xs
xsm
sm
md
lg

เปลี่ยนเพราะรัก! “ไบร์ท นรภัทร” เวอร์ชั่นใหม่ หักดิบเลิกปาร์ตี้ อยากสร้างครอบครัวในวัย 30

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ไบร์ท นรภัทร” เปลี่ยนตัวเองเป็นเวอร์ชั่นที่ดีขึ้น ตัดวงจรปาร์ตี้ เลิกเหล้าแบบหักดิบ ตั้งแต่ปีใหม่ยังไม่ได้แตะสักหยด ยันไม่ได้เปลี่ยนเพราะเฮิร์ต แต่เปลี่ยนเพราะรัก วางอนาคตอยากสร้างครอบครัวในวัย 30 แฮปปี้รัก “โบกี้ เฌอริสา” คบปีกว่าแต่ทำให้เชื่อในรัก ถอดเขี้ยวเสืออยากทำตัวดีให้คู่ควร ไม่ต้องล่ามโซ่ เพราะไม่ไปไหน พร้อมทำให้สบายใจโดยไม่ต้องขอ

ถึงภาพลักษณ์จะดูแบดบอย แต่ก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลย ว่านักแสดงหนุ่ม “ไบร์ท นรภัทร วิไลพันธุ์” กำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม ทั้งเลิกปาร์ตี้ และเลิกเหล้าแบบหักดิบ ชนิดที่ว่าตั้งแต่ปีใหม่มายังไม่ได้แตะสักหยด โดยหนุ่มไบร์ทได้เปิดใจกับทีมข่าว หลังยอมรับว่าตัวละครหนุ่มเจ้าสำราญ สายวันไนท์สแตนด์ ผู้ที่ไม่ศรัทธาในความรัก อย่าง “นนท์” ในซีรีส์ “LOVE LESSON 010 แบบฝึกรัก..ไม่รู้ล้ม” นั้นมีความใกล้เคียงกับชีวิตตัวเองในช่วงหนึ่ง ที่เพิ่งจะผ่านมาไม่นานนี้ และสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจหยุดวงจรนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะความรัก ทั้งจากพ่อแม่ และแฟนสาวคนสวย อย่าง “โบกี้ เฌอริสา ธนะ” มิสแกรนด์ ปัตตานี 2022

ถามว่าหยุดวงจรนี้ได้ยังไง จริงๆ หลายอย่างเลย มันเริ่มมาจากการที่ผมเลิกดื่มก่อน ไม่คิดว่าตัวเองจะเลิกดื่มได้เลย แต่อยู่ๆ มันก็รู้สึกว่าอยากเลิก ผมเป็นคนเลิกแล้วหักดิบเลย เราคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว เราก็โตขึ้นหลายปีแล้ว คิดว่าชีวิตนี้เราจะต้องการอะไรวะ ถามตัวเองจริงๆ ว่าเราต้องการอะไรกับชีวิตนี้ ผมอยากมีครอบครัว อยากมีลูก อยากมีความมั่นคง ทั้งในเรื่องความสัมพันธ์ เรื่องการเงิน ทุกอย่าง แต่ทีนี้ผมลองนึกว่าถ้าเราเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะมีครอบครัว จะมีลูก ใครเขาจะมาไว้ใจเราวะ แล้วลูกเราจะเห็นตัวอย่างเราแบบนี้เหรอ เราอยากให้ลูกเราโตมาเป็นเหมือนเราเหรอ ผมก็เลยคิดว่าต้องเริ่มแล้ว”

คาดเพราะตัวเองเริ่มเร็ว เลยคิดได้เร็ว ตั้งแต่ปีใหม่มา ยังไม่ได้กินเหล้าสักคำเดียว
“ผมว่าผมเริ่มเร็วด้วยแหละ เริ่มเร็วมากๆ ถามว่าอิ่มกับมันไหม ก็อิ่มนะ บางทีมันไม่ใช่แค่เรื่องความเจ้าชู้อย่างเดียว ผมรู้สึกว่าเวลาที่ผมกินเหล้าเข้าไป มันสนุก ทุกคนกินเหล้าแล้วสนุกหมด กินแล้วมันกล้าพูด กล้าทำอะไรที่ตอนไม่เมาเราไม่กล้าทำ ปกติเราอาจจะไม่กล้าเดินไปทักใครเลย แต่พอเรากินเราเหล้าเข้าไป โอ้โห…เป็น สส.เลย เดินทักคนโน่นคนนี้ได้สบายไม่มีปัญหา เราเคยมองว่ามันคือข้อดีของเขา แต่พอมันผ่านไปนานๆ เข้า มันเริ่มเห็นข้อเสียมากกว่าข้อดี สุขภาพหนึ่ง แน่นอนอยู่แล้ว ตัดทิ้งไปใครๆ ก็รู้ แต่เรื่องอีกอย่างที่ผมเป็นห่วงตัวเอง คือผมไม่รู้ตัวเอง ผมไม่มีลิมิต ว่าไปเที่ยววันนี้ ร้านนี้เลิกฉันกลับนะ ผมไปเรื่อย แบบไปเรื่อยๆ ยันเช้า ยันเที่ยง ยันบ่าย ตลบไปอีกวัน คือเราไม่มีลิมิตอะไรทั้งนั้น เราสนุก ชีวิตเราเกิดมาเพื่อเอ็นจอย เราคิดแค่นั้น จนวันหนึ่งเราเบื่อแล้ว ไม่เอาแล้ว เคยเบื่ออย่างนี้มาหลายรอบนะ แต่ไม่เคยรู้สึกว่าเอาจริงเท่ารอบนี้มาก่อน นี่เดือน 6 ผมยังไม่กินเหล้าสักคำเลยปีนี้ ตั้งเป้าไว้เลย”

หลายครั้งที่เล่นแล้วเจ็บเอง เลยคิดว่าพอเถอะ ไม่เอาแล้ว
“คือมันก็มีนะ บางทีเราไปเที่ยว ก็ได้รู้จักคนโน่นคนนี้เพิ่มขึ้นมากมาย เราก็เอ็นจอยที่จะรู้จัก มีความสัมพันธ์กับคนโน่นคนนี้ไปเรื่อย จนมาวันหนึ่งจากที่เราเคยสนุก เราคิดว่ามันสนุก เราสนุกเขาสนุก จนมีหลายๆ ครั้งที่เราสนุกแต่เขาไม่สนุก เราเล่นแต่เขาไม่เล่น หลายครั้งมากๆ บางทีเราก็เจ็บเอง บางทีเห็นเบาเจ็บ เราก็เจ็บ หลายอย่าง ก็คิดว่าพอเถอะ พอดีกว่า ไม่เอาแล้ว”

โอดยากมากในการต้องใจแข็ง แรกๆ ไม่มีใครเชื่อ บอกตxแหล
“อู้หู…ยากมาก คิดดูว่าเราเป็นไอคอนิกเรื่องอะไรแบบนี้มากๆ สุดๆ แล้วพอวันหนึ่งเราหันหลังให้มัน แล้วอีกกี่ร้อยชีวิตที่เราชักชวนเขาเข้ามา นึกออกเปล่า (หัวเราะ) ก็ต้องใจแข็ง ตอนแรกๆ เพื่อนก็ไม่เข้าใจ สบประมาททุกคน ไม่มีใครเชื่อผมเลย ไม่คิดว่าจะทำได้ แบบไม่เชื่อๆ ตอแหxแล้ว มั่วแล้ว แต่ก็นั่นแหละ อาศัยหนักแน่นไปเรื่อยๆ ตอนงานปีใหม่ช่องคืองานแรกๆ เลย ที่ทุกคนเห็นว่าผมไม่กิน ปกติเราก็เอ็นจอยมากๆ แต่เราก็นั่งแบบเฮ้อ (ถอนหายใจ) ถามว่าอยากไหม ก็รู้สึกว่าอยากสนุก ไม่ได้อยากดื่มหรอก แต่อยากสนุก พอไม่ดื่มแล้วไม่สนุกเลยอะ มันนิ่ง นั่งแบบหนาวจัง (หัวเราะ) หนาวจริงๆ รู้สึกหนาว ไม่เคยรู้สึกหนาว ปกติจะร้อนๆ เดินไปเดินมา นี่รู้สึกแบบหนาวจัง

มีแต่คนมาเอ้ย บางคนก็ไม่ได้ถาม ชงเหล้ามาให้เราเลย ก็เป็นการปฏิเสธที่ยากมาก ลำบากใจ หนักปาก อะไรก็ยากไปหมด แต่ก็ทำมาเรื่อยๆ ไม่กินๆ จนคนเห็นว่าเราไม่กิน ก็คิดว่าตอนนี้ตัวเองผ่านช่วงที่ยากที่สุดมาแล้ว คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรแล้วแหละ ถ้าไม่หลวมเข้าไปกินสักครั้งนะ (กินนิดๆ ก็ไม่ได้เหรอ?) ไม่กินเลย ผมว่าถ้ามันมีข้อแม้ให้ตัวเองสักนิดหนึ่ง มันก็จะเลิกไม่ได้หรอก ถ้าแบบมาเที่ยว สักหน่อยแล้วกัน พอมาเที่ยวรอบหน้าก็จะกินอีก ตอนนี้ก็ไม่เที่ยวเลยครับ พยายามหากิจกรรมอย่างอื่นทำแทน”

ตอนนี้พยายามเติมเต็มตัวเอง ว่าความสุขคืออะไรกันแน่ โดยตัดเสียงคนอื่นออกไปให้หมด
“ความสุขเราตอนนี้ ก็พยายามเติมเต็มตัวเองอยู่ ตอนนี้คุยกับตัวเองเยอะมาก พยายามยอมรับตัวเองก่อน ว่ามันไม่ดียังไงบ้าง ข้อเสียของเรา ที่เราเคยไม่รับฟังจากคนอื่นเลย ว่าอันนี้คือข้อเสียนะ เราก็พยายามนึกว่ามันเป็นยังไง พยายามคุยกับตัวเองเยอะๆ ค้นหาตัวเอง ว่าความสุขของเราคืออะไรกันแน่ เราเกิดมาเพื่ออะไร ทำให้คนอื่นมีความสุข เราอย่าใช้ชีวิตตามคำคนอื่น หรือตามสิ่งที่เราอยากทำ อะไรแบบหลายๆ อย่าง กับทุกเรื่องเลย ว่าเราทำสิ่งนี้เพราะอะไร เพราะเขาสั่งให้เราทำเหรอ หรือว่าทำเพื่อเอาใจใครหรือเปล่า 

พยายามตัดเรื่องพวกนั้นออกไปเรื่อยๆ แล้วก็ดูตัวเอง ว่าเราต้องการอะไรกันแน่ โดยตัดเสียงคนอื่นออกไปให้หมด แล้วก็ทำมันซะ เช่นตอนนี้ผมก็พยายามหากิจกรรมทำเยอะมาก อยากต่อยมวยก็ไปต่อยมวย ไปยิงปืน ไปลองทำอะไรใหม่ๆ บ้าง เชื่อไหมพอผมออกจากวัฎจักรปาร์ตี้เนี่ย ผมมีเวลากับตัวเองเยอะขึ้นมาก จากที่เมื่อก่อนรู้สึกว่าไม่มีเวลา ทำงานเสร็จก็เหนื่อยแล้ว”

เคยอยู่ในโหมดปาร์ตี้ จนมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
“ใช่ครับ กลายเป็นว่าศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ นี่คือสวรรค์ของเรา แบบสบายแล้ว มีเพื่อนเที่ยวเต็มเลย ไม่มีปัญหา พอหลังๆ อาทิตย์ที่ว่าง ผมไปโบสถ์ตอนเช้า พอไปแล้วมันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก คือรู้สึกเป็นคนดี ไม่อยากทำอะไรที่มันไม่ดีเลย แม้แต่จะกินน้ำอัดลมสักแก้วยังไม่อยากทำเลย รู้สึกว่าไหนๆ วันนี้ก็เริ่มมาดีแล้ว ขอดีทั้งวันเลยดีกว่า มันเริ่มจากอย่างนี้ก่อน เริ่มจากไปโบสถ์กลับมา จากนั่งดูการ์ตูนแหม่บๆ ก็รู้สึกว่าไม่เอา ไปทำอะไรที่มันดีๆ ดีกว่า เราต้องการอะไรตอนนี้ ก็อ่านหนังสือบ้าง ออกกำลังกายบ้าง ทำอย่างอื่นที่มันไม่ใช่วัฎจักรที่น่ารำคาญของเรา ที่ทำให้เสียเวลา”

เชื่อคุณพ่อคุณแม่แฮปปี้มากขึ้น กับลูกในเวอร์ชั่นใหม่ คิดหาจิตแพทย์แก้โมโหร้าย
“จริงๆ ผมว่าเขาแฮปปี้กับผม ตั้งแต่ตอนผมเป็นเวอร์ชั่นที่แล้วแล้ว แต่เวอร์ชั่นนี้เขาก็คงดีมากขึ้น ก็คงแฮปปี้มากขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคนดีขนาดนั้น ก็ยังมีหลายเรื่อง ที่เรารู้สึกว่ายังต้องทำให้ได้อยู่ เช่นเรื่องอารมณ์ ผมรู้สึกว่าตัวเองโมโหรุนแรงไปหน่อย แบบไม่มีเหตุผล แต่เวลาเรามีสติแล้ว เราก็คิดว่าเอ๊ะ…ทำไมเรื่องแค่นี้เราถึงโมโหได้ขนาดนี้ ก็ค่อยๆ หาคำตอบกับตัวเองไป ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ อยากจะแก้จัง ตอนนี้กำลังคิดจะหาจิตแพทย์อยู่ คือไม่ได้ถึงขั้นว่าเป็นโรคอะไรร้ายแรงนะ แต่แค่ให้เขาช่วยรักษาเรา ช่วยจัดการกับอารมณ์เราหน่อย ตอนนี้เรายอมว่าแล้ว ว่าเราเป็นคนใจร้อน เราเป็นคนขี้โมโห อยากจะเป็นคนที่ดีขึ้น ช่วยผมหน่อย”

ไม่ได้ทำตัวเองให้ดีขึ้น เพราะไม่อยากให้แฟนคลับผิดหวัง แค่รู้สึกว่าอยากทำเพื่อตัวเองบ้าง
“ไม่ถึงขนาดนั้นนะ ไม่ได้คิดว่าจะไม่ทำให้แฟนคลับผิดหวังอะไร ผมคิดว่าแฟนคลับที่ยังอยู่ ก็คงชอบที่ผมเป็นผม แต่ตอนนี้ผมกำลังจะเปลี่ยนเวอร์ชั่นแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะยังชอบกันอยู่หรือเปล่า แต่ว่าผมอยากทำเพื่อตัวเองบ้าง ผมรู้สึกว่าเราทำเอาใจคนอื่นมาเยอะเกินพอแล้วกับชีวิตนี้ เรา please คนอื่นตลอด คืองานในวงการบันเทิง ผมรู้สึกว่ามันเป็นงานที่ต้อง please คนอื่น แต่ว่าตอนนี้เรารู้สึกว่าขอเบรกก่อน ขอจัดการตัวเองก่อน ว่าฉันต้องดีขึ้นตรงไหนบ้าง”

ผู้ใหญ่มีตกใจ ตอนเห็นว่าเลิกดื่มแล้ว
“เรื่องไม่ดื่มเขาก็ตกใจ แปลกใจกัน แต่ก็ไม่ได่ว้าวอะไรมาก เพราะผมก็เป็นอย่างนี้ อยู่ๆ ผมคิดอะไรได้ ผมก็ทำเลย ไม่รออะไรทั้งนั้น ไม่รอฤกษ์ ทำเลย เริ่มเลย ไม่รอพรุ่งนี้ เอาตอนนี้”

รู้แฟนคลับชอบเพราะความแบดบอย แต่ส่วนตัวไม่อยากเป็นอย่างนั้นแล้ว
ผมรู้เลยว่าจุดขายสิ่งที่คนชอบในตัวเรามันคืออะไรแบบนั้น แต่ผมไม่อยากเป็นอย่างนั้นแล้วจะให้ผมทำยังไง ผมรู้สึกว่ามันถึงเวลาของไบร์ทแล้วที่ต้องเติบโตแล้วนะ ถ้าใครที่ยังติดภาพนั้นก็ดูอะไรเก่าๆ ของเราไป คนที่พร้อมจะเสพอะไรใหม่ๆ ก็เตรียมตัวมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว แต่ตัวตนเราก็ยังเหมือนเดิม ผมก็เป็นผมเหมือนเดิม คำพูดคำจายังเป็นผมเหมือนเดิม แค่ข้างในมันอาจจะไม่เหมือนเดิมแค่นั้นเอง”

ไม่ได้เปลี่ยนตัวเองเพราะเฮิร์ต แต่อยากเป็นคนที่ดีขึ้นเพราะความรัก
“ไม่ เราไม่ได้เฮิร์ตกับความรัก แต่กลายเป็นว่าเราอยากเป็นคนที่ดีขึ้นเพราะความรักต่างหาก คือไม่กี่เดือนมานี้ พ่อผมก็มาพูดกับผมซึ่งพ่อผมไม่เคยคุยอะไรจริงจังด้วยเลยนะ คุยกันแต่เรื่องเช่นไปไหน กลับหรือยัง อันนี้ซ่อมหรือยัง แต่วันหนึ่งพ่อผมพูดว่าเมื่อไหร่จะจริงจังสักที ก่อนตายพ่ออยากอุ้มหลานนะ 2 ประโยคแค่นี้เลย สิ่งแรกในหัวผมคือ ผมไม่จริงจังเหรอ ผมคิดว่าผมจริงจังมาตลอดเลยนะ เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนจริงจังมาตลอดแต่ว่าที่พ่อพูดพ่อไม่ได้พูดเล่น สิ่งที่เขาพูดคือเขาคิดมาดีมากแล้วแหละ 

เราก็กลับมาคิดดู เออไม่ใช่นี่หว่า ความรักมันไม่ใช่การรับมา มันคือการให้ ให้แบบให้ไปให้หมด ให้ไปแล้วให้อีก ก็เริ่มเข้าใจ จริงจังก็ได้ ไม่ได้จริงจังเพราะที่พ่อบอก เพราะพอพ่อพูดเสร็จก็ยังเป็นช่วงที่เราปาร์ตี้อยู่นะ ผ่านไปสักพักหนึ่งมันถึงแฟลชแบ็กมาที่พ่อเคยพูด เลยถามตัวเองว่าต้องการอะไร อะไรคือเป้าหมายในชีวิต ผมพูดมาตั้งแต่เด็กพูดมาตลอดว่าผมอยากมีครอบครัวมาก อยากมีครอบครัวจริงๆ อยากมีลูก อยากทำครอบครัวตัวเองให้ดีให้อบอุ่นมั่นคง แต่ถ้าเรายังเป็นคนแบบนี้อยู่เราไม่สามารถครอบครองในสิ่งที่เราต้องการได้เลยเพราะฉะนั้นการที่เราจะครอบครองสิ่งที่มันมีค่าอะไรยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าที่ตอนนี้มี ก็คือเราต้องเปลี่ยนพฤติกรรมหลายๆ เรื่องเลย”

ความพร้อมเรื่องการมีครอบครัวของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ส่วนตัวน่าจะถึงเวลาแล้ว
“ผมคิดว่าไทม์มิ่งแต่ละคนไม่เท่ากันหมายถึงว่าบางคนเขาอาจจะคิดตั้งแต่ 22 ก็ได้ แต่บางคนอาจจะอยากทำอย่างนี้ต้อง 35 ก็ได้ แต่ผมว่าของผมน่าจะถึงเวลาแล้วแหละ คิดว่าเราเข้าใจคอนเซ็ปต์มันแล้ว เราเริ่มทำมันแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้มันเลย เราต้องทำมันไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าฉันจะเป็นคนดีทำ 2 เดือนแล้วจะได้ทุกอย่างเลย มันก็ไม่ใช่ มันต้องค่อยๆ ทำ แต่สิ่งที่ขอบคุณตัวเองก็คืออย่างน้อยเราได้เริ่มแล้ว แค่นั้นเอง (แปลว่าอินเลิฟกับสาวคนเดิมที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้?) คนเดิมครับ”

เผยหวานใจคนสวย “โบกี้ เฌอริสา” มีส่วนทำให้อยากเป็นคนที่ดีขึ้น
“ก็มีนะ เพราะเรื่องความรักเนี่ย เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรักมาก สำหรับผมเวลามีคนถามว่า สิ่งสำคัญ 3 เรื่องแรกคืออะไร ผมก็จะตอบว่า งาน เพื่อน ครอบครัว, งาน เพื่อน ความรัก คือความรักไม่เคยอยู่อันดับ 1 สำหรับผมเลยสักครั้งเดียว ไม่เคยออกมาจากปาก ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ความสำคัญ ณ วัยนี้ ผมควรจะทำงานก่อน พอทำงานเหนื่อยเครียด ผมก็ต้องเอ็นจอยกับเพื่อน แล้วเหลือเมื่อไหร่ค่อยเป็นความรัก 

อันนี้คือมายด์เซ็ตผมทั้งชีวิตจนกระทั่งคนนี้เขาเอาความรักมาเป็นอันดับ 1 ถ้าเขาเจอผม สัก 2-3 ปีที่แล้วเราอาจจะไม่ได้คุยกัน เพราะผมจะบอกว่าติงต๊องอะไรเนี่ย แต่มันมาในช่วงเวลาที่ผมกำลังรู้สึกแบบนี้พอดีอะไร ก็เลยคิดว่าการให้ความสำคัญกับความรักไม่ใช่เรื่องแย่นี่ ผมเคยมองว่ามันคือการกระทำที่โง่เขลา ดูเหมือนเด็ก ปั๊ปปี้เลิฟที่คิดว่าความรักคือทุกอย่าง แต่จริงๆ มันไม่ใช่เลย พอผมเห็นเขาให้ความสำคัญกับความรักมากขนาดนั้น เหมือนในซีรีส์เรื่องนี้ก็พูดถึงความศรัทธาในความรักเหมือนกัน”

อยากทำตัวให้ดี ให้คู่ควรกับความรักที่เขามีให้ เหมือนกับตัวละคร “นนท์” ในตอนที่คิดได้แล้ว
“ใช่ๆ มีความทับซ้อนกัน กลายเป็นว่าเราอยากทำ ไม่ใช่ว่าพอคบคนหนึ่งแล้วเขาขอให้เราเลิกกินเหล้า เลิกเที่ยว แล้วเราก็ทำ อันนั้นทำเพื่อความจำเป็น แบบนั้นพอมีโอกาส เราไม่ปล่อยให้หลุดมือไปหรอกนึกออกไหม เสือที่กรงมันไม่ได้ล็อก มันพร้อมที่จะแวะออกไปอยู่แล้ว แต่พอเป็นครั้งนี้ เราอยากทำเอง ไม่ต้องล็อก ไม่ไป ไม่ต้องล่ามด้วย ไม่ไปไหนทั้งนั้น”

กับคนนี้ไม่ต้องล่ามโซ่ เพราะเสือตัวนี้ไม่ได้ซ่อนเขี้ยวไว้ตรงไหนแล้ว
“ไม่ได้ซ่อน ณ ปัจจุบันเราคิดว่าเราเต็มที่ เราตั้งใจกับมัน อยากจะทำให้มันดี พอมาตั้งใจจริงๆ ว่าอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้น ทำตัวให้มันดีคู่ควรกับเขา กลายเป็นว่าเราเจอข้อเสียตัวเองแบบมหาศาลแบบเกลื่อนกลาดไปหมด ทั้งเรื่องอารมณ์ความใจร้อน เรื่องอะไรหลายๆ อย่าง ที่ผมคิดว่าผมเข้าใจมนุษย์มากๆ แล้วแต่กลายเป็นว่าผมไม่เข้าใจอะไรเลย”

เป็นคนที่เข้าใจและยอมรับตัวตนได้ทุกอย่าง เลยไม่กล้าออกนอกลู่นอกทางเพราะกลัวอีกฝ่ายเสียใจ
“ใช่ เขายอมรับในตัวตนผมได้ เขารู้ว่านี่คือข้อเสียของผมนะ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ได้มาขยี้ ไม่ได้เอาข้อเสียของผมมาเป็นโอกาสในการโจมตีผม ผมรู้สึกว่าเขาให้เกียรติผมมากและทำให้ผมอยากให้เกียรติเขามากเหมือนกัน เชื่อเปล่า ปัญหาคลาสสิกของผู้ชายผู้หญิงที่คบกันนะ ผู้หญิงโกรธที่ผู้ชายกดไลก์รูปผู้หญิง ผมมีปัญหานี้กับทุกคนที่ผมคบแต่คนนี้ผมไม่กล้าแม้แต่จะกดไลก์ ไม่ได้กลัวเขาด่านะ แต่ว่าผมกลัวเขาเสียใจ (เขาเคยเสียใจกับเรื่องนี้หรือเราอยากทำเอง?) เราอยากทำเพราะเขาไม่ค่อยทำ แม้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องขี้ปะติ๋วสุดๆ แต่เขาไม่ทำ ผมก็โอเค ผมไม่ทำ”

ลุคเป็นสาวเปรี้ยวแต่จริงๆ หนังคนละม้วน
“ใช่ ลุคของเขาดูแบบเป็นคนแรงๆ ร้ายๆ ดูไม่สนอะไรทั้งนั้น แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย ผมเคยรู้จักเขาในสมัย 3-4 ปีที่แล้ว ผมก็คิดว่าเขาเป็นคนอย่างนั้นแน่นอน ผมก็เลยไม่ซีเรียสไม่จริงจัง คุยเล่นๆ แต่พอมันผ่านมา ได้รู้จักกันจริงๆ กลายเป็นว่า โอ้โห หนังคนละม้วนแบบที่เราไม่สามารถตัดสินคนที่ภายนอกได้เลยจริงๆ” 

มุมหึงหวงมีบ้างแต่ไม่เยอะ เป็นผู้หญิงที่ดีมาก จนไม่อยากทำให้ผิดหวัง
“หึงหวงก็มีบ้างนะ แต่มันไม่ได้เยอะมาก ผมไม่ได้มีข้อผิดพลาดอะไร ไม่ได้ทำอะไรผิด หมายถึงว่าไม่ได้คุยกับใครเลย แค่คนฟอลโลว์มา ผมยังไม่อยากฟอลโลว์กลับเลยช่วงนี้ ถ้าเราไม่รู้จักเขาจริงๆ เมื่อก่อนปกติคนฟอลโลว์มาคนนี้สวย ฟอลกลับหน่อย เขาอุตส่าห์ฟอลมา เราเอาตรรกะเราเอาทุกอย่างมาปกป้องปกปิดความผิดตัวเองนึกออกไหม แต่พอมาตอนนี้มันไม่ใช่ เข่าไม่งี่เง่า เขาดีกับเราจนเราไม่อยากทำให้เขาเสียใจ กลัวเขาผิดหวัง” 

ไม่ลงรูปหวานผ่านโซเชียล เพราะเข้าใจและให้เกียรติงาน แต่ไปข้างนอกก็ใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้ปิดบัง
“เขาเข้าใจผม เขาก็เป็นแฟนคลับของคนหนึ่งเหมือนกัน หมายถึงว่าเขาติดตามงานเราตลอดแม้เราจะไม่ได้คุยตั้งแต่ 3-4 ปีที่แล้ว เขาก็เข้าใจว่าถ้าเรามาลงรูปเยอะๆ กัน งานจะขายยากหรือเปล่า มันจะเป็นภาพติดหรือเปล่า เขาก็ไม่ได้ลงรูปกับเราเท่าไหร่ เขาเข้าใจให้เกียรติงานเรา ผมก็เลยอยากให้เกียรติเขาเหมือนกัน (จริงๆ ผู้หญิงอยากมีมุมแสดงความชัดเจนไหม?) เขาก็มีลงกับเพื่อน เห็นแค่เพื่อนๆ กัน แต่ว่าเขาไม่ได้ลงอะไรสาธารณะเลย ผมก็ชัดเจนนะ ผมไม่เคยปกปิดอะไรทั้งนั้น ถ้าผมใช้ชีวิตนอกบ้าน เดินห้าง ผมก็เดินด้วยกันปกติไม่มีอะไร”

แพลนสร้างครอบครัวตอนอายุ 30 หวังว่าแต่งงานแล้วจะยังเป็นนักแสดงได้
จริงๆ เพอร์เฟกต์แพลนของผมคืออายุ 30 อยากจะมีครอบครัวแล้ว แต่ก็ไม่รู้อนาคตนะ แต่ถ้าเป็นตอนนี้คิดว่าประมาณนั้น ถามว่าเสียดายงานในวงการมันก็เสียดาย แต่งงานแล้วก็หวังว่าจะทำงานได้ ก็เลยเลือกที่จะเป็นนักแสดง เดินทางสายนักแสดงดีกว่าเพราะมันจีรังยั่งยืนสำหรับเรา ถ้าเรามีความสามารถก็ยังมีงาน”

คบกันมาแค่เกือบปี แต่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้
“ก็เกือบๆ ปี เรียกว่าเปลี่ยนเราได้ ก็เป็นจุดหนึ่ง หลายๆ อย่างมันเข้ามาในเวลาใกล้เคียงกันหมด แล้วเป็นเวลาที่เป็นจุดพีกของความสำราญเลย ไอ้สำราญน่ะสำราญมานานแล้วแต่นึกออกไหม พอมีชื่อเสียงมีเงินทอง ทุกอย่างของความสำราญมันคูณสิบ คูณร้อย แต่ไม่น่าเชื่อว่าเราจะมาคิดได้ในช่วงเวลาแบบนี้ (แล้วเหมือนเป็นช่วงพีกกับสำหรับความฮอตของเราในวงการด้วย?) จริงๆ ผมแบบเสพสุขกับเวอร์ชั่นนั้นต่อไป มันก็คงสนุกมากน่าดู แต่ผมไม่เอาแล้ว พอแล้วดีกว่า”

ดีใจแฟนคลับยังซัปพอร์ต แม้จะเปิดตัวว่ามีแฟนแล้ว
“ก็ดีใจนะ ไม่รู้ว่าจริงๆ ผมไม่รู้หรอกว่าคนชอบหรือไม่ชอบกี่คน แต่เราก็ยังห็นหน้าค่าตาอยู่บ้าง คนที่ยังซัปพอร์ตเราอยู่ แม้ว่าเราจะมีแฟนหรือจะมีใคร เราจะดีเราจะชั่วก็ยังอยู่ อันนี้ซาบซึ้งแบบสุดๆ”

ที่เลิกตามไปแล้วก็มีเยอะ แถมบางทียังทำเหมือนไม่รู้จักกัน
“เยอะครับ มีเข้ามาออกไป ผมเห็นวัฏจักรนี้มาตั้งแต่แรกๆ ตั้งแต่เรามีแฟนคลับ 15 คน 20 คน มันก็เป็นอย่างนี้ ตอนแรกๆ เรารู้สึกเจ็บหัวใจเหมือนกันนะ เขาเคยตามเราอยู่ดีๆ แล้วไปตามคนโน้นแล้ว เดินผ่านเหมือนไม่รู้จักเรา แต่พอมาถึงตรงนี้เราก็ไม่ได้ซีเรียส ไม่ได้เก็บมาคิดเยอะขนาดนั้น เราเข้าใจว่ามันเป็นวัฏจักรของเขา ศิลปินคือความสุขของเขา ในเมื่อเราให้ความสุขเขาไม่ได้แล้ว เขาก็ต้องไปหาที่อื่น 

ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติมากๆ ผมโอเคด้วยซ้ำยังบอกว่าไปหาเพื่อนเราไหม คนนี้ก็ใช้ได้นะ มันก็เข้ามาออกไปแบบนี้แหละ พอเรามีกระแสอะไรขึ้นมา เขาก็กลับมา เราไม่มีเขาก็ออกไป มันก็เป็นเรื่องธรรมดาสัจธรรมเข้าใจได้”

ภาพที่ฝันไว้คือเป็นนักแสดงอยู่ แม้จะมีครอบครัวแล้ว แต่เดี๋ยว 30 ค่อยว่ากัน
“ภาพที่ฝันใฝ่ไว้เลยนะ คือผมอยากเป็นนักแสดง อยากทำงานแสดงอยู่ เป็นงานเดียวที่ไม่อยากทิ้งมันไปเลย แม้ว่าจะยังคิดไม่ออกเลยว่าเมื่อเรามีครอบครัวแล้ว เราจะทำมันได้ไหม เพราะมันเป็นงานที่ใช้เวลาเยอะมาก ผมรู้สึกว่าถ้าเป็นนักแสดงหรือว่าทำงานในกองถ่าย แล้วมีลูกเล็กสักคนเนี่ย แทบไม่ได้เจอหน้าเลยมั้ง ออกจากบ้าน 6 โมงเช้าถึงบ้าน 5 ทุ่ม เวลาครอบครัวคือตอนไหน ยังคิดไม่ออกเลยว่าผมจะประคองมันไปไว้ด้วยกันได้ยังไง แต่ตอนนี้ มันยังไม่ได้มี เดี๋ยวไว้ก่อน ทำงานก่อน เอางานให้ดี ยืนหยัดเหยียบ 2 ขาในทางนักแสดงให้มันแน่นก็พอแล้ว 30 ค่อยว่ากัน”

นอกจากงานแสดงก็ยังมีธุรกิจ ที่ช่วยสร้างความมั่นคง เตรียมเปิด Pet Grooming ที่บ้านเร็วๆ นี้
“ทำไว้เรื่อยๆ ครับ มันก็ลองผิดลองถูกอยู่ มีทำอีเวนต์ที่ลาวอยู่บริษัทหนึ่ง แล้วก็มีขายของที่ทำไว้นิดหน่อยแต่ผมไม่ค่อยได้ทำมากแล้ว กำลังจะทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์ พวก Pet Grooming โรงแรมแมว คุณแม่ชอบด้วย แม่รักแมวมากยิ่งกว่าผมเยอะมาก ก็เลยบอกมาๆ เดี๋ยวทำให้ อยู่บ้านก็ทำที่บ้านนั่นแหละ Starter เป็นโรงแรมแมว 10-20 ตัว ผมทำบ้านให้พ่อเสร็จไปแล้ว กำลังซื้อบ้านใหม่อีกหลังนึงของตัวเองและจะทำธุรกิจ Pet Grooming ที่นี่ด้วย”



















กำลังโหลดความคิดเห็น