“ไบร์ท นรภัทร” เผยความยากซีรีส์ “LOVE LESSON 010 แบบฝึกรัก..ไม่รู้ล้ม” กว่าจะเจอทางที่ใช่ทำเอาเหนื่อย เป็นการแสดงวิถีใหม่ เน้นความเรียลและพูดเรื่องเซ็กส์ เลยจุดอายไปแล้ว เม้าธ์“เลดี้ปราง” กระดากปากพูดคำว่า จ.. ส่วน“ติซ่า” เร่าร้อนเลิฟซีน ไม่กลัวตอกย้ำภาพลักษณ์เพลย์บอย เพราะบทใกล้เคียงชีวิตช่วงหนึ่ง เตรียมใจหากมีดรามา เลือกเซฟตัวเองด้วยการไม่เข้าไปดู
เรียกว่าฮือฮาตั้งแต่ปล่อยภาพออกมาแล้ว สำหรับซีรีส์ “LOVE LESSON 010 แบบฝึกรัก..ไม่รู้ล้ม” ซีรีส์แนวใหม่จากโปรเจกต์ oneD ORIGINAL ที่มีการนำเสนอเรื่องเซ็กส์อย่างเปิดกว้าง ผ่านเรื่องราวของ “นนท์” ผู้ชายเจ้าชู้ตัวพ่อ ที่ถูกเสกให้เหี่ยว จนเฟี้ยวไม่ออก เลยต้องตามหารักแท้เพื่อแก้คำสาป ซึ่งผู้ที่มารับบทนี้ก็คือหนุ่ม “ไบร์ท นรภัทร วิไลพันธุ์”ที่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแคสฯ ตรงมาก เพราะภาพลักษณ์เพลย์บอยถูกใจใช่เลย ล่าสุดมีโอกาสได้สัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับหนุ่มไบร์ท เจ้าตัวก็ได้เล่าถึงทำงานในเรื่องนี้ให้ฟัง ว่าตอนแรกก็คิดว่าจะยาก แต่ทำไปทำมาก็สนุก ถึงจะถ่ายหนื่อยมากแต่ไม่เครียดหรือกดดันเลย และก็มั่นใจมากว่าทำถึงอยู่แล้ว เพราะตัวละครมีความใกล้เคียงกับช่วงหนึ่งในชีวิตของตัวเอง ที่เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นานด้วย
“ก็คือว่าเป็นโปรเจกต์ที่ค่อนข้างแปลกใหม่ สำหรับตัวไบร์ทเอง สำหรับคนดูอาจจะไม่แปลกใหม่อะไรมาก แต่สำหรับช่องวันกับไบร์ทถือว่าแปลกใหม่มากๆ เพราะเราไม่เคยเล่นการแสดงวิถีแบบนี้มาก่อน ก็เป็นอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจ เป็นคอมเมดี้เรื่องแรกด้วย ก็แอบกังวลตอนแรก แต่พอเล่นไป มันก็เข้าข้อของมันไปเอง สนุกไปเอง
ถามว่าแปลกใหม่ยังไง ก็เล่นแบบไม่ใช่เล่นละครครับ ปกติมันจะเป็นละครแบบ หยิบ มอง ทุกอย่างเป็นจังหวะละคร แต่อันนี้รู้สึกว่าเราเค้นความเป็นมนุษย์ออกมาเต็มที่มากๆ พยายามไม่ให้มันเป็นละครที่สุดหมายถึงว่าทุกคนเซ็ตกฎข้อเดียวกัน ว่าเอาแบบเรียล แบบไม่ละคร
แต่ทีนี้พอมันเป็นเนื้อหาเรื่องเซ็กส์ เล่นเรียลมากก็ไม่ได้ ดูหื่นกามเลย ไม่ใช่ว่าเราไม่ลอง แต่เราลองกันมาแล้ว ลองเล่นแล้ว แล้วก็คุยกันว่ามันไม่ได้ มันดูหนังโป๊ไปหน่อย ดูเหมือนหนังเรตอาร์ เราก็เลยต้องมาปรับกัน จนมาเจอร่องที่ใช่ ก็คือร่องตลก พอเราเอาตลกมาเป็นการนำเสนอเรื่องเซ็กส์ มันเลยดูไม่ร้ายแรงป่าเถื่อนเท่าไหร่แล้ว ก็เลยคิดว่าน่าจะเข้าถึงคนได้ง่ายขึ้นครับ”
ได้ลองเล่นในหลายๆ รูปแบบ กว่าจะออกมาลงตัว
“ใช่ เราลองกันเยอะมาก ทั้งตอนก่อนจะเปิดกล้อง และตอนที่กำลังถ่ายอยู่ ฉากหนึ่งมันช้า เพราะเราลองเล่นกันหลายแบบ เผื่อไว้ว่าลองแบบนั้นสิ แบบนี้สิ เพราะว่าโปรเจกต์ oneD 5 เรื่องนี้ ก็คือว่าเป็นอะไรใหม่ๆ มากๆ สำหรับช่องวัน เพราะเราไม่เคยทำมาก่อน ทั้งนักแสดงและผู้กำกับ มันเลยต้องใช้เวลาในการกรุยทางหากัน ว่าจะไปทางไหนดี ใช้เวลานานครับ”
เผยตัวละคร “นนท์” มีความใกล้เคียงกับตัวเองในช่วงหนึ่งมาก
“มันก็ใกล้เคียงกับตัวเราในช่วงหนึ่งดีกว่า เราก็เคยเป็นอะไรประมาณนี้ แล้วเราก็คิดว่าเราเข้าใจมันประมาณหนึ่ง ว่าทำไมมันถึงทำอย่างนั้น ทำไปทำไม และอะไรที่หยุดวงจรนี้ได้ (เราผ่านชีวิตช่วงนั้นมาแล้ว?) ใช่ เราเคยเอ็นจอยไลฟ์ คิดว่าชีวิตแบบนี้คือทุกอย่าง แต่ว่ามันไม่ใช่ คือตัวละคร นนท์ เนี่ย มันเป็นคนที่เอ็นจอยในความสัมพันธ์แบบชั่วคราวมากๆ ไม่ชอบอะไรที่ผูกมัด ไม่อยากผูกมัดกับใคร ทีนี้เราต้องย้อนกลับมาหา ว่ามันทำแบบนี้ทำไมไม่มีใครทำชั่วโดยไม่มีเหตุผล อันดับแรกคือคนชั่วไม่คิดว่าตัวเองชั่ว มันไม่รู้ว่าสิ่งที่มันทำคือความผิด คิดว่าฟินๆ เธอก็ฟิน ฉันก็ฟิน ก็วินๆ นี่ แต่ว่าความจริงมันเจ้าชู้ มันเป็นคนอย่างนั้น เพราะว่ามันต้องการปกปิดอะไรบางอย่างในตัวเอง
ในเรื่องจะเล่าว่า นนท์ เคยมีปมเรื่องความรักมาก่อน ทั้งในครอบครัว และในเรื่องแฟน เขาโตมาในครอบครัวที่ไม่ได้อบอุ่นนัก พ่อแม่เกี่ยงกัน นั่นลูกเธอ นี่ลูกเธอ เอาไปเลี้ยงสิ ครอบครัวไม่อบอุ่น แต่เขาก็ยังไม่ได้หมดศรัทธาในความรัก เขาก็ยังเชื่อว่าโอเค ฉันจะทำความรักตัวเองไม่ให้เหมือนพ่อแม่ ฉันเชื่อว่าฉันต้องมีความรักที่ดี เขาก็เคยรักผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นเวลานานมาก คบหากันนานมาก สุดท้ายแล้วผู้หญิงคนนั้นก็นอกใจเขา
มันคือแผลในใจ ที่ฝังใจเขามาตลอด ว่าแม้ฉันจะเต็มที่กับมันแค่ไหน ความรักมันก็ไม่เคยให้อะไรกับมาเลย มีแต่ความเสียใจ มีแต่น้ำตา มีแต่ความเจ็บช้ำ เขาเลยเลือกที่จะไม่ผูกมัดกับใคร ไม่ศรัทธาในความรักอีกต่อไป คิดว่าชีวิตอย่างนี้ คือชีวิตที่มีความสุขแล้ว จนกระทั่งมีคนมาสาปเรานั่นแหละ เราเลยจำเป็นต้องไปหาความรัก แล้วเขาก็จะได้เรียนรู้ ผ่านการบังคับให้ไปหาความรักนี่แหละ มันจะเป็นเรื่องดีๆ ในชีวิต คือเขาบังเอิญได้ไปเรียนรู้ จนกระทั่งอ๋อ จริงๆ ความรักเป็นอย่างนี้นี่หว่า”
ตอนแรกคิดว่าจะยาก แต่ทำไปทำมาแล้วสนุก เหนื่อยจริง แต่ไม่เครียด
“ตอนแรกคิดว่ามันจะยาก แต่พอทำไปทำมา รู้สึกว่าแบบนี้มันสนุกกว่าเยอะเลยนี่หว่า มันสบายตัวกว่าเยอะเลย ไบร์ททำงานแบบไม่เครียดเลยเรื่องนี้ ถามว่าเหนื่อยไหม มันเหนื่อยมากๆ แต่เหนื่อยกับเครียดมันคนละเรื่องกัน เรื่องเหนื่อยมันเหนื่อยอยู่แล้ว อยู่กองไหนก็เหนื่อย แต่ว่าเรื่องความเครียด เรื่องนี้คือน้อยมากไม่ได้กังวลอะไรเลย
รู้สึกว่าแต่ละวันที่ออกกองก็สนุกสนาน อารมณ์มันสุด เวลาออกกองมันจะหลากหลายอารมณ์มาก สนุกก็สนุกสุดๆ โมโหก็โมโหสุดๆ หมายถึงว่าไม่ใช่แค่ในฉากนะ นอกฉากด้วย มันหลายอย่าง มันนาน มันเยอะ มันเหนื่อย มันเอาแล้วเอาอีก หลายความรู้สึก แต่ว่ามันก็เป็นสีสันกองถ่าย มีหลากหลายอารมณ์ สุดทุกกราฟ แต่ว่าพอทำงานมามันก็กลายเป็นว่าสนุก ไม่ได้กังวลอะไร สบายๆ เพื่อนนักแสดงร่วมทุกคนก็เอ็นจอยเหมือนกัน ทุกคนตั้งเป้าหมายเดียวกัน ว่าเรามาสนุกกันนะ ก็เลยออกมาค่อนข้างสนุก”
ภาพลักษณ์เพลย์บอยตรงบท ไม่ต้องเสียเวลาแคส
“ก็ดี ไม่ต้องเสียเวลาแคสฯ (หัวเราะ) ไม่ต้องแคสติ้งเลยเรื่องนี้ ผมจำได้ว่าไม่มีการออดิชั่นอะไรทั้งนั้น ปักธงมาคนแรกเลยว่าเป็นเรื่องนี้เป็นผมได้ยินมานานแล้ว พี่ป้อน (นิพนธ์ ผิวเณร) เคยมาพูดให้ฟังตั้งแต่งานเอเจนซี่มีตติ้งเมื่อหลายปีที่แล้ว ว่าจะมีโปรเจกต์นี้ขึ้นมา เล่นให้ผมฟังว่ามันเป็นคนแบบนี้แบบนั้น เป็นโปรเจกต์ที่เราจะทุ่มเทสร้าง มีกล้อง มีไฟ เหมือนถ่ายหนังเลย เราก็โอ้โห ว้าว น่าสนใจ ผมบอกผมเอา”
ไม่กลัวจะตอกย้ำภาพลักษณ์ด้านนี้ เพราะเคยผ่านช่วงชีวิตแบบนั้นมาจริงๆ แบบไม่นานด้วย
“ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ผมคิดว่าผมเป็นนักแสดง แล้วเขามีบทไหนที่ผู้ใหญ่เขามองจากมุมข้างบน เราเป็นนักแสดง เราเหมือนหมากในเกมนั้นๆ ว่าเขาจะจับเราไปวางตรงไหน ถ้าผู้ใหญ่เขาคิดว่าต้องเป็นผม ผมก็เชื่อเขาว่าต้องเป็นผม ก็แค่นั้นแหละ เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี เขาอาจจะเลือกเรา เพราะเราอาจจะเข้าใจในตัวละครนี้กว่าคนอื่นๆ ก็ได้ เพราะว่าเราก็บอกว่าเราเคยผ่านช่วงชีวิตแบบนั้นมาจริงๆ ไม่ได้นานด้วย (หัวเราะ)
เราก็เลยคิดว่าเราเข้าใจทุกอย่าง พออ่านบทก็อ๋อ โอเค รู้เลยว่ามันเป็นอย่างนี้เพราะอะไร อะไรทำมัน อ่านแล้วรู้เลยว่าอ๋อ ไอ้นี่เคยมีปมแน่นอน ความรักมันเคยเจ็บมากๆ แน่นอน ตั้งแต่ยังไม่เห็นเลยว่าบทเขียนว่ามันเคยอกหัก เพราะมันมีกระบวนการหลายอย่าง มันต้องคิดย้อนกลับไป ว่าทำไมมันถึงเป็นคนแบบนี้”
ไม่กังวลว่าจะทำไม่ถึง เพราะถึงอยู่แล้ว เข้าใจตัวละครทุกอย่าง อ่านบทแล้วเก็ตทันที
“ไม่คิดเลย ถึงอยู่แล้ว(หัวเราะ) ไม่ได้กังวลเรื่องนี้เลย เราชอบการทำงานเรื่องนี้ ผมสนุกมาก และค่อนข้างเข้าใจตัวละครว่ามันเป็นอะไร มันทำทำไม เวลาที่จะเดินหน้าลุยจีบผู้หญิงสักคนนึง มันจะต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ เราก็เข้าใจว่า อ๋อ โอเคก็มันอยากได้ ทำได้ทุกอย่างแหละผู้ชาย เวลามันอยากได้ผู้หญิงสักคน ผู้ชายมันทำทุกทางอะไรก็ได้เพื่อพิชิตอันนั้นมันทำได้หมด พออ่านบทเราก็เลยเก็ตไง คนอื่นอ่านบทจะรู้สึกกลัวจะเว่อร์ไปหรือเปล่าทำขนาดนี้เลยเหรอ ไม่เว่อร์เลยผู้ชายมันอยากได้ทำทุกอย่าง อาจจะไม่ทำตลอด แต่ตอนนี้ทำทุกอย่างจริงๆ”
เลิฟซีนเร่าร้อนหลายสไตล์ แต่ยกให้ “ติช่า กันติชา ชุมมะ” คือที่สุด กล้าพูด กล้าเล่น เลยทำงานง่าย
“เลิฟซีนกับหลายคนหลายสไตล์ หลายแบบเลย กับติช่า คือเป็นเลเวลแม็กเลยแล้วกัน เลเวล 5 ไฟลุกติช่าเก่งครับ ผมยอมรับเลย ไม่เคยร่วมงานกับติช่ามาก่อน ติช่าเก่งมาก เก่งแบบ Sex Educationเขาเก่งของเขาทางนั้นอยู่แล้ว การรังสรรค์ทุกอย่างในฉากนี้แทบจะมาจากติช่าเกือบหมดเลยด้วยซ้ำ
ผมมีหน้าที่ฟอลโลว์ตามเขาไป ช่วยกันคิดนิดๆ หน่อยๆ ฉากเปิดตัวติช่าแต่ละทีไม่ต้องมีใครมาบรีฟเขา สิ่งที่บรีฟเขายังไม่เท่าที่เขาคิดมาเลย เขาสุดยอดมาก เขาคือกูรู เก่งจริงๆ ถ้าไม่ได้ติช่า ผมนึกไม่ออกว่าจะเป็นใครจริงๆ ติช่าเป็นคนที่กล้าแสดงความเห็น ฝรั่งอ่ะกล้าเผยทุกอย่างออกมา มันทำงานง่ายมาก พอเขากล้าเปิดหมดเราก็พูดได้
เรื่องเซ็กส์ถ้าผู้ชายพูดก่อนแล้วผู้หญิงไม่โอเคผมดูแย่เลยนะ แต่เขากล้าเปิดกับผม ทำให้เวลาเราคุยกันเราคุยเรื่องงาน แต่ว่าคำศัพท์หรือเนื้อหามันเป็นเรื่องเซ็กส์ มันจะได้ไม่มีอะไรติดขัดอึดอัดอะไรเลย เราพูดได้เต็มที่ ลองคร่อมไหม ลองแหกขาไหม เราพูดได้เต็มที่เพราะอยู่ในพาร์ตของการรังสรรค์ซีนนั้น เราเลยกล้าเล่นกล้าทำ เลยออกมาดีมากๆ ยกเครดิตให้ติช่าเลย ถามว่าตอนเล่นขำไหม ขำดิ ไม่ขำได้ไง(หัวเราะ)มันไม่ได้เทคบ่อยเพราะมีใครผิด เราเทคบ่อยเพราะเราลอง แหกขาไปแล้ว เดี๋ยวลองเอาขาพาดบ่าดู มันจะเป็นเทคเพราะแบบนี้มากกว่า เป็นการทำงานที่สนุกมาก ได้คิดอะไรใหม่ๆ ลองทำนู่นทำนี่เยอะแยะๆ มากๆ ครับ คือเรื่องนี้ฟุตเทจที่ไม่ได้ใช้ ผมว่าตัดได้อีกเรื่องหนึ่งเลย มีการลองผิดลองถูกเยอะมากจริงๆ”
ไม่มีเลิฟซีนกับ “ปราง กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล” เป็นบัดดี้กันมากกว่า เล่าอีกฝ่ายโดนไปทำการบ้าน เพราะไม่กล้าพูดคำว่า ‘จู๋’
“กับพี่ปราง เราไม่ได้เลิฟซีนขนาดนั้น แทบไม่มีเลย น้อยมาก เราเป็นบัดดี้กันมากกว่าเรื่องนี้เราทำงานร่วมกัน (ปรางให้สัมภาษณ์ว่าแค่จะพูดคำว่าจู๋ ยังกระดากปากเลย แล้วเราไปละลายพฤติกรรมปรางยังไง?) ผู้กำกับฯ ทั้งหลายคนให้การบ้านเขาให้ไปทำความคุ้นเคยกับ (ทำปากออกเสียงคำว่าจู๋) หมายถึงว่าให้พูดออกมาแบบที่คิดจะพูดก็พูดได้เลยไม่ต้องหยุดก่อนพูด ไม่ต้องเคอะเขิน ไม่ต้องอาย เพราะมันต้องพูดทั้งเรื่องกับคำพูดแบบนี้ เขาก็ทำได้ดี ตอนเวิร์กช็อปดูจะทำไม่ได้เลย แต่พอกลับมาถ่ายจริงก็ทำได้
ส่วนเคมีเราสองคน ผมว่าโอเคนะ เรื่องนี้เป็นร่องใหม่ที่ไบร์ทและพี่ปรางไม่เคยเล่นมาก่อน กับสไตล์นี้ เราก็เวิร์กช็อปด้วยกันเยอะในตอนแรกๆ ลองผิดลองถูกเล่นแบบไหนที่มันจะลงตัวเข้ากันเพราะเราต้องเข้าฉากส่งกันประมาณนึงเลย เราเป็นคู่หูกัน คุยกันตลอด เวลาเครียดเราก็เครียดกันสองคน เราต้องเชื่อใจกันมากๆ รู้สึกเป็นคู่หูคู่ขากันมากๆ เขาทำได้ดี กับปรางไม่ได้เลิฟซีนแบบติช่า แต่ไปด้วยกันตลอด”
ชม “นาน่า ศวรรยา ไพศาลพยัคฆ์” มีความเป็นโปรเฟสชั่นแนล ไม่รู้บอกไม่รู้ ตรงๆ จริงใจ ไม่มีแอ๊บ
“นาน่าก็เป็นอีกคนที่โปรเฟสชั่นแนล เขาพูดตรงๆ อันไหนที่เขารู้สึกไม่มั่นใจก็บอกผมว่า พี่ไบร์ทนำไปเลย หนูตามเอง ผมรู้สึกประทับใจกับคำนี้เขามาก เพราะว่าผมต้องไปเลิฟซีนกับผู้หญิงหลายๆ คน ผมก็ไม่ได้สบายใจขนาดนั้น ผมก็คิดว่าเขาจะเป็นยังไง อึดอัดหรือเปล่า หลายคนก็ร้อยพ่อพันแม่ เราไม่รู้ว่ามุมมองต่อเรื่องแบบนี้ของเขาเป็นยังไง แต่นาน่าคือเต็มที่จริงๆ ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ ไม่เข้าใจก็บอกไม่เข้าใจ ไม่มีแอ๊บเลยน้องคนนี้ ตรงๆ จริงใจ ซื่อๆ เลย ไม่มีพิษไม่มีภัยอะไรทั้งนั้น ผมชอบมาก กับนาน่าคือทำงานง่ายคนหนึ่ง ตลกด้วย”
เล่นกับ “แพต ชญานิษฐ์ ชาญสง่าเวช” แบบสบายตัว เพราะเป็นนักแสดงที่เก่งมาก อิมโพรไวส์กันได้เรื่อยๆ
“แพตนี่เก่งมาก เป็นนักแสดงผู้หญิงที่ผมว่าเก่งเลย ทางเรียลๆ ทางถนัดเขาอยู่แล้ว เล่นกันแบบเราสามารถปาบททิ้งไปได้เลย เราก็อิมโพรไวส์กันได้เรื่อยๆ ไม่มีปัญหา เพราะเราเข้าใจตัวละคร เรากลืนเข้าไปจนอิ่มแล้วเล่นออกมาสนุกสนาน ผู้กำกับฯ อยากจะปรับจะแก้อะไรก็เชิญเลย แก้ได้หมดเพราะเราเข้าใจมากๆ เล่นกับแพตก็สบายตัว ผมเชื่อว่าเขาเป็นตัวละครเกดแบบเต็มหัวใจเลยร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาเล่นเป็นธรรมชาติมากครับ
มีอีกคนคือน้องหมิว ณัชชา เตชะมงคลาภิวัฒน์ เป็นนักแสดงอีกคนที่น่าจับตามอง เป็นเด็กใหม่ของช่องวัน เป็นเรื่องแรกของน้องหมิว แล้วมาเจอเรื่องนี้เป็นงานหินมาก ตัวละครของหมิวเป็นตัวที่แบกบทเยอะ แบกปมสำคัญของเรื่องนี้เยอะมากๆ แล้วน้องก็ใหม่มากแบบแกะกล่อง ไม่เคยเล่นอะไรมาก่อนในชีวิตนี้ แล้วมาเจอเรื่องนี้เรื่องแรก ต้องใช้เวลาในการถ่ายทำ แต่ว่าน้องก็ทำออกมาได้ดีมาก คือถ้าเทียบกับผมที่เล่นเรื่องแรกคือต่างกันมาก คนละเรื่องเลย ถือว่าน้องเก่งมากๆ คิดว่าน้องคนนี้น่าจับตามอง อนาคตน่าจะสวยงามถ้ายังเล่นอยู่”
ไม่ซีเรียสเล่นเรื่องนี้เปลืองตัว แรกๆ ก็เขิน แต่ตอนหลังเลยจุดอายไปแล้ว
“เปลืองตัวไหม ก็บทมันเป็นอย่างนี้ให้ทำไงได้ ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องเปลืองตัวไม่เปลืองตัวอะไรเลย เราคิดว่าทำออกมาให้คนเชื่อไอ้นนท์มันคือผู้ชายเจ้าชู้ คือผู้ชายที่เคยเจ็บในความรักแล้วเขาต้องการความรักที่ดีแค่นั้นเอง นี้คือแกนหลักของตัวละครนี้ (เรื่องโชว์บอดี้ ฉากโชว์ก้นก็ฮือฮาไปแล้ว?) ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะมาทำอะไรแบบนี้นะ ถามว่าเขินไหม
แรกๆ ก็เขิน แต่หลังๆ มันไม่ได้คิดเรื่องอายแล้ว ผมมีหมอนปิดวิ่งกลางถนนหมายถึงตอนถ่ายทำนะ อยู่บีทีเอส วิ่งๆ อยู่แถวๆ นั้น ก็ต้องทำจริงๆ ผมว่าผมเลยจุดนั้นมาแล้ว(หัวเราะ) เลยจุดจะอายมาแล้ว มันเลยความอาย ไร้ยางอายไปแล้ว ก็ทำงาน บรรยากาศที่กองทุกคนจะทำงานให้เสร็จ ไม่มีคนมา ว้ายตูดๆ มันก็ไม่มี ทุกคนก็อยากทำงานให้เสร็จ ถามว่าเรื่องนี้ต้องโชว์เยอะไหม มันไม่ได้โชว์พร่ำเพรื่อขนาดนั้น แต่ว่าบทจะโชว์มันก็โชว์เลย ก็ถือว่าโชว์เยอะอยู่”
เรื่องหุ่นไม่ต้องไปฟิตแอนด์เฟิร์ม แค่ดูแลไม่ให้แผละก็พอแล้ว
“ไม่ได้ฟิตขนาดนั้นเลย เป็นหุ่นวัยรุ่นกินเหล้าปกติ ไม่ได้กล้ามปูอะไรเลย ผมรู้สึกว่าในเรื่องเขาเป็นหุ่นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ไม่ได้ทำอะไร ตื่นมาเข้าร้านขายเหล้าเสร็จหาผู้หญิง เช้าวันใหม่ตื่นมาทำเหล้า ผมคิดว่าบาร์เทนเดอร์คงไม่ตื่นเที่ยงไปฟิตเนสหรอกครับ หมายถึงบาร์เทนเดอร์แบบนนท์ในเรื่องนะ ผมว่าแค่ดูแลไม่ให้มันเผละก็พอแล้ว น่าจะโอเคแล้ว”
ดีใจได้ร่วมงานกับ “ชาคริต แย้มนาม” และ “ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์” ไม่มีถ่ายทอดวิชาความเป็นตัวพ่อ
“กับพี่คริตผมไม่ค่อยได้เข้าด้วย กับพี่ป้องมีบ้างนิดหน่อย มีซีนสำคัญที่เราต้องทำงานร่วมกันอยู่บ้าง พี่ป้องเขาเป็นตำนานอยู่แล้วเรื่องนี้ ผมเป็นแค่เด็กฝึกหัด ท่านอาจารย์คริตและอาจารย์ป้อง ผมไม่อาจเทียบเทียม (หัวเราะ)ถามว่าได้เคล็ดลับวิชาในการแสดงจากพี่เขาไหม จริงๆ ก็แอบสังเกตเขา แอบดู ผมดูทุกคนแหละไม่ใช่แค่พี่ป้องพี่คริตหรอก ดูผู้ใหญ่ทุกคนว่าเขาเล่นยังไง ดูสไตล์เขาเผื่อว่าวันหนึ่งเป็นพ่อจะได้ทำบ้าง (หัวเราะ)
ไม่หรอก ก็ดูวิธีการทำงานของเขา ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทำงานด้วยกันได้ สบายๆ (ป้องเขาก็ legend ภาพหนุ่มเจ้าชู้ เราก็เป็นเจนใหม่ตัวลูกขึ้นมา เขามีแนะนำการวางตัวไหม?) ไม่ เขาไม่เคยมาคุยอะไรแบบนี้กับผมหรอก ผมก็ไม่ได้ไปถามอะไร ไม่มีเรื่องนี้เลย ได้เก็บวิชาจากทุกคนแหละครับ ผมดูจากทุกคน เด็กใหม่ผมก็ดู เผื่อว่ามันมีอะไรแปลกๆ ที่เราไม่รู้ เล่นกับใครผมก็ดูหมด เก็บเล็กเก็บน้อย สังเกตว่าเขาทำยังไง ทำไมเขาทำอย่างนี้ ถ้าดีก็ทำบ้าง ถ้าไม่ดีก็คืนเขาไป”
เรื่องนี้พูดถึงเซ็กส์แบบเปิดกว้าง คงมีทั้งถูกใจและไม่ถูกใจใคร เลยเลือกเซฟตัวเองด้วยการไม่เข้าไปอ่าน
“คงธรรมดาแหละครับ ผมว่าทุกอย่างไม่ว่าจะละคร ซีรีส์ ข่าวหรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็มีทั้งถูกใจและไม่ถูกใจ ผมเสพข่าวออนไลน์น้อยลงมากแล้ว เพราะเรารู้ตัวเองว่าไม่ได้เป็นคนจิตแข็งขนาดนั้น เราอ่อนไหวมากกับคำพูดคำจาบางทีไม่ได้เป็นคำด่า แต่เรารู้สึกเอาออกจากหัวไม่ได้ ก็เลือกเซฟตัวเองด้วยการไม่ไปพยายามจะหามันอ่าน
ถ้าอะไรที่มันบังเอิญมาเห็นเองก็ให้มันเห็นไป แต่ไม่ไปไขว่คว้าอยากจะหาว่าคนมาพูดถึงเรายังไง ผมรู้สึกว่ามันบั่นทอนผมเหมือนกัน ผมไม่ได้แสวงหาคำชมหรือไม่แสวงหาคำด่าด้วย ผมอยู่ของผมเฉยๆ ถ้ามันถึงผมเดี๋ยวผมก็รู้เองแหละ”
ดูเป็นคนดิบ คนตรง แต่จริงๆ ทุกคำพูดคน กระทบความรู้สึกหมดเลย
“กระทบสิครับ ผมว่าทุกคนแหละ คำพูด เพราะว่าคนแป๊บเดียวก็ลืม แต่คนอ่านมันอยู่ตลอด มันออกไม่ได้บางทีมันอาจจะกลายเป็นแบดเดย์ของเราไปเลย ตื่นเช้ามาสดใสจังกินกาแฟแก้วเดียว แค่เปิดมาเจอปั้งจบเลย
จริงๆ แค่คำพูดที่งานแสดงออกไป ไม่เห็นน่าดูเลย หรือว่า ทุเรศ แค่นี้คนอื่นอาจจะตลก แต่บางวันผมอาจจะตลกเหมือนกัน แต่บางวันรู้สึกนอยด์ไปเลยนะไม่ได้รู้สึกดี เฮ้อ อะไรวะ มาว่ากูทำไมเนี่ย เก็บไว้ในใจไม่ได้เหรอวะ แต่มันก็ห้ามไม่ได้ มันเป็นพื้นที่สาธารณะ ก็เข้าใจอยากจะพูดอะไรก็พูดมันก็เรื่องของเขา แต่เราก็ต้องจัดการตัวเองเอา เราจัดการเขาไม่ได้ มันเป็นใครยังไม่รู้เลย บ้านอยู่ไหน พ่อแม่เป็นใคร ผู้ชายหรือผู้หญิงเป็นใครก็ไม่รู้ เราก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ป้องกันตัวเองเอา”
ยอมรับพอมีชื่อเสียง ทำอะไรต้องระวังมากขึ้น แต่ตอนนี้ขอเป็น “ไบรท์” ในเวอร์ชั่นที่ตัวเองต้องการ
“ผมว่ามันก็สองฝั่ง ก็ต้องระวังตัวมากขึ้นด้วย แต่ผมรู้สึกถ้าเราระวังตัวสุดๆ ไปเลย เราคิดว่าทุกคนจับตามองเราอยู่ เราก็ไม่ได้เผยอะไรในความเป็นเราออกมาเลย กลายเป็นว่าเราต้องปกปิดตัวเองไว้แล้วก็ปล่อยในสิ่งที่ทุกคนอื่นเขาอยากเห็นเราไป ผมรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ชีวิตที่ผมต้องการ อย่างที่บอกถึงเวลาที่ผมต้องทรีตตัวเองบ้างแล้ว ผมไม่ได้อยากเป็นไบร์ทในเวอร์ชั่นที่ทุกคนต้องการอย่างเดียว อยากเป็นไบร์ทที่เป็นไบร์ทบ้าง”
เลือกไม่เสพดรามา พยายามโซเชียลดีท็อกซ์ เพราะทำเต็มที่แล้ว ในตอนที่ได้ทำ
“ใช่ พยายามโซเชียลดีท็อกซ์ แต่ไม่ได้ดีท็อกซ์แบบไม่แตะเลยขนาดนั้น เพราะเรายังต้องทำงาน งานเรายังอยู่ในนี้ แต่เราเลือกที่จะเสพมันมากขึ้น ไม่ได้นั่งดูทุกวัน เมื่อก่อนละครออนทีต้องไปดูแล้วทวิตเตอร์บ้างอะไรบ้าง เป็นยังไงบ้าง คนพูดว่ายังไงบ้าง เวลามีคนชมก็ดีใจ คนพูดไม่ดีก็นอยด์ ผมไม่เอาอย่างนั้นแล้ว ผมรู้สึกว่าช่างมันเถอะ เราทำดีที่สุดแล้วตอนที่เราถ่ายอยู่ ผมก็คิดว่าทำให้เต็มที่เอาให้สุดเหนื่อยให้ตายรากเลือด เลือดออกตาออกจมูกก็ให้มันจบตรงนั้นแหละ ถือว่าปิดกล้องผมจบงานผมแล้ว ที่เหลือมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วหลังจากนั้น แล้วผมก็ไม่ได้แคร์มากด้วยว่าเขาจะชมจะด่าจะว่าอะไร”
ความยากสำหรับเรื่องนี้ คือถ่ายเยอะจนเหนื่อย
“ความยากสำหรับผมเหรอ คือความถ่ายเหนื่อยอย่างเดียว เราไม่เคยถ่ายแบบนี้ มันเยอะมากมันมีแค่ 8 ตอนแต่มันใช้ระยะเวลาถ่ายเท่ากับผมถ่าย 16 ตอน ติดต่อกันเลยครับ 50 กว่าคิว เยอะมากวันหนึ่งเราถ่าย 7 โมง ถึง 4 ทุ่ม เราคนเดียวเลยทั้งวัน มีแต่เราวันแล้ววันเล่า พอเปิด Google calendar ของตัวเอง มาดูอีก อังคาร พุธพฤหัส ต่อไป มันก็เป็นอย่างนั้นอีก แล้วนี่คือผ่านมันแค่ครึ่งวันแรก แต่มันก็เป็นความรับผิดชอบของเราต้องทำให้ได้”
เคมีพอจะจิ้นกับใครได้ไหม ต้องลองดู
“จิ้นกับใครเหรอ ต้องลองดู ไบร์ทก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อาจจะไม่มีหรืออาจจะมีก็ได้ไม่รู้เลย”
เล่นเรื่องนี้ได้อะไรกลับมาหลายอย่าง
“ก็ได้นะ ก็รู้สึกอิน มันหลายๆ อย่าง ไม่ใช่เพราะว่าเข้าใจตัวละครนี้ แต่ว่าตอนที่ผมเรียนก่อนจะเปิดกล้อง เราต้องเป็นบาร์เทนเดอร์เราต้องเข้าใจเรื่องเหล้า และตอนนั้นเป็นช่วงที่เรากำลังชอบกินเหล้ามากแบบชอบปาร์ตี้ อินมาก โอ้โหไปลึกเลย กลายเป็นว่าเหล้าปกติที่กินกับเพื่อนกินไม่ได้แล้ว ต้องกินแบบนั้น วิธีแบบนี้ แต่พอมันลึกไปถึงจุดหนึ่ง กลายเป็นว่าผมไม่เอาแล้ว พอแล้ว”