xs
xsm
sm
md
lg

“หนิง ปณิตา” ยินดีร่วมเฟรม “จิน” เพื่อลูก แอบน้อยใจโลกทั้งใบของลูกแค่ได้เจอหน้าพ่อ! (คลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“หนิง ปณิตา” ยอมรับเห็น “น้องณิริน” ได้โชว์ละครเวทีที่โรงเรียนถึงกับน้ำตาไหล เพราะที่ผ่านมาโดนบูลลี่จากกลุ่มเพื่อนบางกลุ่ม ว่ามีแม่เป็นดาราถึงได้มาแสดง บวกกับมีข่าวหย่าร้างของพ่อแม่อีก แต่สุดท้ายปลื้มใจที่ลูกทำได้ เพราะนี่คือสิ่งที่ลูกอยากทำมาตั้งแต่เด็ก บอกถ้าร่วมเฟรมกับ “จิน” แล้วเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกมีความสุข ตนก็พร้อมจะทำ แต่แอบน้อยใจโลกทั้งใบของลูกสุดท้ายก็คือพ่อ!



ทำเอาคุณแม่สายสตรอง “หนิง ปณิตา พัฒนาหิรัญ”ถึงกับน้ำตาซึม เล่าถึงประสบการณ์ที่ได้เห็นลูกสาวสุดที่รัก “น้องณิริน”ได้ขึ้นไปโชว์ละครเวทีของโรงเรียน ซึ่งเจ้าตัวมาเผยถึงเรื่องนี้ในงาน Hirono Bangkok Art Exhibition and Event ครั้งแรกในประเทศไทย ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และบอกว่าการร่วมเฟรมกับ “จิน จรินทร์ ธรรมวัฒนะ” อดีตสามีครั้งนี้ เพราะต้องการให้ลูกสาวมึความสุขก็เท่านั้น

“อย่างที่เคยสัมภาษณ์ไปทุกครั้งว่าถ้าอะไรดีแล้วทำให้ลูกแฮปปี้หนิงยินดีที่จะทำทุกอย่าง น้องณิรินมีงาน 2 วัน วันนึงเป็นละครเวที อีกวันก็จะเป็นทำวง ละครเวทีเขาก็เดินเข้าไปออดิชั่นเอง คือตอนนี้ทุกอย่างมันผ่านไปได้ และหนิงรู้สึกว่าน้องกลับมามีความสุข และได้ทำสิ่งที่น้องอยากทำเหมือมเดิมและทำได้แล้ว แต่วันข้างหน้าก็ต้องพัฒนาไปอีกเยอะ แต่ตรงนี้รอยยิ้มของเขาคือมันคุ้มค่ากับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำมาก

ตอนเห็นลูกโชว์นี่น้ำตาไหลเลย เพราะวันนี้เรื่องราวทุกอย่างผ่านไปแล้ว หนิงเชื่อว่าน้องก็เข้าใจแล้วว่ามันผ่านไป มันก็พูดได้ว่าเป็นยังไง คือน้องจะโดนที่โรงเรียนว่าน้องเป็นลูกดารา น้องถึงมีโอกาสที่จะได้เต้น ได้ร้อง ถ้าไม่มีแม่เป็นดาราน้องก็ทำไม่ได้ แล้วพ่อกับแม่ก็เลิกกัน และกิจกรรมอะไรที่บางครั้งน้องอยากร่วมในเรื่องของดนตรีหรือเรื่องของศิลปะ ก็จะมีเพื่อนบางกลุ่มไม่ยอมให้เขาไปเล่นด้วย และสิ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่เขารัก พอเวลาอยู่ที่โรงเรียนเลยทำให้ความมั่นใจตรงนี้ของเขาหายไปหมด’

เผยโดนบูลลี่จากเพื่อนที่โรงเรียน ไม่ยอมให้ร่วมในบางกิจกรรม
“เอาเป็นว่างานที่เกี่ยวกับเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์เรื่องแสดงเขาจะทำที่โรงเรียนไม่ได้เลย แต่ถ้าสมมติเขาอยู่ข้างนอกกับพวกเรา เขาก็จะทำได้ เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่มีสายตาใครจับจ้อง มันเลยบอกได้อย่างนึงว่าจริงๆ แล้วลูกเรา สังคมของเด็กสำคัญที่สุดคือสังคมในโรงเรียน ซึ่งคุณครูและบุคคลากรทุกคนในโรงเรียนเองก็ทราบเรื่องนี้พอสมควร ก็มีการช่วยกันในหลายๆ ทางเพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้กับเขา เราก็มีการปรึกษาคุณหมอนอกรอบ ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อนๆ

แล้ววันนึงเขาเอากระดาษมาให้แม่ แล้วบอกว่าหนูตัดสินใจว่าหนูจะเข้าไปออดิชั่น ได้ไม่ได้หนูไม่รู้ เขาพูดอย่างนี้หนิงก็ตกใจ ก็บอกว่าอย่าทำเลย เพราะถ้ามันเฟลขึ้นมาหนิงกลัวว่าเขาจะเสียใจไปมากกว่านี้ เขาก็ยิ้มหวานบอกว่าแต่หนูได้แล้วค่ะ แล้วพอวันที่เขาจะขึ้นไปโชว์จริงๆ มันยากมากนะกับเด็ก 11 ขวบ เขายังไม่ได้เป็นเด็กที่เก่ง แต่เขากล้าที่จะเอาชนะคำสบประมาทของคนหลายๆ คน

เชื่อปลดล็อกตัวเองได้แล้ว
สำหรับเขาตอนนี้หนิงเชื่อว่าเขาปลดล็อกตัวเองได้แล้วค่ะ แต่ก็ไม่ถึงกับนอยด์ขนาดไม่อยากไปโรงเรียนขนาดนั้น แต่พอเวลามีกิจกรรมอะไรที่จะต้องทำในลักษณะเกี่ยวกับการร้องเล่นเต้นระบำกิจกรรมเกี่ยวกับการแสดง ซึ่งทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าเขารักตรงนี้ตั้งแต่เล็กๆ และหนิงเองยังไม่อยากให้เขาทำ พอวันนี้หนิงก็คิดว่าเขาเก่ง เขาจะกล้าหาญที่เขาจะทำ คือชื่นชมในความกล้าหาญ แต่ในผลงานถ้าอยากจะทำจริงๆ ก็ต้องมาฝึกฝนและพัฒนากันต่อไป

ถามว่าเขามาปรึกษาไหม ถ้าไม่หนักจริงๆ เขาจะไม่ค่อยมาพูด แต่ส่วนใหญ่หนิงจะรู้แทบทุกเรื่อง เพราะคนรอบๆ ตัวหนิงทั้งครอบครัวคนที่ออฟฟิศ หรือแม้กระทั่งคุณหมอหรือครูที่โรงเรียนเราทำงานร่วมกันเป็นทีมค่ะ เราก็จะรู้ว่าประโยคนี้เราจะให้ใครเป็นคนเข้าไปคุย เพราะเรื่องบางเรื่องให้คนอื่นคุยจะดีกว่าให้เราเองคุย บางคนอาจจะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ แต่สำหรับเด็กคนนึง และเป็นเรื่องสังคมบูลลี่ในโรงเรียน บางคนก็คิดว่าหนิงเว่อร์ไปหรือเปล่า แต่สำหรับเด็กคนนึง การบูลลี่คำบางคำมันคือทั้งชีวิตของเขาในสังคมเขานะคะ

แอบน้อยใจ โลกทั้งใบของลูกน่าจะเป็นพ่อมากกว่า
“สำหรับจิน หนิงก็บอกว่าวันนี้ลูกมีการแสดงแบบนี้ และณิรินอยากให้ไปนะ เขาก็ยินดี คือถ้าสำหรับลูกและถ้าเราเอ่ยปาก เขาก็พร้อมที่จะทำค่ะ พอน้องเห็นพ่อก็อย่างที่เห็นเลยแหละ รอยยิ้มเขา โลกทั้งใบของเขา หนิงยังแอบพูดกับเขาขำๆ กับคนรอบๆ ข้างบอกว่าบางทีแม่ก็แอบน้อยใจเหมือนกันนะ ทำทุกเรื่องเลย แต่โลกทั้งใบจริงๆ ก็คือแค่เจอหน้าพ่อแต่หนิงถึงบอกว่าโลกทั้งใบของเขาคือการเจอหน้าพ่อเนี่ย มันทำให้สำหรับหนิงอะไรก็ได้ถ้าทำให้ลูกหนิงยิ้มได้ วันนั้นเขาก็ดีใจค่ะ หนิงว่าเขาโตขึ้นเยอะมาก เวลาที่ใครชมเขา เขาก็จะบอกกับคนที่ชมเขาทุกคนว่าให้ชมแม่หนู

แต่ถามว่าเรากังวลว่าน้องจะกลายเป็นจุดโฟกัสในงานไหม แน่นอน มันไม่แปลกนะที่เรื่องราวของเรามันก็ค่อนข้างจะใหญ่โตพอสมควรกับ 1-2 ปีที่ผ่านมา พอคนสองคนที่มันมีเรื่องราวใหญ่โตมาทั้งปีไปอยู่ตรงนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่โดนใครมอง แต่สุดท้ายเราก็เป็นธรรมชาติของเราดีที่สุด ไม่ต้องไปปั้นแต่งว่าเรามาเรารักกันนะ หรือเรามาคือเราเกลียดกันนะ อารมณ์ไหนที่เขารู้สึกว่าเขาไม่น่ารัก หนิงก็จะพูดเลยว่าหยุด อย่าทำอย่างนี้ เขาก็โอเค เราก็จะเป็นธรรมชาติของเรา

ทุกวันนี้ครอบครัวหย่าร้างกันเยอะมาก จะหย่าร้างกันยังไง จะตีกันยังไง จะทะเลาะกันยังไงก็แล้วแต่ ทุกวันนี้หนิงกับจินก็ยังมีทะเลาะกัน เรื่องราวส่วนตัวก็ยังเคลียร์กันไม่ลงตัว แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญเลยถ้าเป็นเรื่องของลูก เราต้องละลายความโมโหของเรา เพราะเด็กคนนึงไม่สมควรที่เขาจะต้องได้รับอะไรมากไปกว่าที่เขารับแล้ว และเด็กบางคนเขาก็พยายามที่จะสู้ด้วยเหมือนกัน สิ่งนี้มันคือของขวัญที่เขาควรจะได้รับการชดเชยในสิ่งที่เขาเคยเจอ”

ดีใจที่คนชื่นชมสิ่งที่เราทำเต็มที่ให้กับลูก
“ณิรินไม่ได้พูดค่ะว่าอยากเจอพ่อบ่อยๆ จริงๆ หนิงก็มีถามณิรินว่าที่หนูเคยถามว่าจะยังไง เขาก็บอกว่าไว้ค่อยคุยดีกว่า เพราะ ณ วันนี้สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้เขาแฮปปี้แล้ว และมีความสุขแล้ว คือทุกคนมองว่าเขาเข้าใจ แต่เอาจริงๆ เด็กๆ 11 ขวบ เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนเราเข้าใจหรอก เขาเพิ่งผ่านโลกมาแค่ 11 ปีเอง พวกเราผ่านโลกมาจะ 50 แล้วเขาไม่มีทางเข้าใจได้เหมือนเรา

สำหรับกำลังใจวันนี้หนิงขอบคุณ ไม่รู้จะขอบคุณยังไง หนิงรอวันนี้เหมือนกันนะ คือบางครั้งการสัมภาษณ์หลายๆ ข่าว บางครั้งเราพูดหรือทำอะไรออกไป บางทีคนก็จะไม่เข้าใจเรา แต่หนิงอยากจะบอกทุกคนเลย ไม่ต้องคาดหวังให้ใครเข้าใจอะไรเราใดๆ ทั้งสิ้นหรอก รอแค่เวลาเท่านั้น เวลามันจะพิสูจน์ว่าใครเป็นยังไง และตัวเราเองก็ต้องพยายามเข้าใจและพัฒนาให้มันได้ทุกวันด้วย เพราะเรื่องราวแต่ละวันก็ 100 วัน 1,000 เหตุการณ์ ก็พยายามใช้สติให้มากที่สุดถ้าหลังจากนี้อาจจะมีหลุดๆ บ้างก็อย่าโกรธกันเลย เพราะหนิงก็พยายามทำให้ดีที่สุดสำหรับเด็กคนนึงที่หนิงจะทำได้ และทำให้ดีที่สุดที่ตัวหนิงเองต้องมีความสุขด้วยค่ะ”













กำลังโหลดความคิดเห็น