“เบน ชลาทิศ” เผยเพิ่งฉลองครบรอบแต่งงาน 5 ปี ดีใจแทน LGBTQIAN+ ทุกคนกับสมรสเท่าเทียม เตรียมจดทะเบียนใหม่ไทยอีกรอบถ้าทำได้ ยอมรับฟังแล้วจี๊ดแถมยังงง กับมุมมองความคิดของ สว. ท่านหนึ่ง ขอบคุณที่ลงมาทำให้ได้รู้จัก
เป็นอีกหนึ่งคู่รัก LGBTQ ที่บินไปจดทะเบียนสมรสกันไกลถึงประเทศออสเตรเลีย สำหรับนักร้องเสียงดี “เบน ชลาทิศ ตันติวุฒิ”และแฟนหนุ่ม ที่เผลอแป๊บเดียวก็แต่งงานกันมาครบ 5 ปีแล้ว แถมยังเพิ่งฉลองครบรอบกันไปเมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมาด้วย ก่อนจะได้รับข่าวดีตามมาติดๆ ในวันที่ 18 มิถุนายน ว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านมติเห็นชอบแล้ว ล่าสุดเจ้าตัวก็ได้เปิดใจ ในงานแถลงข่าวโครงการ Her Awards UNFPA THAILAND 2024 ว่าถ้ามีโอกาสได้จดทะเบียนสมรสที่ไทย ก็พร้อมจดใหม่อีกครั้งหนึ่ง
“จดสิ จดอยู่แล้ว เพิ่งครบรอบแต่งงานกับสามีที่บินไปแต่งออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา แล้ววันที่ 18 มิ.ย. เราได้รับข่าวดี เราก็มองกันอยู่ว่าจะก้าวต่อไปกับชีวิตคู่ยังไง แล้วผมรู้สึกดีใจแทนพี่ๆ น้องๆ LGBTQIAN+ ทุกคนเลย”
ยังไม่ได้ดูฤกษ์แต่งในไทย เพราะยังฉุกละหุกมาก
“เดี๋ยวมันฉุกละหุกมากอยู่ แต่รู้สึกดีใจตื้นตันมาก เมื่อวานนี้ได้ดูเพื่อนๆ ในโซเชียล แล้วรู้สึกดีใจกับทุกๆ คนครับ คือตอนที่เราแต่งงานกัน เราตัดสินใจว่าเราจะใช้ชีวิตกับคนคนนี้ เราน่าจะเหมือนกับทุกๆ คนที่มีคนรักก็อยากที่จะให้เกียรติเขา อยากให้ความมั่นคง ความมั่นใจกับคนรักของเรา การแต่งงานการมีทะเบียนสมรส ถือเป็นการให้ความเชื่อมั่นกับคู่รักของเรา แล้วก็ทางด้านกฎหมาย มันอาจจะไม่ได้ใช้ได้จริงในบ้านเรา ณ ตอนนั้น แต่ ณ กฎหมายสมรสเท่าเทียมตอนนี้ มันเป็นอีกสเต็ปหนึ่ง ที่แสดงให้ทุกคนได้ภูมิใจในความเป็นตัวเองและความเป็นคน สิ่งที่ผมเชื่อมาเสมอก็คือคนเท่ากับคน”
ตอนจดทะเบียนที่ออสเตรเลีย ได้สิทธิพื้นฐานเหมือนประชาชนที่โน่น
“ใช่ ก็สามี-สามี ก็ไปจดทะเบียนกันในโบสถ์ แล้วก็มีทีมงานของทางรัฐมาเซ็นให้ จัดกันในครอบครัวเล็กๆ 10 กว่าคน หลังจากที่จด ผมก็รู้สึกว่าชีวิตคู่มันสมบูรณ์ แล้วเราสบายใจ ที่อย่างน้อยแฟนเราเขาจะมั่นใจ ว่าความรักครั้งนี้มันเป็นความรักที่จริงจัง ตอนนี้ครบรอบ 5 ปี แล้วที่จดทะเบียน แต่กับแฟนคนนี้เราคบกันมา 10 ปีแล้ว”
ดีใจที่สมรสเท่าเทียมผ่านมติเห็นชอบ รอดูในสเต็ปต่อไป
“ผมก็รอ ถือว่าเป็นความดีใจ แล้วก็รอสเต็ปต่อๆ ไป รอเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เรื่องการเซ็นมอบอำนาจ สิทธิ์ต่างๆ ซื้อประกันให้กันได้หรือยัง ก่อนหน้านี้ผมอยากซื้อประกันให้แฟนมาก ถ้าเกิดว่ามีอะไร แล้วจะมอบให้ใคร ก็บอกว่าทำได้ๆ แต่งงานแล้ว แต่แฟนผมนำหน้าว่านาย ก็บอกว่าอันนี้ไม่ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่ได้เจอกับตัว แต่ว่ากรณีที่อยู่กับแฟน แล้วต้องไปเซ็นผ่าตัดอะไรแบบนี้ผมยังไม่เคยเจอในเคสนั้น แต่ว่าหลายคนที่ได้เจอมา รู้สึกว่าอันนี้เป็นอีกสเต็ปหนึ่งที่ทำให้เรามีความมั่นใจและมีความอิ่มใจ สำหรับตัวผมเชื่อว่าหลายๆ คน การที่ได้เห็นสเต็ปนี้กฎหมายสมรสเท่าเทียมเกิดขึ้น เขาไม่ได้ดีใจมาก หรือรู้สึกว่าได้อะไรมากกว่าใคร แค่รู้สึกว่าสิ่งที่เราเรียกร้องกันมาตลอดคือความเท่ากัน ผมไม่ต้องการมากกว่า แค่ต้องการความเท่ากัน”
ไม่แน่ใจจดทะเบียนสมรสอีกรอบที่ไทยได้ไหม ต้องไปศึกษาก่อน แต่ถ้าทำได้จะจัดงานแล้วเชิญแขกเยอะๆ เอาทุนคืน
“อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจเรื่องนี้ เราต้องมาจดเพิ่มไหมเราต้องมาจดที่เมืองไทยต่อไหม เพราะว่าก่อนหน้านี้ ที่ผมบอกมีทะเบียนสมรสต่างประเทศที่เมืองไทยใช้ไม่ได้ ขอศึกษาส่วนตัวด้วย แต่ถ้าเกิดจดได้ สิ่งแรกที่เราอยากทำ คือจะจัดงานแล้วก็เชิญแขกเยอะๆ เอาทุนคืน (หัวเราะ) แซวเล่นๆ ถ้าจดได้ผมก็อยากจะจดกับเขา ถือว่าโชคดีได้ฉลองหลายครั้ง ก็อยากจัดนะเพราะครั้งที่แล้วเราจัดแบบไม่ได้ชวนใครเลยก็อยากจะชวนเพื่อนๆ มา ส่วนในแง่ของกฎหมาย ก็ต้องลองดูว่ารายละเอียดลงไป มันมีสิทธิ์อะไรบ้างมากแค่ไหน ก็อยากซื้อประกันให้แฟนได้ อยากน้อยก็เป็นหลักฐานว่าวันไหนที่เราไป เขาก็ยังมีก้อนที่เอาไว้ดูแลตัวเอง หลังจากที่เราไม่อยู่ เพราะว่าปัจจุบันเราก็เป็นคนดูแลครอบครัว หารายได้หลัก บางทีเราเป็นห่วงหลังจากที่เราไปแล้วเขาจะอยู่กันยังไง”
คบกันมา 10 ปีมันก็เป็นการพิสูจน์ ว่าความรักของ LGBTQIAN+ ไม่ใช่ความรักที่ฉาบฉวย
“ผมมองว่าทุกคนมีความเสมอภาคกัน คนเรารักกัน เลิกกันได้ ไม่ว่าจะเพศไหน ไม่ใช่เฉพาะแค่ ชายๆ หญิงๆ หรือชายหญิง ทุกคนเสพสื่อเห็นอยู่แล้วปัญหาที่มันเกิดขึ้นในสังคมมันเป็นยังไง ถ้าเรามองมนุษย์ว่าเป็นคน ทุกคนสามารถทำดีทำชั่ว ทำเลว ทำพลาดได้ แต่อย่างน้อยต้องมองว่าเขามีสิทธิ์เท่ากัน”
ยอมรับรู้สึกจี๊ดและงง หลังสว.ท่านหนึ่ง แสดงความเห็นว่า “การแก้กฎหมายแบบนี้ ไม่ได้เป็นการยกระดับ แต่เป็นการกดเพศชายเพศหญิงให้ลงไปเข้ากับ LGBTQ”
“หมายถึงท่าน สว. นั้นเหรอ เขาไม่ได้กด เขาลงมาหาเรา ขอบคุณมากครับที่ออกตัว ก็ได้รู้จักกันแล้ว ขอบคุณที่ทำให้ได้รู้จักกัน ได้ยินแล้วจี๊ดไหม (ถามนักข่าว) ผมไม่ได้จี๊ดธรรมดา ผมแค่งงว่า อุ้ย...มันเกิดขึ้นได้ยังไง ไอ้ความคิดนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง อันนี้ผมมองในมุมมองของผม ไม่ได้อยู่ในมุมมองของท่าน ท่านอาจจะอยู่ในสังคม หรือว่าแวดล้อมด้วยคนที่มีมุมมองแบบไหน อาจจะรู้สึกว่าสิ่งแบบนั้นคือถูก แต่ผมก็โตมาในแบบนี้ ผมมีกระบวนการความคิด มีสิ่งที่ผมพบเจอ มีสิ่งที่ชีวิตมันสั่งสอนผมมา ไปเจอที่ไหนมา ก็มีความรู้สึกว่าอย่างน้อยท่านก็ยังเคารพนะ สุดท้ายแล้วท่านก็ยังเคารพเสียงส่วนมากค่ะ”
