“วิกกี้ สุนิสา” เผยอาการช่วงสุดท้ายชีวิตก่อนสูญเสียคุณพ่อ เส้นเลือดในสมองตีบ 4 ครั้ง ป่วยติดเตียง 2 ปีสุดทรมาน ถึงทำใจแต่พอถึงวันนี้ก็เศร้า เล่าความโชคดี พ่อแต่งงาน 3 ครั้ง มีลูก 5 คน เป็นครอบครัวใหญ่ที่รักกันดี ไม่เหมือนในละคร ทุกคนช่วยแบ่งเบาภาระและสภาพจิตใจ ปรึกษากันจนวินาทีสุดท้าย ลั่นปลง เห็นความสำคัญเรื่องสุขภาพและครอบครัวมากขึ้น
หลังจากโพสต์แจ้งข่าวร้าย คุณพ่อ “วิวัฒน์ จึงวิโรจน์” คุณพ่อของ “วิกกี้ สุนิสา เจทท์” และ “ไรอัน เจทท์” พี่ชาย จากไปอย่างไม่มีวันกลับ โดยครอบครัวจัดพิธีรดน้ำศพและสวดพระอภิธรรมคืนแรกในวันที่ 12 ก.ค.67 ณ วัดธาตุทอง ศาลา17 (ศาลาโกศล) พิธีสวดพระอภิธรรมจะมีตั้งแต่วันนี้ถึง 16 กรกฎาคม 2567 และจะมีพิธีฌาปนกิจ ในวันที่ 17 ก.ค. 67 ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ช่วงรดน้ำศพมีเพียงคนในครอบครัวและคนสนิทมาร่วมแสดงความอาลัยต่อการจากไป ซึ่ง “วิกกี้” ได้เปิดใจว่าถึงทำใจไว้แล้ว แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็เศร้า
“คุณพ่อติดเตียงมา 2 ปีแล้ว เขาเริ่มต้นจากการเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ รวมๆ แล้วคุณพ่อเป็นทั้งหมด 4 ครั้ง หลายคนก็บอกว่าเขาอึดอยู่ เขาเป็นแล้วก็หาย ไปกายภาพบำบัด แขนขาก็ค่อยๆ อ่อนแรงไปตามสเต็ปของโรค พอเป็นซ้ำแล้วเป็นโรคที่เกี่ยวกับสมอง ก็ทำให้สมองไม่สั่งการร่างกายเหมือนเดิม โรคนี้แต่ละคนมีอาการไม่เหมือนกันเลย แต่พอเป็นถึง 4 ครั้ง ร่างกายคุณพ่อก็ไม่ฟื้นเหมือนเคย มันหนักขึ้นเรื่อยๆ พอครั้งที่ 4 เขาทรุด กี้เห็นทุกครั้งที่เขาเป็นว่ามันหนักขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนดูแลคุณพ่อเต็มที่แล้ว ครั้งสุดท้ายคิดว่าคุณพ่อไม่ต้องทรมานแล้ว
คุณพ่อฟื้นมาหลายรอบมาก เราก็คิดว่าเขาจะกลับมาเหมือนเดิม แต่ครั้งหลังๆ มันเริ่มหนักขึ้นจนเรารู้สึกทำใจว่าเขาจะไม่กลับมาแล้วเหรอ ก็พยายามจะดูแลท่านให้ดีที่สุด
ตอนที่คุณพ่อติดเตียงเราให้ท่านอยู่ที่ศูนย์ เพราะ ณ ตอนนั้นด้วยค่าใช้จ่ายหลายๆอย่างที่เราปรึกษากันในครอบครัวแล้ว การที่เรามีคนดูแล 24 ชั่วโมง แล้วเขาต้องดูหลายๆ ด้าน เลยคิดว่าการที่เขาอยู่ศูนย์พักฟื้นเหมาะสมกว่าการที่เขาอยู่บ้าน ก็ให้ลูกหลานไปเยี่ยมแทน เขาต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ทั้งการพบจิตแพทย์ การกายภาพบำบัด หมอที่สามารถดูแลได้ตลอดเวลา การพบจิตแพทย์ ด้วยความที่คนป่วย เขาไม่อยากจะรู้สึกว่าตัวเองร่างกายไม่เหมือนเดิม เขามีเผื่อไว้เฉยๆที่ศูนย์ ช่วยเหลือเผื่อคนไข้อยากจะมีใครที่คุยด้วย”
รับเป็นคนแข็งแรงและซ่า รักอิสระ ขับรถเอง แต่งงาน 3 รอบ มีลูก 5 คน สนิทกับแม่ๆ ทุกคน รับโชคดีที่ครอบครัวมีพี่น้อง เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่เหมือนในละคร
”เขาเป็นคนที่แข็งแรง แล้วก็ค่อยๆลง ค่อนข้างเป็นคนซ่าพอสมควร เป็นคนที่รักอิสระ ขับรถเอง ไปไหนมาไหนเอง เป็นคนกระฉับกระเฉง ชอบเที่ยว คุณพ่อแต่งงาน 3 รอบ มีลูกๆ 5 คน เขาเป็นหนุ่มอารมณ์ดี เราก็เป็นพ่อลูกที่ชอบแกล้งกัน ไม่ได้เป็นพ่อลูกที่พูดจาซึ้งๆ ตลอดเวลา เป็นพ่อลูกที่ตีกันตลอดเวลา เราก็สนิทกัน รวมถึงสนิทกับน้องๆ เรารู้จักกันหมด ครอบครัวใหม่คุณพ่อ กี้ค่อนข้างโอเค เรียกว่าเป็นความโชคดีของครอบครัวเราที่มีพี่น้อง แล้วเราแฮปปี้ที่จะเจอกัน แฮงก์เอาต์กัน ครอบครัวเราไม่มีปัญหากันเลย เราช่วยกัน รวมถึงคุณแม่ใหม่ๆ ที่คุณพ่อแต่งงานด้วย คุณแม่กี้คือคนแรก เพราะกี้โชคดีที่แม่ทั้งสองคนน่ารักด้วย ไม่ได้เหมือนในละครที่เจอแม่ใจร้าย ไม่มีเลย น่ารักทั้งสองคน แล้วเราก็กลายเป็นครอบครัวเดียวกัน”
เผยวันที่เจอเรื่องร้ายๆ พี่น้องสำคัญที่สุด
“สำหรับกี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เรามีพี่น้อง สุขภาพจิตใจของเรา การที่เขาจะเข้าใจทุกๆอย่างที่เราเจอ ต้องไปต่อ มันจะต้องเป็นลูกเหมือนกัน ก็คือไรอันนี่แหละ ไรอันเขาอยู่ กทม. น้องๆ อยู่ต่างจังหวัดกัน กี้ก็คุยกับไรอันตลอด เราก็ช่วยกันได้เยอะมากๆ ทางด้านจิตใจและในทุกๆอย่าง หลังจากนั้นก็จะเป็นเพื่อนๆ ก็มีส่วนสำคัญมากๆ ที่ทำให้เราไม่เศร้าจนเกินไป ด้วยความที่เราเห็นเขาทรมานมาสักพักนึงแล้ว ส่วนนึงเราก็ทำใจไว้แล้วแต่พอมันเกิดขึ้นจริงมันก็เศร้าอยู่ดี
แต่ยังดีที่คุณพ่อไม่ได้ไปกะทันหัน มีเวลาให้เราได้เตรียมใจ เห็นเพื่อนๆ ที่เคยเจอมา ก็โหดอยู่ เรื่องแบบนี้มันโหดกับจิตใจเสมอ แต่แม้เราจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว มันก็ยังมี กี้ว่าเราไม่สามารถเตรียมใจกับเรื่องแบบนี้ได้เลยจริงๆ”
การสูญเสียทำให้มองเห็นว่าครอบครัวสำคัญ พี่น้องเผชิญปัญหาไปด้วยกัน
“มันทำให้เราปลงขึ้นนะ ท่าน 70 กว่า กี้ว่าน่าจะอยู่ได้นานกว่านี้ถ้าดูแลสุขภาพ ท่านค่อนข้างจะใช้ชีวิตเต็มที่ ไปให้สุด อยากจะกินอะไรก็กิน ชอบเที่ยวชอบทำอะไรก็ทำ ลูกก็ห้ามตลอดแต่ห้ามไม่ได้ เรารู้ว่าเขาอยากมีความสุขแหละ เขาก็ใช้ชีวิตเต็มที่
กี้มองว่าการจากไปครั้งนี้ทำให้หันมามองสุขภาพมากขึ้น แม้ว่าเราจะมีเงินทองมากมายแค่ไหน ขยันแค่ไหน แต่สุดท้ายสุขภาพเราไม่ได้ เราไม่สามารถเอ็นจอยชีวิตได้เลยจริงๆ และเรื่องของการให้เวลากับครอบครัว มันเป็นความคิดทั่วไปที่เราคิดอยู่แล้วแหละ แต่จากนี้เราจะตั้งใจกับมันให้มากขึ้นอีก พอไม่มีเรื่องเราก็มองไม่เห็นว่าการมีครอบครัว การมีพี่น้องที่เราเผชิญปัญหาไปด้วยกัน
กี้เห็นเพื่อนบางคนที่มีลูกคนเดียว ก็ไม่สามารถจิตนาการได้ว่าเขาจะรู้สึกยังไง ถ้าเขาเจอในช่วงที่พ่อแม่ลำบาก ล้มป่วย เขาต้องดีลกับมันคนเดียว ซึ่งมันหนักมากนะคะ แต่กี้โชคดีที่มีไรอัน และมีน้องๆ มีครอบครัวใหญ่ มีเพื่อนๆ เหมือนทุกคนก็ช่วยแบ่งเบาภาระกันไป โดยเฉพาะในเรื่องของจิตใจ ช่วยได้เยอะมากๆ ช่วยปรึกษาจนถึงวินาทีสุดท้าย จะปั้มหัวใจคุณพ่อไหม เราก็ตัดสินใจร่วมกัน มันเป็นเรื่องที่ยากมากนะคะถ้าเราไม่ได้อยู่ในโมเมนต์นั้นจริงๆ เราไม่สามารถจินตนาการได้ถูกหรอกจริงๆ”
