xs
xsm
sm
md
lg

“พล ตัณฑเสถียร” ในวัย 50 เลิกยึดติด มีเงินดูแลตัวเองจนวันสุดท้ายไม่ขัดสน ทำให้บาลานซ์ชีวิตอย่างมีสติ (คลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“พล ตัณฑเสถียร” ดีใจนานๆ หวนรับละครแต่แฟนๆ ยังให้การตอบรับอบอุ่น ที่ผ่านมาไม่ใช่ไม่รับละครแค่เลือกบทที่เหมาะสมมากกว่า อายุขึ้นเลข 5 เห็นสัจธรรมชีวิต เลิกยึดติดสละได้หลายอย่าง มีเงินดูแลตัวเองจนวันสุดท้ายไม่ขัดสน ทำให้บาลานซ์ชีวิตอย่างมีสติ มองย้อนอดีตหดหู่มากทำงานจนไม่มีเพื่อน พร้อมเผยเหตุผลปล่อยให้ผมขาวไม่ย้อมผมสีดำ




นานๆ กลับมาเล่นละคร สำหรับอดีตพระเอกดังยุค 90 “พล ตัณฑเสถียร” ที่ล่าสุดทำให้แฟนๆ ได้หายคิดถึง หลังหวนเล่นละครชุด “ดวงใจเทวพรหม” เรื่อง “ใจพิสุทธิ์”ทางช่อง 3 ที่เจ้าตัวมารับบทเป็น คุณชายรณพีร์ ที่พระเอกหนุ่ม “เจมส์ มาร์” เคยแสดงเอาไว้ ยอมรับว่าต้องเคาะสนิมกันพอสมควร และที่ไม่ค่อยได้เห็นผลงานการแสดงมากนัก เพราะต้องเลือกบทที่เหมาะกับตัวเองจริงๆ พร้อมเผยชีวิตในวัย 53 ที่ตกตะกอนหลายอย่าง ซึ่งเป็นมุมมองที่น่าสนใจเลยทีเดียว

“ผมก็ดีใจ กลับมาเล่นละคร แต่จริงๆ แล้วไม่ได้หมายความว่าช่วงที่ผ่านมาไม่ได้มีกำแพงว่าจะไม่รับ แต่มันเป็นเหตุปัจจัยมากกว่า ก็จะมีละครเข้ามาเป็นช่วงๆ ส่วนมากก็จะดูบทด้วยว่ามันเหมาะกับเราหรือเปล่า ถ้าสมมติว่ามันไกลตัวเกินไป หรือว่าไม่เหมาะผมอาจจะไม่รับ เพราะเราก็รู้ตัวว่าเราเป็นคนที่ไม่ได้เล่นละครเยอะมาก พอเราทิ้งช่วงมาแล้ว ก็จะทิ้งช่วงนานเลย เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ได้มองว่าเราเป็นคนเล่นละครเก่ง ลงไปแล้วเล่นได้เลย คือเหมือนต้องเอาไปเคาะสนิม เพราะฉะนั้นก็จะเลือกแต่ละครที่มั่นใจว่าเราจะไม่ทำให้โปรดักชั่นเขาเดือดร้อน ในแง่ของการไปก็ต้องเล่นให้เขาได้จริงๆ

บทละครก็มีผลต่อการตัดสินใจนะครับ จริงๆ ผมก็จะช่วยกันดูกับพี่กบ (ผู้จัดการส่วนตัว) บางทีพอไปถึง พี่กบก็จะบอกว่าอย่าเพิ่งเล่นเลย ดูแล้วไม่เหมาะหรอก พลจะเหนื่อยด้วย แต่ในเรื่องความเหนื่อยในตัวเราไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่หรอก เรามองในภาพรวมว่าเวลาเขาจะเลือกเราไปเล่น เขาก็คงคาดหวังแหละ เพราะผมเป็นคนไม่มีสังกัด ค่าตัวเราก็เรียกว่ากลางๆ ไม่ได้ถูก ไม่ได้แพง แต่นักแสดงในปัจจุบันนี้ก็เยอะ และคือคนที่อยู่ในอายุรุ่นเดียวกับเรา ก็เรียกได้ว่ามีตัวเลือกหลายคน บางคนก็อาจจะเล่นละครบ่อยกว่าเรา หรือมองว่าบางคนอาจจะเหมาะสมกว่าเรา เพราะฉะนั้นก็จะดูว่ามีความเหมาะสมจริงๆ ในเรื่องของเวลา ในเรื่องของการรับแล้วมั่นใจว่าเราทำได้”

เป็นคนมีวินัยกับตัวเอง จะไม่ฝืนทำอะไรที่เหนื่อยเกินไป
“บางทีก็มีบทรับเชิญบ้างก็มี ถ้าสมมติรับเชิญ คือผมไม่ได้รังเกียจเรื่องรับเชิญนะ แต่จะดูว่ารับเชิญแล้วให้ไปทำอะไร และบางบทที่มันไกลตัวเกินไป ส่วนมากจะมาไม่ถึงตัวผม พอพี่กบรับสาย พี่กบอาจจะแค่บอกมาว่าโปรดักชั่นนี้เขาติดต่อมา แต่ไม่ได้รับนะ คิดว่าพี่พลอย่าเพิ่งเล่นเลย แต่ส่วนตัวพอมาถึงอายุตรงนี้ ผมก็ไม่ได้ตั้งกำแพงว่าจะไม่เล่น แต่เนื่องจากว่าเราทำโปรดักชั่นของเราเองด้วย แม้ว่าจะเล็กๆ แต่สัปดาห์หนึ่งก็กินเวลาไปแล้ว 4-5 วัน ดังนั้นจะเหลือเวลาไม่เยอะ

บางทีพี่กบเวลารับละคร ก็จะคุยกับกองแล้วว่า อาทิตย์หนึ่งถ้าจะถ่าย 3 วัน พี่พลขอไปวันหนึ่งได้ไหม เราก็จะมีข้อจำกัดตรงนั้นด้วย อีกอย่างหนึ่งเราก็จะเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพ การพักผ่อน ด้วยอายุที่พอมากขึ้นแล้ว เราก็พยายามสมดุลไลฟ์สไตล์ของเราในเรื่องของงานให้เหมาะกับตัวเอง เป็นคนที่ไม่ฝืนทำอะไรที่รู้สึกว่าจะทำให้เราเหนื่อยเกินไป

ส่วนตัวคิดว่าเป็นคนมีวินัยให้กับตัวเอง ให้เวลากับการออกกำลังกายค่อนข้างเยอะ หรือบางทีที่บ้าน ครอบครัวของผมเองก็ไม่ได้กดดัน บางทีเขาก็ถามด้วยว่าทำไมไม่ทำตรงนี้ให้เยอะขึ้น แต่ผมกลับมองคนละอย่าง”

อายุขึ้นเลข 5 ทำให้พบสัจธรรมหลายอย่าง บอกเป็นคนทำงาน เก็บเงิน แต่ไม่ได้ใช้เงิน
“เอาจริงๆ พอเราอายุขึ้นเลข 5 แล้ว เราเริ่มเห็นอะไรเยอะ เราเริ่มจะต้องไปงานของเพื่อนๆ หรือคนรู้จักที่ใกล้ตัว เลยรู้สึกว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เราก็เลยรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำงานหนักมาตลอด เงินเราก็ไม่ค่อยได้ใช้ เป็นคนที่ไม่ใช้เงิน เป็นคนที่ไม่ซื้อของเยอะที่ไม่จำเป็น เพราะฉะนั้นเงินที่เรามีอยู่จนถึงวันสุดท้าย เราเชื่อว่าเราไม่ขัดสนอะไรเลย เพราะฉะนั้นเลยเปิดโอกาสให้เราเลือกได้อย่างมีสติ

มีสติในที่นี้ผมไม่ได้มองว่าของบางอย่างเรารู้สึกว่าเราอยากทำ ถ้าเกิดว่ามันล้นมือของเราจนรู้สึกว่าเราทำได้ไม่ดี หรืออาจจะไม่มีเวลาพอ เราก็อาจต้องยอมตัดใจ เพราะว่าผมมองว่ามันเป็นธรรมชาติของทุกคน หรือทุกหน่วยงานว่า ของเก่าไปของใหม่มา เราไม่สามารถอยู่ได้ ยืดเวลาได้ไหม ยืดได้ แต่วันหนึ่งก็ต้องไปเหมือนกัน มันคือสัจธรรม เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่หลายๆ อย่างนะ มันอยู่ที่ใจด้วยในเรื่องของการทำใจของเราว่าเราต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนนะว่ามันคือธรรมชาติ ร่างกายเรา เรายังรู้เลยว่ามันไม่เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นต้องพยายามดูแลตัวเองให้ดีด้วย”

เลิกยึดติด ยกของสะสมให้คนอื่นเกือบหมด
“ไม่ขี้เหนียวนะ เอาจริงๆ เวลาคนมาบ้าน ผมจะเป็นคนมีเครื่องครัวเยอะ บางทีก็นั่งทำอาหารกับเพื่อน เขาบอกดีจังเลยเดี๋ยวไปซื้อบ้าง เราก็บอกเอาไปเลยพี่ให้ เนื่องจากว่าพออาชีพเราทำอาหารก็จะมีคนให้ของเรามาค่อนข้างเยอะ เป็นคนที่พออายุเยอะแล้วไม่ติดกับเรื่องวัตถุ ซึ่งตรงกันข้ามกับสมัยที่ผมอายุ 20-30 ปี ในขณะนั้น เป็นนักสะสม สะสมโปสเตอร์ พอมาถึงจุดหนึ่งบริจาคไปเกือบหมดเลย หลายๆ อย่างก็ให้คนอื่น ให้คนที่เขาเห็นค่า ผมเริ่มรู้สึกว่าการแบกอะไรพวกนี้ไว้เหมือนกับมันหนัก มันเหมือนว่าวันหนึ่งเราจะต้องมีภาระอะไรก็ไม่รู้ มีห่วง มีอะไรก็ไม่รู้ เพราะว่าเกาะติดกับของอะไรที่มันไม่ใช่เรื่อง

ผมรู้สึกว่าวิธีการคิดของเราเปลี่ยนไปเยอะมากจากวันที่เราเด็กๆ พอโตขึ้นเราเริ่มเห็นสัจธรรมว่า คนบางคนที่ไม่ควรจะไป ยังคุยกันอยู่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อยู่เฉยๆ เขาก็เป็นอะไรไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็เริ่มมีความรู้สึกว่า ทุกเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ เราควรจะดีกับคนที่เราควรจะดีด้วย หมายถึงครอบครัว หลายๆ ครั้งที่เขาขอเวลาเรา เช่น ทานข้าวร่วมกันกับครอบครัว ไหว้พ่อแม่อะไรก็แล้วแต่ เมื่อก่อนบางทีเราก็จะมีความรู้สึกว่า เราติดงาน ติดเวลา พักหลังผมมีความรู้สึกว่าถ้าเลื่อนได้ ถ้ากันเวลาให้ที่บ้านได้ มันเป็นเวลาที่มีคุณค่านะ เราควรจะให้เขาบ้าง เราก็อยากจะทำ เวลา 1 สัปดาห์ ที่เราทำงานมาจนรู้สึกถามตัวเองว่า เฮ้ย เราไม่มีเพื่อน เราไม่มีเพื่อนเลย”

หันกลับมาให้ความสำคัญในทุกวันกับเพื่อนๆ และคนรอบข้างมากขึ้น
“เราเป็นคนที่มีเพื่อนสมัยเด็กๆ ไม่ต้องพูดถึง หายหมดเลย จะมีจำได้ก็แค่บางๆ มาเพื่อนช่วงมัธยมต้นก็จะมีบ้าง จำได้แต่คนที่อยู่ในวงการว่า คนนี้เรียนมากับเรา เป็นพิธีกร มาช่วงสมัยมหาวิทยาลัยไม่ติดต่อกับใครเลย เวลาเขามีกรุ๊ปของมหาวิทยาลัยก็ไม่เข้าร่วม จนวันหนึ่งอยากไปเข้าร่วมกับเขา จำอะไรใครไม่ได้เลย หรือว่าไปเจอกันตามห้าง มีคนเข้าไปทัก จำได้น้อยมาก จนมีความรู้สึกว่า เฮ้ย ถ้าเกิดสมมติเราทำงานหนัก มีเงินเยอะ จนสามารถดูแลตัวเองได้ หรืออะไรหลายๆ อย่างได้ แต่เราไม่มีเพื่อน มันดูน่าหดหู่เหมือนกัน

ผมตอนที่เล่นละครมาเราจะไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกัน อาจจะเป็นนิสัยที่ชอบคุยกับผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นเพื่อนก็จะเป็นรุ่นพี่ ก็จะสนิทกับผู้ใหญ่ เพราะเราเข้ามาในวงการ และเราเล่นละครกับคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเรา เราก็จะรู้สึกว่าเราเป็นเด็กตลอดเวลา เรากล้าที่จะคุยกับเขามากกว่าคนในรุ่นเดียวกัน อันนี้เป็นบุคลิกของผมอยู่แล้ว

พอโตขึ้นมาวันหนึ่งเรารู้สึกโหลงมากว่า เฮ้ย เราไม่มีเพื่อน เลยค่อยๆ กลับมาเปิดใจ รับเพื่อนเข้ามาในชีวิตใหม่ จากเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็มารีคอนเน็กกับเขา ขับรถไปบางแสนไปกินข้าวกัน เพราะมีความรู้สึกว่าชีวิตที่ไม่มีเพื่อนเลยมันหดหู่เริ่มที่จะขอไลน์และสร้างกรุ๊ปขึ้นมาเล็กๆ เริ่มที่จะไปทำอาหารและไปเจอกับคนใหม่ๆ ที่รู้สึกว่าวัยใกล้กันและคุยกันรู้เรื่อง ซึ่งเราก็รู้สึกว่าชีวิตแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน เจอกับเพื่อนเดือนละครั้ง ให้รู้สึกว่าชีวิตมันบาลานซ์มีอะไรมากกว่างานอย่างเดียว และส่วนตัวชอบชีวิตแบบนี้มากกว่า เราลองมองย้อนกลับไปว่าที่ผ่านมาเราก็เป็นคนอำมหิตเหมือนกันนะ

คือไม่ค่อยสนใจในเรื่องของมิตรภาพในแง่ของเพื่อน คิดแต่เรื่องของงานเป็นหลัก เราอยู่ ม.ธรรมศาสตร์ รุ่น 31 เวลาเขามีเลี้ยงรุ่นก็นั่งคิดแต่ว่าไม่อยากไป เราเป็นนักแสดงเดี๋ยวไปแล้วจะมีแต่คนขอถ่ายรูป จะไม่สนุก ไปคิดอะไรที่ทำให้ติดอยู่กับตัวตนของความเป็นพล ซึ่งในวันหนึ่งก็จางๆ ไปแต่วันหนึ่งเราเจอเพื่อนเก่าๆ ก่อนอื่นเลยจะพยายามบอกเขาว่าขอบคุณมากๆ ที่เข้ามาทัก ขอโทษนะที่จำไม่ได้ เราก็เริ่มจะรีคอนเน็ก แลกไลน์กัน หรือมีอะไรก็ทักทายกันได้ เลยมีความรู้สึกว่าความผิดพลาดที่เราทำไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โต คอขาดบาดตาย วันนี้อะไรที่เราสามารถดึงสายสัมพันธ์กลับมาได้ เราก็พยายามทำ”

ลด ละ เลิกของที่ชอบ เพื่อทดสอบจิตใจ
“จริงๆ มันไม่ได้เปลี่ยนแบบพลิกหรอก มันค่อยๆ มา ปกติเวลาที่เราไปเที่ยวเราชอบซื้อของที่ระลึกเยอะมาก จนกลายเป็นว่าคุณต้องซื้อเพราะคุณเคยซื้อมาก่อน พอซื้อมาก็ไม่มีที่เก็บก็เอาไปเก็บใส่ลัง วันหนึ่งนั่งมองแล้วก็ถามตัวเอง ทำอะไรอยู่ หรือไปดูละครเวทีมิวสิคัล เพราะเป็นคนชอบดู ซึ่งเมื่อก่อนดูเหมือนสะสมแสตมป์ สะสมตัวเลข แล้วก็นั่งจดว่าเราดูมากี่ร้อยเรื่องแล้ว และทุกครั้งที่ไปดูจะต้องซื้อโปสเตอร์เพื่อสะสมทุกครั้งเลย

วันหนึ่งก็มีความรู้สึกว่าเรื่องนี้เอาจริงๆ ก็ไม่ชอบแต่ก็ซื้อทำไมก็ไม่รู้ และเราก็มีความรู้สึกว่าเราอยากลองทดสอบใจของเราดู ว่าถ้าเราไม่ติดกับของพวกนี้เราจะรู้สึกอย่างไร เราก็มีความรู้สึกว่าสบายตัวมาก ก็เลยกลายเป็นคนประเภทนี้มาเรื่อยๆ ทั้งในเรื่องของเสื้อผ้าในเรื่องของอะไรก็ตาม สมมติในบางทีของที่เราใส่ 2-3 ครั้ง พอใส่ครั้งที่ 3 ใจฟูไม่เท่ากันแล้ว พอเพื่อนบอกว่าสวยจังเลยมันก็ไปฟูที่อีกคนๆ นึง บางทีพอถึงวันเกิดเขา เราอาจคิดไม่ออกก็ได้ว่าจะซื้ออะไรให้เขาดี ไม่จำเป็นต้องทำดีกับคนคนนั้นในวันสำคัญของเขา แต่ถ้าหากวันนั้นเรามีอะไรที่ทำให้เขารู้สึกว่าดีใจได้ก็ทำเลยตั้งแต่วันนั้น”

ถึงจะปล่อยวางได้เยอะแล้ว แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ยังสละไม่ได้ ยังกลัวตายอยู่แม้รู้ว่าเป็นสัจธรรมที่ทุกคนต้องเจอ
“มันก็มีของอีกเยอะนะที่เราสละไม่ได้ ถ้าหากถามเราทุกวันนี้ เราก็ยังกลัวตายนะ ทั้งที่รู้ว่าทุกคนต้องตาย แต่เราคิดถึงทุกวันเลยว่า ถ้าเกิดเรามาถึงโมเมนต์ที่เรารู้ว่าพรุ่งนี้เราจะต้องไป เราจะตื่นเต้นกับคำว่าไปอย่างไร เราจะไปอยู่อีกโลกหนึ่งหรือเปล่า ถ้าตามคอนเซปต์ เขาก็จะบอกว่าอย่าไปกลัวเลยก็เหมือนเปลี่ยนบ้านใหม่เพราะว่าบ้านเก่ามันโทรมแล้ว แต่มันเป็นแค่คอนเซปต์ คิดออกไหมครับ พอถึงเวลาที่จะต้องไปหรือจะต้องเปลี่ยนจริงๆ มันเหมือนกับทฤษฎีกับของจริงมันก็จะไม่เหมือนกันแต่ด้วยความโชคดี คือเราพี่น้องเยอะ พี่ชายเราเป็นพระ และพอเราเองทำอะไรที่ไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่ คนรอบข้างก็จะไปกระซิบท่าน ท่านก็จะรีบกลับมาที่เรา

คือเมื่อก่อนช่วงแรกๆ เราก็จะใช้โซเชียลมีเดียเป็นที่ระบายอารมณ์ จำได้ว่าเคยทะเลาะกับรปภ.ที่ตึกสยามสแควร์วัน ที่เราไปเปิดร้านอาหารอยู่ หาเรื่องเขา เขียนด่าเขาเป็นหน้ากระดาษ A4 หลวงพี่โทร.มาถามว่าพลเป็นอะไร ทำไปทำไม บางทีตอนที่เราทำ เราก็ไม่ได้คิดถึงว่าทำไปทำไม แค่มีความรู้สึกว่าต้องระบายอะไรบางอย่าง แล้วพอเราสงบลง เราก็รู้สึกถามตัวตนเรา ว่าทำไมมันใหญ่ขนาดนั้น มันน่ากลัวจังเลย ถ้าเกิดเจอเราในอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง เราก็กลัวตัวเราเหมือนกันนะซึ่งวันนั้นพี่ชายของเราก็บอกว่า เอาลงก่อนเถอะ

แล้วคุณลองถามตัวเอง ถามไปเรื่อยๆ ว่าทำไม ต้องการอะไร เกิดอะไรขึ้น เชื่อไหมว่าวันนั้นเราลองใจแข็งดูแล้วกลับไปขอโทษเขา เขาก็เบาลงทันที เราก็เลยมีความรู้สึกว่า ของบางอย่างเวลาที่เรามีสติแล้วเราทำไป มันก็มีข้อดีของมันเอง แล้วเราก็ลองมองกลับไปที่ตัวตนของเราที่ไม่มีสติ ก็มีความรู้สึกว่ามันไม่น่ารักเลย เราเลยเป็นคนนึงที่อาจจะใช้โซเชียลมีเดียในเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ส่วนตัวน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องดีใจ หรือเสียใจ จะไม่มีการโพสต์

เราเป็นคนที่มีความรู้สึกว่า ปัญหาทุกอย่างแก้ได้ด้วยตัวเราเอง ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้โลกรู้ว่า ตอนนี้ฉันหดหู่เหลือเกิน หรือต้องการคำปลอบโยน ทุกอย่างที่จะโพสต์เป็นแค่ information มันก็ไม่รู้นะว่าจะเรียกว่าปลงหรือว่าอะไร แต่เราว่าเรามองเห็นความจริงมากกว่า”

ตอนนี้อายุขึ้นเลข 5 แล้ว พยายามเลือกสิ่งดีๆ ให้ตัวเอง
“นอกจากความอร่อยแล้วยังมีเรื่องของสุขภาพ ดังนั้นเราก็จะถูกเชิญไปบ่อยไปพูดที่โรงพยาบาลนั้น โรงพยาบาลนี้ เลยมีความรู้สึกว่าอย่าตามใจตัวเองมากเลย เพราะฉะนั้นอะไรที่เรากันได้เราก็กัน ก็เลยกลับมาในเรื่องดูแลตัวเองว่า ออกกำลังกายให้เพียงพอ อย่าให้อ้วนเกินไป แล้วเราเป็นคนที่ทานอาหารที่บ้านบ่อยกว่าทานข้างนอก คือพยายามจะลิมิตว่าทานข้างนอกอาทิตย์นึงไม่เกิน 3 ครั้ง ที่เหลือก็ทำอาหารทานเอง ถามว่าปลูกผักเองไหม ก็ยังไม่มีเวลาขนาดนั้น คิดว่าก็เป็นคอนเซปต์ที่ดี แต่พอเราอยู่ในสังคมเมือง เราก็มีความรู้สึกว่า อย่างหนึ่งเรามีเพื่อนก็ดี เพราะฉะนั้นก็มีเพื่อนที่แบบว่าเลี้ยงไก่แล้วไปเอาไข่จากเขาบ้าง

แต่ถามว่าซีเรียสขนาดนั้นไหม ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น เพราะในเรื่องพวกออร์แกนิก เราซื้อนะ หมายถึงถ้าเกิดเลือกได้ หรือซื้อตรงนั้นได้ ก็เลือกแบบนั้น แต่ถ้าเกิดสมมุติมันจะทำให้ชีวิตลำบากมาก ก็ไม่เป็นไร แต่จะเชื่อในเรื่องของการอย่าทานน้ำมันเยอะ อย่าทานเค็มเยอะ อย่าทานหวานเยอะ พยายามบาลานซ์รสตรงนั้นมากกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถามว่ายังติดกับเรื่องความอร่อยไหม ติด กลางคืนเวลาดูหนังก็โทร.สั่งเมเจอร์ป๊อปคอร์นมากิน (หัวเราะ) แต่ก็จะบาลานซ์ คือสมัยเด็กๆ เราจะอาจจะกินแบบนั้นวันเว้นวัน ณ ตอนนี้ก็ให้เป็นโอกาสพิเศษแล้วกันว่า คืนนี้อยากนอนดึกๆ แล้วอยากดูเน็ตฟลิกซ์ อยากกินขนมอร่อยๆ แต่ก็ให้ลิมิตที่ตรงนั้น แล้วก็รู้แล้วว่าชีวิตช่วงที่เหลือของสัปดาห์นั้นต้องทำตัวดีๆ นะ ก็เรียกว่าบาลานซ์

ก็ไม่ได้ตึงๆ มาก เพราะตึงแล้วอยู่ไม่ได้ เพราะอย่างหนึ่งก็คือว่า ณ ตอนนี้อายุ 50 ต้นๆ แล้ว ผมว่าก็หย่อนๆ ได้ เรียกได้ว่าไปอีกสัก 5 ปี 10 ปี ก็ต้องเปลี่ยนมากกว่านี้ ซึ่งการที่เราค่อยๆ เปลี่ยนมันดีกว่า ที่ว่ามาวันหนึ่งแล้วหมอบอกว่าแย่แล้ว ค่านู่น ค่านี่มันเท่านี้แล้วคุณต้องหยุด ผมว่าอันนั้นน่ากลัวกว่า ฉะนั้นก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นเราดูแลตัวเองก่อนที่หมอมาบอกให้เราดูแล”

พร้อมเผยเรื่องไม่ย้อมผมสีดำ บอกเคยทำมาหมดแล้วจนหลังๆ ปล่อยตามธรรมชาติ
“เรื่องของสีผม เอาจริงๆ ก่อนหน้าที่ผมจะเริ่มขาว ก็ย้อมผมสุดฤทธิ์สุดเดช ซึ่งมันก็ย้อมทุกอย่าง ทำอะไรที่เด็กๆ ทำมาหมดแล้ว แต่สักนี่ยังไม่เคยสัก หนึ่งคือลึกๆ ก็มีความรู้สึกว่าเบื่อแล้ว อันที่ 2 ก็รู้สึกว่าผมผู้ชายยาวเร็วมาก เพราะฉะนั้นข้อเสียของผู้ชายเวลาย้อมผม มันก็จะเห็นโคน อันนั้นก็อาจจะเป็นข้อหนึ่งที่มีความรู้สึกว่าลองปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติดีกว่า แล้วลองดูกันไป มันก็โอเคนะ เรามีความรู้สึกว่า ถ้าเราส่องกระจก แล้วเรายังมีความรักตัวเอง เท่านั้นจบ คนอื่นเขาก็จะรักเราตามด้วย

ถ้าเกิดเห็นเรามีออร่าที่เรายังแฮปปี้อยู่ เรายังยิ้ม เรายังเป็นคนมีความสุข สุขภาพจิตดี ในอนาคต ถ้าเกิดจะต้องมีงานแล้วเขาจะต้องขอให้ย้อมผมจริงๆ เราไม่ได้ลิมิตว่าห้ามมาแตะผมฉัน แบบนั้นไม่ใช่ เป็นลักษณะของไลฟ์สไตล์ด้วยมากกว่าถ้าเป็นเรื่องงานแล้วต้องทำสีก็ทำได้ครับ ตามความเหมาะสม (ยิ้ม)

ไม่ใช่ว่าสารเคมีโดนผมไม่ได้เลยขนาดนั้นนะ เพราะเรื่องนั้นบางทีมาทำงานก็รู้แล้วว่าเราจะอยู่ในสภาพเป็นผู้เป็นคนทั้งวัน (หัวเราะ) เราก็จะบอกช่างผมเลยว่าใช้สเปรย์ได้นะครับ เพราะว่าชีวิตเราตอนนี้โชคดีคืองานที่จะต้องอยู่หน้ากล้อง ที่จะต้องแต่งหน้าทำผมจริงๆ สัปดาห์นึงไม่เกิน 3 วันเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเราจะรู้แล้วว่าส่วนที่เหลือเรามีเวลาพัก เรื่องสีผม มันจะมีช่วงหนึ่งที่ผมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว เหมือนคนทำสีผมมา แต่จริงๆ แล้วก็ปล่อยมันไปเถอะ”



















กำลังโหลดความคิดเห็น