“ทนายรณรงค์” เผยกรณี “ปู มัณฑนา” เป็นหนี้ยังไงก็ต้องจ่าย จะมาอ้างโน่นนี่ ลอยหน้าลอยตาไม่ได้ และที่อ้างว่าเซ็นชื่อในกระดาษเปล่า ก็เอามาอ้างไม่ได้ เพราะฟ้องไปก็แพ้ เพราะประมาทเลินเล่อเอง ส่วน “ทนายประมาณ” เป็นระดับปรมาจารย์กฎหมายแล้ว ควรจะงัดหลักฐานที่ว่าฝั่ง “ลูกหมี“ คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดออกมาให้ชัดๆ ไม่ใช่ออกมาพูดลอยๆ แต่บอกตอนนี้ทนายสองฝั่งกำลังสู้กันด้วยข้อกฎหมาย แต่ตอนนี้กฎหมายก็เอื้อให้กับทางลูกหนี้อยู่เยอะเหมือนกัน
ยังคงเป็นประเด็นร้อนอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีที่นางแบบสาว “ลูกหมี รัศมี ทองสิริไพรศรี” ออกมาเปิดเผยว่า “ปู มัณฑนา หิมะทองคำ” มายืมเงินไป 2 ล้าน แต่ยึกยักไม่ยอมคืน และยังมีการโต้เถียงกันไปมาไม่จบ ซึ่งฝั่ง “ทนายประมาณ เลืองวัฒนะวณิช” ทนายความฝั่งของปูออกมาบอกว่า ฝั่งเจ้าหนี้นั้นคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไปมาก และทำให้ฝั่งลูกความของตนเสียหาย อยากจะให้แสดงความรับผิดชอบก่อน ส่วนเรื่องเงินคืนนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน
ล่าสุด “ทนายรณรงค์ แก้วเพ็ชร์” ได้เปิดเผยกับทีมข่าวบันเทิง manager online ว่า ยังไงเป็นหนี้ก็ต้องจ่าย อย่าลอยหน้าลอยตา แต่ตอนนี้ข้อกฎหมายก็เอื้อให้ฝั่งลูกหนี้เยอะ เพราะมีการออกข้อกฎหมายห้ามทวงหนี้ผ่านสื่อออกมา ซึ่งนักกฎหมายทุกคนรู้ข้อนี้ดี
“ผมมองว่าเป็นหนี้ก็ต้องจ่ายนั่นแหละครับ แต่ว่ากฎหมายในปัจจุบันค่อนข้างจะคุ้มครองลูกหนี้เยอะ ไปพูดถึงบุคคลภายนอกว่าเขาเป็นหนี้ก็ไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องของหมิ่นประมาท เป็นเรื่องของพรบ.ทวงถามหนี้ ซึ่งนักกฎหมายทุกคนรู้อยู่แล้ว ไม่มีใครหรอกครับออกมาทวงหนี้ผ่านทางออนไลน์ เว้นแต่ว่าทำใจยอมโดนดำเนินคดีไว้อยู่แล้ว อย่างหลายวันก่อนผมก็ได้มีโอกาสกับลูกหนี้-เจ้าหนี้ผ่านสื่อ ลูกหนี้ผมหัวหมอครับ พอไปทวง เขาก็จะหาเรื่องดำเนินคดีเราในข้อหาประจานหนี้หรือหมิ่นประมาท แต่ไม่จ่ายนะ แถมยังจะเอาตังค์เจ้าหนี้เพื่อเจรจาประนีประนอมคดีที่เจ้าหนี้ไปหมิ่นประมาทด้วย เพราะฉะนั้นในเคสดังกล่าว ผมคิดว่าเป็นหนี้ก็ต้องจ่ายเท่านั้นเอง”
มองทั้ง “ทนายประมาณ” และ “ทนายเดชา กิตติวินันท์“ กำลังสู้กันด้วยข้อกฎหมาย แต่กลับไม่โชว์หลักฐาน
”สำหรับทนายของทั้งสองฝั่งเนี่ย เขากำลังต่อสู้กันในประเด็นข้อกฎหมาย ว่ามันมีการเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ถ้ามันมีการเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด มันจะไม่สามารถฟ้องร้องเอาส่วนของดอกเบี้ยได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเงินต้นไม่ต้องคืนนะ ต้องแยกกัน ถ้าคืนต้นแต่ไม่ได้ดอก ส่วนที่บอกว่าทางนู้นเสนอดอกให้ ตัวเราเองเป็นคนให้เขามากู้ยืม ถ้าดอกเบี้ยมันเกินกว่าร้อยละสิบห้าต่อปี มันผิดกฎหมายของเรื่องดอกเบี้ยเกินอัตราอยู่แล้ว ถ้าทางทนายประมาณมีหลักฐานว่าทางนี้เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ระดับปรมาจารย์กฎหมายอย่างทนายประมาณเนี่ย คงไม่ต้องให้ใครมาแนะนำหรอก”
บอกที่ “ปู มัณฑนา” บอกว่าเซ็นชื่อในกระดาษเปล่า ยังไงก็อ้างไม่ได้ ถือว่าประมาทเอง
”แต่พอถามว่าอีกฝั่งคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้า ทางนู้นมีหลักฐานที่ยืนยันว่าคุณจ่ายดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดมาโชว์นักข่าวมั้ย ไม่ใช่ต่างคนต่างพูดกันไปลอยๆ ทนายต้องเอาหลักฐานมาสู้กันสิ ที่สำคัญของเรื่องนี้คือคุณมีหลักฐานมั้ยว่าเขาเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา ส่วนที่ฝั่งลูกหนี้บอกว่าเขาเซ็นเอกสารในกระดาษเปล่าเนี่ย ผมว่ามันเป็นเทคนิคทางกฎหมายมากกว่า คือคนที่เป็นลูกหนี้เนี่ย ถามคำเดียวเลยยืมตังค์เขาจริงหรือเปล่า ไม่ต้องมาอ้างนู่นอ้างนี่ว่าเซ็นเช็คเปล่า กระดาษเปล่าหรอก มันมีแนวตัดสินของศาลอยู่แล้ว คุณประมาทเลินเล่อ คุณสะเพร่าไปเซ็นเอกสารเปล่าให้เขา คุณไปฟ้องศาลคุณก็แพ้ มันมีประเด็นอย่างเดียวว่าคุณกู้กันจริงมั้ย ยอดตรงมั้ยเท่านั้นเอง สำคัญอยู่ตรงนั้น แล้วมันมีการโอนเงินกันมั้ยจากยอดที่มีการทำสัญญา หรือเอกสารที่มีการบันทึกไว้ เราดูกันตรงนี้เป็นหลัก
แต่เรื่องยอดที่มันไม่ตรงกันเนี่ย เขาก็ต้องไปเคลียร์กันเอาเองว่าเขายืมเงินกันยังไง แต่หลักฐานมันอยู่ในธนาคารอยู่แล้ว เพราะพวกนี้เขาไม่ได้ให้เงินสด เขาโอนไม่ใช่เหรอ แต่ถ้าให้เงินสดก็ต้องแยกย่อยกันไป ผมก็แค่มองว่ายังไงเป็นหนี้ก็ต้องจ่ายเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย แต่อันเดียวที่เราสงสารลูกหนี้คือถ้าลูกหนี้ไม่มีจ่ายจะให้ทำยังไงล่ะ แต่ก็ต้องยอมรับกับเจ้าหนี้ตรงๆ ว่าไม่มีจ่ายนะ ไม่ใช่ว่าลอยหน้าลอยตา ผมมองว่าคดีนี้ก็เป็นคดียืมเงินกันปกติแหละ เพียงแต่เป็นการยืมเงินของคนดังเท่านั้นเอง แต่จริงๆ แล้วทนายเดชาควรใช้วิธีฟ้องศาล ไม่ใช่ออกมาแถลงข่าวก่อน เพราะมันก็จะโต้กันไปมาแบบนี้ เว้นแต่เขารู้ว่าฟ้องไปก็ไม่ได้ตังค์ เพราะอีกฝั่งเขาถังแตกหรือเปล่าเราก็ไม่รู้”
