันนั้นพี่จำได้มั้ยว่า ในวันที่เราถลำลึกเข้าไปแล้ว เป็นอารมณ์ที่เราจัดการอารมณ์ตัวเอง ไม่ได้หรือเป็นเพราะสังคมเพื่อน?
คือหลักๆ มันอยู่ที่เราตัวเราหลงผิด ตัวเรามันมีความคิดที่ผิดธรรมชาติไปแล้ว ตอนนั้นเราก็คิดว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นวิถีชีวิตเรา เป็นตัวเรา ในส่วนเพื่อนส่วนเรื่องยาเสพติด ในเรื่องของกลุ่มก๊วน มันก็เป็นเรื่องขององค์ประกอบ แวดล้อมแต่หลักๆ คือตัวเรา เลยไม่ต้องไปโทษใครหรอก

แล้ววันนั้นที่เกิดเหตุการณ์ที่โดนจับขึ้นมา ตอนนั้นพี่ยังเมาอยู่มั้ย?
ณ ตอนนั้น ไม่ได้เมาเพราะเพิ่งตื่น เรื่องราวไม่ได้มีอะไรซับซ้อน อันนี้ผมก็ไปเล่าทุกที่ที่สามารถทำได้ เวลาผมมีโอกาสได้ไปบรรยาย ไปเล่าเรื่องชีวิตตัวเอง ให้ข้อคิดให้น้องน้องฟัง ชีวิตการงานที่ดี ก็ถอยห่างออกไป

ตอนนั้นความรับผิดชอบก็ไม่มีแล้ว?
ใช่ วิถีชีวิตของเรามันเปลี่ยนไป สภาพร่างกายสมองของเรา ใช้ยามันทำให้มีผลกระทบ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม ทำงานใช้ชีวิตกลางคืน นอนกลางวัน ชีวิตการทำงานมันก็จะถูกผลักออกไปเรื่อย ดึงคนชีวิตที่ใกล้เคียงกับเราเข้ามา ตามสถานบันเทิงเพื่อนที่เสพยา เริ่มรู้จักคนในวงการสีเทาเพิ่มมากขึ้น มีเพื่อนคนนึงที่ใช้ยากับเราด้วย เราก็เห็นว่ามียาเข้ามาใช้เยอะ วันนึงเขาก็ติดต่อเข้ามา ขอฝากยาเสพติดจำนวนหนึ่งกับเราไว้ แต่ถ้าอยากจะใช้ก็ดีสิ ตังค์ก็ไม่ต้องจ่าย งานก็ไม่ค่อยมี ที่เที่ยวใช้ยาเสพติดก็ไม่ต้องออกตังค์ เลยรับมา ถึงเวลาเขาจะมาเอาคืนเมื่อไหร่เขาจะบอก เลยเอามาไว้ที่คอนโดประมาณสัปดาห์กว่า เขาก็โทร.มาเอาของว่ามาแล้วนะ เอามาให้ที่รถ ตำรวจล้อมจับเลย

นั่นคือเราโดนร่วมกับเขา?
เป็นผู้ค้ายาเสพติด มีการติดตามมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจระยะหนึ่งแล้ว จนมาเจอของเก่าอยู่ที่เราและรวบเรา ในผู้ร่วมขบวนการค้ายาเสพติด ไว้ใจคนง่าย เรามีประสบการณ์ชีวิตน้อย คิดอะไรง่ายเกินไป ไอ้ตรงนี้มันต้องระวัง ความรู้ที่เรามีเกี่ยวกับโทษยาเสพติด คิดว่ามันไม่ได้รุนแรงอะไรหรอก ผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อนพูดคนนั้นคนนี้ ติดคุกคดียาเสพ ติดปีสองปีก็ออกมาแล้วเราเคยได้ยินแต่อย่างนี้

ตอนนั้นคิดว่าแค่โดนจับว่าเสพ ก็รอดแล้ว?
จริงๆ แล้วทางพฤติกรรมที่ส่อเจตนา การตีความทางกฎหมาย แม้เราจะเข้าไปยุ่งแค่นิดหน่อย เราก็ถือว่าเป็นผู้ร่วมขบวนการขายยาเสพติดแล้ว แค่โดนฝากไว้ ให้เอามาให้หรือว่าเรามี ในกระบวนการนี้ถือว่าร่วมกัน โทษก็จะแรงเท่ากัน

แล้วตอนนั้นโทษของพี่แพทเท่าไหร่?
คือตอนตัดสินชั้นต้น ศาลมีการพิจารณา แบ่งคดี ต่างกรรมต่างวาระ เพื่อนหนึ่งส่วน ประเด็นคือเขาไม่ได้รับทั้งหมด อยู่บนห้องอีกส่วนนึง เลยโดนเป็นสองกระทงต่างกรรมต่างวาระ คดีผม ศาลท่านตัดสินมาคดีตลอดชีวิต กลายเป็นสองตลอดชีวิต ปรับคดีละหนึ่งล้านบาท รับสารภาพรถครึ่งหนึ่ง จำคุก 50 ปี หนึ่งล้านบาท

วันที่ยื่นอุทธรณ์?
วันนั้นเราก็ยังมีความหวัง ใจเราลึกๆ เราก็ไม่ได้เป็นตัวการหลัก ด้วยพฤติการณ์ เกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย มันคือศาลท่านเมตตาแล้ว แต่เราก็สู้ อุทธรณ์ศาลชั้นต้น ยื่นฎีกา ตามเดิม 7 ปีอยู่ในกระบวนการศาล ตัดสินโทษเท่าเดิม 50 ปี ปรับหนึ่งล้านบาท ใช้ชีวิตในเรือนจำ

วันแรกที่เข้าเรือนจำครั้งแรก ใช้อะไรในการฮีลใจตัวเอง ให้มีความหวัง?
วันแรกมันไม่มีอะไรฮีลทั้งสิ้น มันเป็นผลสดมาก มันเป็นเรื่องชั่วข้ามคืน มีแต่ความงงว่าเกิดอะไรกับตัวเอง มันเกิดได้ยังไง จริงเหรอที่เพื่อนเป็นผู้ค้า ที่จับเราเป็นตำรวจจริงๆ ใช่มั้ย ยังมีความงง พอเราต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เราจะต้องเจออะไร เรื่องของเหตุการณ์เฉพาะหน้า มันยังไม่ได้คิดเรื่องว่าเราจะอยู่ยังไง เพราะเรายังไม่รู้เลยสถานการณ์ข้างหน้า เราต้องเจออะไรบ้างเราไม่มีประสบการณ์แบบนี้ เราก็จะสอบถามพี่น้องที่อยู่ในห้องขังที่โรงพักยันเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราต้องไปตรงไหนไปเจออะไร ในสิ่งที่เราดูหนังดูละครมันก็ประมวลหมด

มันมีแบบในละครไหม การเข้าไปปุ๊บต้องมีการ รับน้อง?
ของผมเขาให้ความสนใจ เขารู้ว่าเราเป็นดารา ต้องยอมรับว่าข่าวดังมาก ลงหนังพิมพ์หน้าหนึ่งเป็นสัปดาห์ ผู้ต้องขังก็ต้องมีญาติมาเยี่ยม คดียาเสพติดส่วนใหญ่จะส่งมาทัณฑสถานบำบัดพิเศษ ตรงลาดยาวคลองเปรม เพราะฉะนั้นเวลาญาติมาเยี่ยมเขาก็จะเล่าให้ผู้ต้องขังฟัง ข้างใน เหตุการณ์คดีความต่างๆ ว่าเราเป็นใครก็ต้องส่งมาที่นี่ ตอนนั้นเขารอรับ วันแรกที่เดินเข้าไปใส่ตรวนข้อเท้า แล้วมีกุญแจมือสองข้าง

ผมอยู่กับโซ่นี้อย่างต่ำ 3 เดือน ผมก็เดินลากโซ่เข้าไป ประมาณ 4-5 โมงเย็นแล้ว ผู้ต้องขังขึ้นตึกนอนหมดแล้ว แต่ผู้ต้องขังสามารถมองลงมาทางเดินกลาง เขาจะได้ยินเสียง ช่วงเย็นมันจะเงียบมาก มองลงมาผ่านหน้าต่าง ก็เริ่มมีเสียงโห่เฮ ดีใจต้อนรับ ดังมาก แดนหลับเป็น 1,000 คน เหมือนในหนัง ตบไม้ตบมือดีใจ เราคิดว่ามันอะไรวะ เหมือนมีเพื่อนมาแล้ว เพราะส่วนใหญ่เราก็ต้องยอมรับ นักโทษหรือผู้ต้องขัง การที่เขาจะได้เห็นศิลปินหรือนักร้องมันยากมาก ถ้ามีคือเขามาทำกิจกรรมในเรือนจำ มาสันทนาการ เช้าเย็นกลับ แต่การที่ศิลปินดาราที่เขาพูดกัน มาใช้ชีวิตอยู่กับเขา มันยากมากนะ ตอนนั้นก็ต้องยอมรับ

คดีผมเป็นคดีแรกๆ เลยมั้ง เรื่องยาเสพติด เป็นอะไรที่เขาตื่นตาตื่นใจมาก พอผมเข้าไปใช้ชีวิต เพื่อนๆ ก็จะเข้ามาหาผม มาคุยกันเยอะมาก ผมโชคดี โดยที่บุคลิกหลายคนเอ็นดู ก็หาของใช้มาให้ วันนั้นเรายังก็ไม่ได้มีเงิน เพราะของที่จะฝากมาให้ยังไม่ได้เข้ามาในระบบ เราก็ไม่สามารถที่จะซื้ออะไรได้ รองเท้าไม่มีใส่ ของใช้ส่วนตัวหลักๆ ไม่มีเราก็ต้อง ได้จากเพื่อนๆ ข้างใน

เข้ามาคุยสอบถามหลักๆ ก็การรับน้องตามความหมายของผม ที่ผมเจอก็คือการเข้ามาสอบถามพูดคุยมากกว่า หลักๆ ก็คุยกันเรื่องคดี โดนคดีอะไร โดนจับที่ไหน ของกลางเท่าไหร่ พอเขารู้ว่าเป็นศิลปินเขาจะถามเรื่องวงการบันเทิงเป็นแบบฟีลกอสซิป อยากรู้ว่าเป็นยังไง ออกรายการนี้ได้ตังค์ไหม ฟรีคอนเสิร์ตนี้ยังไง ได้ทีเท่าไหร่เขาก็จะสงสัย แล้วเวลาเขาจ้างไปเล่นคอนเสิร์ตตามผับตามเทศกาลอย่างนี้มีค่าย ค่ายหักกี่บาทถึงเราเท่าไหร่อะไรอย่างนี้ ก็จะอยากรู้เรื่องในวงการว่าเป็นยังไงบ้าง ที่เขาแจกทองในรายการนี้เขาแจกจริงไหม เราก็ตอบเท่าที่เรารู้เราเจอ

แต่พี่แพทไม่ได้โดนอะไรแรงๆ ใช่ไหม?
ไม่มีเลย ส่วนใหญ่จะโชคดีตรงที่เนื่องจากตัวเราด้วยแหละ คือเราคิดอย่างเดียวว่าเราจำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว เราจะปรับตัวยังไงให้รู้สึกว่าพวกเดียวกับเขามากที่สุด ให้เขารู้สึกว่าไม่ทำตัวแปลกแยกเหมือนที่เขาคิดว่าดาราต้องดูหยิ่งดูเข้าถึงยากเจ้ายศเจ้าอย่าง เราจะไม่ทำตัวแบบนั้น เขาทำแบบไหนเราทำแบบนั้น 

กิจวัตรทุกวันภายในเรือนจำ?
สมัยก่อนถ้าเราเห็นในหนังที่อาบน้ำจะเป็นโล่งๆ และก็เหมือนทหารเป็นอิฐบล็อกก่อขึ้นมา เอาขันตักกัน แก้ผ้าอาบน้ำตรงนั้นเลย ต้องแก้เพราะคนอื่นเขาแก้ เราก็ต้องแก้ ณ วันนั้นด้วยค่านิยมของในเรือนจำด้วยความที่เป็นคดียาเสพติด พ.ศ.นั้น สมัยนี้ห้ามไม่ให้ผู้ต้องขังแก้ผ้าอาบน้ำเพราะเป็นสถานที่ราชการต้องให้เกียรติสถานที่ราชการ มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ตรงนั้นต้องให้เกียรติ สมัยก่อนมันไม่มีแบบนั้น ใครที่ไม่แก้ ที่ใส่กางเกงในอาบน้ำเล็งแล้วว่าผิดปกติ (เอาอะไรเข้ามาหรือเปล่า?) ไม่ใช่ เป็นหรือเปล่า เป็นผู้ชายหรือเปล่า พอเป็นแล้ว พอเห็นแววแล้วจะยุ่งและจะโดนแบบเริ่มเข้ามา

เขาเข้ามาแกล้ง หรือเข้ามาให้มาเป็นบริวารเขา? 
ส่วนใหญ่ คนที่เขาเห็นว่าเป็นแบบนั้นเขาจะเริ่มคุยก่อนว่าใช่ หรือถ้าไม่ใช่ก็จะพยายามคิดว่าใช่นึกออกไหม เพื่อที่จะเอามาเป็นแบบนั้น มันจะมีค่านิยมแบบหนึ่งสมัยก่อน ค่านิยมเพื่อสร้างบารมี

พี่เข้าไปหล่อใสขนาดนี้ ไม่ถูกมองว่าเป็นไอ้หน้าอ่อนเหรอ?
ก็ต้องทำให้แมนที่สุด แก้ผ้าก็ต้องแก้ และอีกอย่างเราก็ค่อนข้างตัวสูงใหญ่ แต่ถ้าหน้าอ่อนในลักษณะที่ว่า ตัวจะเล็กนิดนึง สรีระตัวเล็ก ขาวผิวเนียน เราก็พอมีรอยสัก เข้าไปข้างในก็เกาะป้องกันนิดนึง แก้ผ้ามีรอยสัก เออ..ไม่น่าจะใช่แหละ เราก็ใช้ชีวิตแบบปกติมาเรื่อยๆ เขาทำอะไรเราก็ทำตามเขา เขากฎระเบียบอะไรก็ทำตาม ไม่นานก็ปรับตัวได้

ได้รับอภิสิทธิ์พิเศษอะไรไหมเพราะเป็นนักร้อง?
ผมไม่มีหรอก ผมไม่อยากได้ด้วย มันจะยิ่งดูแปลกแยก อย่าลืมว่าการที่เราเป็นผู้ต้องขังคดีเราหนัก โทษเราสูง การที่เราใช้ชีวิตในเรือนจำ ผมบอกน้องๆ เสมอว่าเราต้องเอาพวกพ้องข้างใน บางครั้งเจ้าหน้าที่เขาให้ความเอ็นดูเรา ให้ความสะดวกสบายบางอย่าง ถ้าเรารับไว้ เราเองไปทางเจ้าหน้าที่มาก เจ้าหน้าที่ปีสองปีเขาก็ต้องย้ายเปลี่ยนหมุนเวียน แต่คนที่เราต้องอยู่ตลอดก็คือเพื่อนเรานี่แหละ ผู้ต้องขังนี่แหละ เราจะทำยังไงให้เขารักเรา เราต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ต้องอยู่ให้เป็น อยู่ง่ายๆ ผมอยู่ประมาณเกือบ 17 ปี 

ชีวิตในเรือนจำเกือบ 17 ปี ความขมมีเยอะมาก?
เยอะมากครับ ความขมเรื่องดีก็มีเยอะมาก เรื่องดีมันก็มีสิ่งที่หล่อหลอมให้ผม ถ้าให้ร่ายตั้งแต่โดนจับ ที่โรงพักเกี่ยวกับคดียาเสพติดที่ต้องเข้าไป ครอบครัวเห็นข่าว ภาพแม่ร้องไห้เกาะลูกกรงร้องไห้ ด้วยความที่เราเป็นลูกชายคนเดียวก็รู้สึกว่าเราทำอะไรลงไปวะ ทำไมถึงรุนแรงขนาดนี้ มันส่งผลกระทบไม่ใช่แค่ตัวเอง ไหนจะเอาอาชีพที่เรารักพังไปในชั่วข้ามคืน ทำให้ครอบครัวเสียน้ำตาเดือดร้อนอีกเสียใจ

ที่สุดเลยเห็นตอนที่เห็นหน้าแม่ร้องไห้ที่หน้าลูกกรง เรารับไม่ได้เลยนะ เรารับไม่ได้กับตัวเราเองร้องไห้เสียใจ แล้วด้วยความที่เป็นพ่อเป็นแม่เขาก็ไม่เคยโทษเรา มีแต่บอกว่าถ้าเขาดูแลเราดีกว่านี้เราคงไม่ไปเถลไถล การกระทำทุกสิ่งของเราไม่ได้รับผลกระทบเพียงคนเดียว คนที่เขาได้รับผลกระทบต่อมาคือครอบครัวและพ่อแม่

กรณีนี้ครอบครัวเดือดร้อนเสียเงินเสียทอง เรื่องคดี หาทนาย แล้วก็เสียชื่อเสียง อับอาย สถาบันที่เราสังกัด ค่ายเพลงเขาก็เดือดร้อน เขาไม่ได้มารู้เรื่องกับเราเขาก็เสียชื่อ และก็ผลกระทบทางสังคมประเทศชาติ มันสืบเนื่องกันไปหมด

เวลาผมได้มีโอกาสพูดบรรยายกับน้องๆ ก็จะบอกว่า อย่าคิดว่าชีวิตของเราเองเป็นของเรา เราจะทำอะไรก็ได้ จริงๆ ไม่ใช่ ทุกสิ่งที่เราทำล้วนแต่มีคนอื่นได้รับผลกระทบทั้งสิ้นโดยเฉพาะสิ่งที่มันไม่ดี ต้องคิดดูให้ดีเวลาทำอะไรอย่าทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน บางทีตัวเองเดือดร้อนมันก็สมเหตุสมผลแล้วที่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำไป แต่คนอื่น มันไม่ยุติธรรมกับเขา

ได้เห็นน้ำตาของพ่อแม่วันนั้น ครอบครัวไม่เคยรู้ว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด?
เขาไม่รู้หรอกครับ เพราะผมออกมาจากบ้านตั้งแต่ผมอายุ 17 ปี ผมใช้ชีวิตด้วยตัวเองมาตั้งแต่อายุ 17 ออกจากบ้านมา กระเป๋าเดินทางและอยู่กับกีตาร์ตัวหนึ่ง เมื่อเดินตามความฝันมากเกินไปอยากเป็นนักดนตรีนักร้อง ตอนนั้นก็เริ่มมีอาชีพและเริ่มเล่นดนตรีกลางคืน เริ่มมีรายได้ หลักหมื่นเยอะอยู่สำหรับเด็ก 17 รายได้เยอะ ได้เล่นกับคนโตกว่าก็ภูมิใจ ออกมาใช้ชีวิตชอบอยู่กับเพื่อน ชีวิตตลอดมาออกจากบ้านตั้งแต่นั้นผมก็เถลไถลจนเข้าเรือนจำ และเพิ่งได้กลับบ้านเมื่อสามปีที่แล้ว

วันแรกที่ได้ออกจากเรือนจำมาเจอกับโลกภายนอก?
มันรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่าง เข้าไปมันเป็นยุคอนาล็อค ตอนนี้มันเป็นยุคดิจิตอล มันมีสมาร์ทโฟน มันมีอินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลาย ถนนหนทาง ตอนเข้าไปรถไฟฟ้าใต้ดินยังไม่ทันขึ้น เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันเหมือนอีกโลกหนึ่ง มันเป็นโลกใหม่ ก่อนหน้านี้ผมเองได้มีการหาข้อมูลตามทีวีบางช่อง ทีวีบางรายการที่เจ้าหน้าที่เปิดให้เราไม่สามารถจะอัปเดตอะไรได้ เราก็สอบถามไปทางน้องๆ ที่เพิ่งเข้ามา โทรศัพท์ทำอะไรได้บ้าง เดี๋ยวนี้มี LINE นะ มี Facebook สามารถสั่งของได้ทางนี้นะ ชีวิตถนนหนทางเปลี่ยนไป เราพยายามประมวลภาพและจินตนาการภาพใหม่ที่เราจะออกไปเจอประมาณหนึ่ง พอออกมาไม่ใช่ ไม่เหมือนเลย มันยิ่งใหญ่มันมหาศาลมาก

เทคโนโลยีทุกอย่างมันรวมอยู่ในโทรศัพท์ ไม่ว่าจะทำธุรกรรมทุกอย่าง การติดต่อสื่อสารงาน คือเราสามารถทำอาชีพกับโทรศัพท์มือถือแค่เครื่องเดียวได้ รู้สึกตื่นเต้น และเรื่องถนนหนทางต่างๆ Google map นี่ผมทึ่งมาก มันรู้ได้ยังไงว่าอีกกี่นาทีเราจะไปถึง เลือกเส้นทางให้เราด้วยนะ 

มีอะไรบ้างในวันที่พี่ออกมาแล้ว ก่อนหน้านี้ทำได้ ตอนนี้กลับทำไม่ได้? 
คือระแวง แล้วก็กังวลเรื่องการข้ามถนน เนื่องจากที่เราอยู่ในสถานที่จำกัดกรอบสี่เหลี่ยมเพราะฉะนั้นสายตา มุมมองต่างๆ มันจะอยู่ในระยะแคบๆ มันก็อยู่ในระยะที่ถูกจำกัดมาเกือบ 10 ปี 20 ปี แล้วในเรือนจำมันไม่มีวัตถุที่มันเคลื่อนที่เร็วขนาดนั้น เต็มที่ก็มีจักรยานหรือว่ารถเข็นแกงแค่นั้น เราไม่สามารถที่จะคำนวณความเร็วของวัตถุที่จะวิ่งเข้ามาหาเราในระยะไกลๆ ได้ ผมเลยข้ามถนนลำบาก คือต้องโล่งจริงๆ ตอนนี้ผมกลับมาเป็นปกติแล้ว

เราไม่ได้มองอะไรไปไกลมานานแล้ว อย่างเราเพิ่งจะผ่านแม่น้ำตึกสูงมองอะไร ตอนนั้นผมขึ้นทางด่วนพระราม 9 ผมทึ่งมากเลยนะ ทำไมคอนโด มันขึ้นเยอะขนาดนี้ สมัยก่อนมันไม่มี แล้วตึกมันสวยๆ ทั้งนั้นเลย มันสวยมากเวลามองแล้ว มันสวย

ความสุขในโลกใบใหม่หลังออกจากเรือนจำ?
หลายอย่างมากเลย ผมได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ผมได้กลับมาทำงานที่เรารัก การเล่นดนตรีการทำซิงเกิล การศึกษาการทำดนตรี การทัวร์คอนเสิร์ต งานศิลปะที่เราสร้างมาสะสมมาก็ได้มีการเอามาให้คนอื่นได้เห็นชื่นชอบสร้างรายได้และการทำอะไรใหม่การทำเทคโนโลยีต่างๆ เรียนรู้ตัดต่อ ทำช่อง YouTube และ TikTok ขายของ 

ได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น กับครอบครัว เป็นการเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต ที่บ้านผมมีงานอดิเรกเป็นการเลี้ยงปลาคาร์ฟ เราอยากทำตามความฝันว่าอยากเห็นหน้าปลาคาร์ฟญี่ปุ่นครั้งแรกว่าเหมือนกับปลาคาร์ฟที่เราซื้อในฟาร์มหรือเปล่า ฟาร์มหลอกเราไหมว่างานมาจากฟาร์ม เราซื้อมาตัวละ 1,000 บาท หน้าตามันเหมือนกันไหม ของเขามันแพงกว่าตัวเป็นล้าน ผมดูที่เขาทำคลิปเกี่ยวกับการทำภูมิปัญญาการเลี้ยงปลาคาร์ฟของญี่ปุ่นดีใจที่มีโอกาสได้ไปเห็น และได้มีโอกาสได้ไปซื้อกีตาร์ที่ญี่ปุ่นตามที่เราฝัน รวมถึงไปเห็นหิมะครั้งแรก ในชีวิตได้ไปสัมผัส 

โอกาสชีวิตครั้งที่ 2 ระมัดระวังขึ้นไหม?
ก็ไม่ถึงกับระวังอะไรขนาดนั้น แต่ว่าผมเป็นคนที่ไม่ว่าจะไปคุยกับใคร จะบอกน้องๆ เลยว่าอย่าไปลืมนะ ชีวิตของเราที่มันย่ำแย่หรือประสบการณ์ขมๆ อย่างที่บอกอย่าลืม บางคนบอกว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว อดีตที่มันแย่ๆ ก็ลืมไป ผมบอกทุกคนว่าอย่าลืมนะ ที่ผ่านมาเก็บมันไว้เตือนสติเราเอง เราอย่าไปทำแบบนั้น เส้นทางที่มันจะนำพาให้เราไปถึงจุดที่มันเคยเป็น เราแย่ที่สุดแบบนั้น อย่าเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง อย่าเอาตัวเข้าหาปัญหา ผมบอกกับทุกคนเสมอเพราะฉะนั้นผมจะไม่ลืม ถือว่ามันมีคุณค่า ทุกอย่างมันมีสองด้านหมด ชีวิตในเรื่องแย่ก็มีเรื่องดี เพราะถ้าไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับผมมันก็คงไม่ได้สอนอะไรผมให้เป็นคนที่เป็นคนเข้าที่เข้าทางแบบนี้ บางทีคนนิสัยดื้อเงียบมันต้องเจอยาแรง

แต่ผมไม่แนะนำให้คนไปลอง หรือให้คนใช้ชีวิตแล้วถึงจะสำนึกเพราะมันยากมากในการที่จะกลับมา ประคับประคองชีวิตตัวเองไม่ให้นอกลู่นอกทาง เราก็ควรที่จะเลี่ยงดีกว่า

ฝากถึงเด็กวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง?
เอาความสุดไปในเรื่องที่มันสร้างสรรค์ดีกว่า วัยรุ่นเขามีพลัง มีศักยภาพ เราเอาไปเรื่องที่มันสร้างสรรค์ ชอบดนตรีใช่ไหม ฝึกไปให้สุด ชอบทางด้านกีฬาเอาให้สุด ศิลปะเอาให้สุด แต่อย่าไปสุดทางด้านผิดกฎหมาย หรือทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน เพราะว่าสุดท้ายแล้วเราไม่มีใครได้อะไรกับสิ่งที่เราทำแบบนี้ ตัวเองจะเสียหายที่สุดเกิดขึ้นแล้วผลกระทบแล้วมันเอากลับมาไม่ได้ มาเสียใจทีหลังมันไม่ทัน เพราะฉะนั้นจงอย่าให้มันเกิด 

เรื่องครอบครัวเราต้องให้ความสำคัญ ฟังๆ กันบ้าง เพราะว่าคนที่หวังดีกับเราห่วงใยเราที่สุดก็คือครอบครัวนี่แหละ เพราะช่วงที่เราตกต่ำที่สุดเขานั่นแหละจะมาคอยดูแลเรา เจอกับตัวเองมาแล้ว เราให้ความสำคัญกับเพื่อนมากอันดับหนึ่งสุดท้ายแล้วพอเราอยู่ในจุดนั้น ก็ไม่เห็นมีสักคนที่จะมาเคียงข้างในวันที่เราตกต่ำ เราก็มีแต่คนในชีวิตเราที่เห็นได้อย่างชัดเจน เรามีประสบการณ์มา เลยมาบอกต่อให้เห็นใจคนข้างหลังเราให้เยอะๆ ตอนนี้เรามีเรื่องที่อยากทำให้สังคมเพราะเราได้รับโอกาสจากสังคมมากพอสมควร เราอยากคืนกลับไปให้สังคม

เรื่องหัวใจ อยากสร้างครอบครัว?
ไม่เลย เพราะมีหลายอย่างที่ต้องทำ อยากทำอยากเรียนรู้ ตอนนี้โฟกัสเรื่องครอบครัว ตอนนี้เรากลับมามีรายได้แล้ว กลับมาดูแลครอบครัวซื้อบ้านให้ครอบครัว และค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมด ดูแลเรื่องความรู้สึกของพ่อและแม่ด้วย การใช้ชีวิตให้เวลาเขาด้วย ยอมรับว่างานทำหลายอย่างแต่ก็ต้องมีเวลาให้กับครอบครัว ผมจะดูแลเขาไปเรื่อยๆ

ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนอายกับการแสดงความรักเป็นทุกคนเด็กผู้ชาย ตอนนี้กอดหอมพ่อแม่ได้หมด เรารู้แล้วว่า ณ วันที่เราอยู่ข้างในมันขาดโอกาสที่จะทำแบบนั้นกับพ่อแม่ ตอนนี้มีโอกาสได้ทำก็ทำเลยครับ

ติดตามรายการเต็มรูปแบบได้ ทางช่อง YouTube : BenzKhomKorr เบ็นซ์ ขมคอ ทุกวันอังคาร เวลา 21.00 น.















กำลังโหลดความคิดเห็น